ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ

องค์ความรู้เรื่องเวียงเจ็ดลิน : จากหลักฐานการดำเนินงานทางโบราณคดีเรียบเรียงโดย : นางสาวนงไฉน  ทะรักษานักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ที่ตั้งและสภาพปัจจุบันของพื้นที่     เวียงเจ็ดลินตั้งอยู่ห่างจากเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 3 กิโลเมตร มีสภาพพื้นที่เป็นที่ลาดเชิงเขาทางทิศตะวันออกของดอยสุเทพ พื้นที่ลาดเอียงจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ผังเวียงเป็นรูปวงกลม ปัจจุบันยังคงเหลือกำแพงเวียงคูเวียงบางส่วน บริเวณทางทิศเหนือในพื้นที่ของสำนักงานปศุสัตว์เขต 5 ทิศตะวันตกเฉียงใต้ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เรื่อยมาจนถึงทิศใต้ในพื้นที่สวนรุกขชาติห้วยแก้ว พื้นที่ทางทิศใต้ของเมืองถูกถนนห้วยแก้วตัดผ่าน ซึ่งเป็นบริเวณที่สามารถมองเห็นกำแพงเวียงได้อย่างชัดเจน บริเวณเกือบกึ่งกลางเวียงค่อนมาทางทิศเหนือ มีร่องรอยทางน้ำเก่าผ่ากลางจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกของเวียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเวียงเจ็ดลิน        ตำนานของล้านนาปรากฏเรื่องราวของพื้นที่เวียงเจ็ดลินว่าเป็นที่ตั้งชุมชนมาแต่ก่อนหน้าสมัยล้านนาแล้ว โดยในตำนานเชียงใหม่ปางเดิมและตำนานสุวรรณคำแดงสามารถกล่าวถึงพื้นที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ซึ่งอาจเป็นพื้นที่บริเวณเดียวกับเวียงเจ็ดลิน ว่าบริเวณนั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เวียงเชฏฐบุรี เป็นเวียงที่สร้างขึ้นก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่ เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวลัวะ ซึ่งได้กระจายตัวสร้างชุมชนลงไปตามแม่น้ำปิงและรับวัฒนธรรมจากภายนอก จนสามารถตั้งศูนย์กลางระดับแคว้นได้ คือเมืองหริภุญไชย และนับถือดอยสุเทพในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการเข้ามาตั้งถิ่นฐานชุมชนในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 และควรเป็นช่วงก่อนที่พระญามังรายจะเสด็จมาถึงแอ่งที่ราบเชียงใหม่ แต่ก็ต้องเป็นระยะเวลานานพอกระทั่งพื้นที่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นที่รกร้าง เป็นป่า เพราะการสำรวจบริเวณดอยสุเทพของพระญามังรายที่ปรากฏในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่นั้น ได้กล่าวถึงพื้นที่ว่าเป็นทุ่งและราวป่า ไม่มีการอาศัยของชุมชนหนาแน่นจนมีลักษณะเป็นหมู่บ้าน        ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวถึงการสร้างเวียงเจ็ดลินขึ้นในสมัยล้านนา ตามรับสั่งของพระญาสามฝั่งแกนที่ให้สร้างเวียงขึ้นบริเวณที่ได้รับชัยชนะแก่ศัตรู เนื่องจากเมื่อพญาไสลือไทได้ยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ เคยได้สรงเกศยังผาลาดหลวงแล้วทำให้เกรงกลัวกองทัพของเชียงใหม่จนต้องยกทัพหนี ซึ่งเวียงเจ็ดลินได้ถูกสร้างแปงขึ้นในปี พ.ศ.1954 เป็นปีเดียวกับที่เจ้าสี่หมื่นเจ้าเมืองพะเยาได้ถวายหมู่บ้านและที่นากับพระสุวรรณมหาวิหาร สอดคล้องกับจารึกพระสุวรรณมหาวิหาร ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ยังกล่าวอีกว่าพระญาสามฝั่งแกนมาประทับอยู่ที่เวียงเจ็ดลินเป็นปกติ จนมีการลอบวางเพลิงพื้นที่ประทับทั้งหมดในช่วงปลายรัชสมัย ชื่อของเวียงเจ็ดลินปรากฎในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ในสมัยพระมหาเทวีจิรประภา เมื่อเกิดสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยาและล้านนา โดยสมเด็จพระไชยราชาทรงนำกองทัพจากกรุงศรีอยุธยายกมาตีเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2088 พระมหาเทวีจิรประภาใช้ยุทธวิธีแต่งเครื่องบรรณาการไปถวาย และได้นำเสด็จพระไชยราชาไปสรงน้ำที่เจ็ดลิน ซึ่งน่าจะเป็นเวียงเจ็ดลินหรือดอยเจ็ดลิน ที่เป็นจุดเดียวกับที่พญาไสลือไทได้มาสรงเกศการดำเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน     สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ดำเนินการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลิน จำนวน ๓ ครั้ง ในปี พ.ศ.2541 พ.ศ.2552 และ พ.ศ.2562 โดยในปี พ.ศ.2541 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้ของเวียงหรือพื้นที่สวนรุกขชาติห้วยแก้ว ซึ่งพบหลักฐานการใช้พื้นที่ในสมัยล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-22 ปี พ.ศ.2552 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี จำนวน 6 หลุม กระจายตามตำแหน่งต่างๆ ภายในเมือง ประกอบด้วย บริเวณกลางเวียง บริเวณทิศเหนือ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณทิศตะวันตก และบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผลการขุดค้นฯในครั้งนั้นทำให้ทราบถึงการเลือกใช้พื้นที่ของเวียงเจ็ดลิน โดยพบว่าบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้พบโบราณวัตถุกระจายตัวค่อนข้างหนาแน่น แสดงให้เห็นว่าพื้นที่กิจกรรมหลักของเวียงอยู่บริเวณทิศตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ๆมีระดับความสูงมากกว่าพบหลักฐานเบาบางมาก ขณะที่พื้นที่กลางเวียงเป็นที่ลุ่มต่ำมาก มีสภาพชื้นแฉะ ชั้นดินเป็นโคลนเนื้อดินอัดกันแน่นพอสมควร และมีระดับน้ำใต้ดินที่สูงมาก ซึ่งบริเวณกลางเวียงนี้อาจเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค โดยสงวน โชติสุขรัตน์ ได้เขียนถึงเวียงเจ็ดลินไว้ในหนังสือนำเที่ยวเชียงใหม่-ลำพูน เมื่อ พ.ศ.2514 ว่าภายในเวียงเจ็ดลินมีสระน้ำก่อด้วยศิลาแลงอย่างแข็งแรง ยังปรากฏอยู่ในบริเวณปศุสัตว์เลี้ยงโคนมของเยอรมัน น่าจะเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ปัจจุบันเป็นตาน้ำที่มีน้ำไหลตลอดปี ส่วนโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นฯ ซึ่งสามารถกำหนดอายุช่วงที่มีการใช้พื้นที่ ได้แก่ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจากแหล่งเตาเวียงกาหลงและสันกำแพง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 อย่างไรก็ตาม การขุดค้นทางทิศเหนือของเวียงพบโบราณวัตถุประเภทเครื่องมือหินกะเทาะ ซึ่งนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้นได้ระบุว่าเป็นหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และไม่พบโบราณวัตถุอื่นๆ ร่วมด้วย จึงไม่จะสามารถระบุถึงช่วงอายุสมัยที่แน่ชัดของเครื่องมือหินดังกล่าวได้ ปี พ.ศ.2562 ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีจำนวน 3 หลุม ภายในพื้นที่ทางทิศเหนือของเวียง บริเวณกำแพงเวียง/คันดินทิศเหนือ และพื้นที่กลางเวียงค่อนมาทางทิศตะวันออก ผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้ พบการใช้พื้นที่ในสมัยล้านนาเช่นเดียวกัน ราวพุทธศตวรรษที่ 19-21 โดยแบ่งได้เป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกเป็นช่วงของการก่อสร้างคูน้ำคันดินเวียงเจ็ดลินซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับเรื่องราวที่พระญาสามฝั่งแกนสร้างเวียงขึ้น ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ช่วงที่สองควรจะมีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยน่าจะมีการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับรัชสมัยพระมหาเทวีจิรประภา         จากการดำเนินการศึกษาทางโบราณคดีทั้ง 3 ครั้งแสดงให้เห็นการใช้พื้นที่เวียงเจ็ดลินในสมัยล้านนา โดยไม่พบการใช้พื้นที่ในสมัยหริภุญไชยหรือสมัยก่อนล้านนาแต่อย่างใด มีเพียงชิ้นส่วนภาชนะดินเผาแบบหริภุญไชย ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบแหล่งเตาที่ผลิตอย่างชัดเจน จึงยังไม่สามารถกำหนดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์นี้ได้เช่นเดียวกัน โบราณสถานที่สัมพันธ์กับเวียงเจ็ดลิน      จากการสำรวจทางโบราณคดีพบโบราณสถานใกล้กับเวียงเจ็ดลินในรัศมี 1 กิโลเมตร จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ วัดหมูบุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือภายในเวียงเจ็ดลิน และ วัดกู่ดินขาว ตั้งอยู่ห่างจากกำแพงเวียง/คันดินเวียงเจ็ดลินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 700 เมตร ปัจจุบันอยู่ภายในพื้นที่สวนสัตว์เชียงใหม่    วัดกู่ดินขาว ได้รับการดำเนินการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีและบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.2544 พบว่าวัดแห่งนี้มีลักษณะพิเศษ คือ อิฐที่ใช้ในการก่อสร้างเจดีย์ประธานมีขนาดเฉลี่ย 26 x 55 x 15 เซนติเมตร มีน้ำหนักร่วม 50 กิโลกรัม ถือเป็นอิฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างโบราณสถานในเขตล้านนา โบราณสถานวัดกู่ดินขาว ประกอบด้วย เจดีย์ประธานซึ่งน่าจะเป็นเจดีย์ทรงระฆัง สันนิษฐานจากการก่ออิฐโครงสร้างเป็นเอ็นยึดภายในเจดีย์ที่ก่อเป็นเส้นทะแยงมุมผสมช่องกากบาทตารางถมอัดดิน ทำสลับกันเป็นระยะๆในส่วนเรือนธาตุ วิหาร อยู่ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่มีการยกเก็จหน้าและหลัง มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าทางทิศตะวันออกและทางทิศเหนือตอนหน้า มีฐานชุกชีวางตัวในแนวขนานกับวิหาร ด้านหน้ายกพื้นคล้ายเป็นที่สำหรับบูชา และมีพื้นที่ทางด้านหลัง จึงสามารถเดินประทักษิณได้ ต่างจากฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปทั่วไปที่จะวางตัวขวางตัวแนวอาคารและติดกับผนังสกัดตะวันตกของวิหาร ลักษณะเช่นนี้สันนิษฐานว่าภายในวิหารน่าจะเป็นมณฑปหรือโขงพระเจ้า ซึ่งพบชิ้นส่วนปูนปั้นรูปสัตว์และลวดลายตกแต่งอื่นๆ ที่ใช้ในการตกแต่งซุ้มพระ และเจดีย์รายแปดเหลี่ยม ที่พบเฉพาะส่วนฐานตอนล่าง ลักษณะเป็นฐานปัทม์แปดเหลี่ยม มีชั้นท้องไม้เตี้ยๆประดับด้วยเส้นลูกแก้วอกไก่คู่ โบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นฯ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งไม่เคลือบ และพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเคลือบจากแหล่งเตาเวียงกาหลง สามารถกำหนดอายุได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-22 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีการใช้พื้นที่บริเวณเวียงเจ็ดลินสรุป     จากการดำเนินการทางโบราณคดีในพื้นที่เวียงเจ็ดลินทั้ง 3 ครั้ง ยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ผลการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีร่วมกับเอกสารทางประวัติศาสตร์สามารถแบ่งช่วงเวลาของเวียงเจ็ดลิน ได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่     ช่วงแรก : สมัยก่อนล้านนาหรือสมัยตำนาน โดยมีเพียงข้อมูลที่กล่าวถึงในตำนานเชียงใหม่ปางเดิมและตำนานสุวรรณคำแดง ที่ปรากฏเรื่องราวของฤาษีวาสุเทพและท้าวสุวรรณคำแดง แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีไม่พบหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับช่วงเวลาดังกล่าวได้ ซึ่งอุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล และพิพัฒน์ กระแจะจันทร์ นักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้น เสนอว่าเป็นการสะท้อนถึงการต่อสู้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวลัวะและชาวไทยโดยอาศัยเรื่องเล่า พิจารณาจากการสถาปนาชื่อเวียงเจ็ดลินเป็นเวียงเชฏฐบุรี  ซึ่ง หมายถึงผู้พี่ คือชาวลัวะ ที่เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมก่อนการเคลื่อนย้ายมาของเชื้อสายชาวไทยคือท้าวสุวรรณคำแดง    ช่วงที่สอง : สมัยพระญาสามฝั่งแกน คือช่วงที่มีการสร้างแปงเวียงเจ็ดลินขึ้น เป็นช่วงเวลาที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมีความสอดคล้องกัน    ช่วงที่สาม : น่าจะเป็นช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยน่าจะมีการทำกิจกรรมในเวียงเจ็ดลินที่เกี่ยวข้องกับรัชสมัยพระมหาเทวีจิรประภาทั้งนี้ หลักฐานทางโบราณคดียังไม่สามารถวิเคราะห์ลักษณะการใช้งานพื้นที่เวียงเจ็ดลินได้อย่างชัดเจน ทำได้เพียงสันนิษฐานเบื้องต้นว่า การสร้างเวียงเจ็ดลินมีความจำเป็นต้องสร้างคูน้ำคันดิน เพื่อผลของการควบคุมน้ำที่ไหลผ่านจากที่สูงบนเขาลงมายังที่ต่ำกว่าบริเวณเชิงเขา เพื่อใช้ในการเกษตรกรรมและสำหรับการอุปโภคบริโภคภายในเวียงเจ็ดลิน    เอกสารอ้างอิงห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี ดี วัสดุภัณฑ์. เสนอต่อ สวนสัตว์เชียงใหม่, รายงานการบูรณะโบราณสถานในเขตสวนสัตว์เชียงใหม่ วัดกู่ดินขาว (ร้าง) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เสนอ สวนสัตว์เชียงใหม่. 2544.ห้างหุ้นส่วนจำกัด โบราณนุรักษ์. รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีเวียงเจ็ดลิน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เสนอ สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่. 2552.ห้างหุ้นส่วนจำกัด โบราณนุรักษ์. รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีเวียงเจ็ดลิน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เสนอ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่. 2562.



พระราชานุกิจ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลโท หม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พุทธศักราช 2526 ผู้แต่ง : ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2405-2486., กรมศิลปากร ต้นฉบับอยู่ที่ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี (ห้องกรมศิลปากร) โรงพิมพ์ : ด่านสุทธาการพิมพ์ ปีที่พิมพ์ : 2526 รูปแบบ : PDF ภาษา : ไทย เลขทะเบียน : น 32 บ 2023 จบ.  เลขหมู่ : 923.1593 ด495พค สาระสังเขป : เรื่องพระราชานุกิจ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งได้จัดพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้เป็นพระราชานุกิจของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 ว่าด้วยกำหนดเวลาสำหรับพระราชกิจประจำวันของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งได้ทรงยึดถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อันสะท้อนให้เห็นพระราชจริยาวัตร กฎเกณฑ์ ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบของสถาบันอันสำคัญยิ่งของไทย  


ชื่อ "สุพรรณภูมิ" ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเก่าแก่ของเมืองโบราณแห่งนี้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเชื่อกันว่าศูนย์กลางเมืองสุพรรณภูมิคือตำแหน่งของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี โบราณสถานสำคัญที่มีการค้นพบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ๆ จำนวนมาก อันอาจแสดงถึงความสัมพันธ์อย่างยิ่งระหว่างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุกับราชสำนักเมืองสุพรรณภูมิในอดีต อย่างไรก็ตามการศึกษาเกี่ยวกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ยังต้องการหลักฐานชั้นปฐมภูมิ การตีความทางด้านประวัติศาสตร์จากหลักฐานต่างๆ โดยผู้เชี่ยวชาญกันต่อไป วัดพระศรีรัตนมหาธาตุและชุมชน ร่วมกับชมรมนักโบราณคดี(สมัครเล่น)เมืองสุพรรณ ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการบรรยายทางวิชาการเรื่อง "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มรดกสุพรรณภูมิ" ในวันพุธที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๐๐ ถึง ๑๖.๐๐ น. ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.สุพรรณบุรี มา ณ ที่นี้ . กำหนดการบรรยาย 13.30-14.20 น. "บรมราชา-ศรีนทราธิราช : ประวัติศาสตร์รัชกาลขุนหลวงพ่องั่ว" โดย อาจารย์ธนโชติ เกียรติณภัทร ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 14.20-15.10 น. "การใช้เทคนิคโฟโตแกรมเมตรีเพื่อการศึกษาสถาปัตยกรรมของวัดมหาธาตุ และวัดอื่นๆ ในเมืองสุพรรณ" โดย นาย นฤดม แก้วชัย กลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร 15.10-16.00 น. "แกะรอยมหาธาตุ สุพรรณบุรี และพระธาตุ ศาลาขาว ผ่านมุมมองรูปทรงและสัดส่วนสัมพันธ์" โดย ผศ. สิริเดช วังกรานต์ ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร . เชิญชมงานหัตถกรรมเครื่องจักสาน โดยชุมชนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี . ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://docs.google.com/.../1FAIpQLSfoOWKMlhtVBy.../viewform . สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี 095-6498299 ชมรมนักโบราณคดี(สมัครเล่น)เมืองสุพรรณ 081-6147237, 081-8384676 . ถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live เพจวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี และ ชมรมนักโบราณคดี(สมัครเล่น)เมืองสุพรรณ


  พระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ศิลปะอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ และพระพุทธรูปทองคำฐานบุด้วยเงิน ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น พุทธศตวรรษที่ ๒๔ ได้จากกรุภายในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) วัดบวรสถานสุทธาวาส อยู่ในพื้นที่ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เดิมบริเวณนี้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ โปรดให้สร้างวัดประทานแก่หลวงชีนักนางแม้น ผู้เป็นมารดาของนักองค์อีและนักองค์ภาพระสนมเอกของพระองค์ เรียกว่า “วัดหลวงชี” ต่อมาวัดนี้ชำรุดทรุดโทรมลง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๒ จึงโปรดให้รื้อวัดหลวงชีทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๓ ทรงอุทิศบริเวณสวนกระต่ายโปรดให้สร้างวัดขึ้นใหม่ พระราชทานนามว่า “วัดบวรสถานสุทธาวาส” เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อทรงแก้บน หรือเฉลิมพระเกียรติเมื่อครั้งได้เสด็จยกกองทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๘ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการก่อสร้างได้แล้วเสร็จ มีการเขียนจิตรกรรมเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ล้อมรอบ โดยมีพระราชดำริให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ให้มาประดิษฐาน แต่ก็ได้ล้มเลิกไป “กรุ” หมายถึง ช่องว่างหรือห้องเล็ก ๆ ภายในสถูปเจดีย์ พระปรางค์ หรือพระอุโบสถ ทำไว้เพื่อบรรจุพระพุทธรูป พระพิมพ์ เครื่องราชูปโภค หรือพระบรมสารีริกธาตุ คติการสร้างกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมพระพุทธปฏิมาและเครื่องบูชาต่างๆ นั้น มีหลักฐานกล่าวถึงจำนวนมาก ทั้งตำนานการอัญเชิญพระบรมธาตุจากลังกามาบรรจุยังสถานที่ต่างๆ อาทิ ตำนานพระปฐมเจดีย์ และจารึกวัดบูรพาราม แสดงให้เห็นความเชื่อการรับพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ผ่านการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ สอดคล้องกับคติพระมหาธาตุประจำเมือง ความศักดิ์สิทธิ์ และการอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา จากคัมภีร์ปฐมสมโพธิกถาเรื่อง “ธาตุนิธานกรรม” (การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) กล่าวว่า “ครั้งพระมหากัสสปะรวบรวมและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในมหาสถูปกรุงราชคฤห์ ให้ขุดดินฝังพระธาตุลึกลงไป ๘๐ ศอก ...ทำรูปพระบรมโพธิสัตว์ ๕๕๐ ชาติ รูปพระอสีติ ๗ องค์ รูปพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริมหามายา และสหชาติทั้ง ๗ พร้องเครื่องราชปสาธนอลังการาภรณ์ อันพระเจ้าอชาตศัตรูถวายภายในเป็นการสัการบูชา แล้วปิดทวารห้องพระบรมธาตุอย่างมั่นคง” ในคัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกา กล่าวถึง “...สมัยพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยโปรดให้สร้างธาตุคัพภจรนะ (ห้องพระบรมสารีริกธาตุ) เป็นห้องสี่เหลี่ยมขาวเหมือนก้อนเมฆตกแต่งอย่างวิจิตร ...ตั้งพระพุทธรูปทองคำประดับรัตนะบนบัลลังก์แวดล้อมด้วยพระพรหมถือฉัตร ท้าวสักกะถือสังข์ พระปัญจสิขรถือพิณ พญากาฬนาค และพญามารพันมือขี่ช้างพร้อมบริวาร สร้างรูปพุทธประวัติ รูปชาดก ท้าวมหาราชประจำ ๔ ทิศ รูปยักษ์ เทวดาประนมมือ ฟ้อนรำ ประโคมเครื่องดนตรี ถือสิ่งของเครื่องบูชาต่างๆ มีแถวตะเกียงสว่างไสว มุมทั้งสี่กองด้วยทอง แก้วมณี กองไข่มุก และกองเพชร จากนั้นกระทำธาตุนิธานะ แล้วก่อปิดสถูปไว้...” จากหลักฐานข้างต้น ทำให้เห็นว่าคติความเชื่อการสร้างกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องอุทิศถวายฯ ยังได้ส่งต่อมายังสมัยอยุธยาด้วยทั้งจากพระปรางค์วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระศรีมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และการบรรจุพระพุทธรูปภายในพระอุระของพระมงคลบพิตร ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ยังมีการพบกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมพระพุทธรูปและเครื่องบูชาต่างๆ ทั้งภายในสถูปเจดีย์และเพดานพระอุโบสถด้วย เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๐๗ ได้มีการสำรวจพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส และได้พบพระพุทธรูปพร้อมเครื่องอุทิศถวายต่างๆ จำนวนหนึ่งภายในเพดานของพระอุโบสถ ซึ่งสร้างมาจากแก้วผลึกหรือหินมีค่า ทองคำ และสัมฤทธิ์ สามารถกำหนดอายุได้ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยนำไปจัดแสดงอยู่ภายในส่วนของมุขกระสันด้านหลังพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เรียกว่า “ห้องมหรรฆภัณฑ์” เป็นห้องนิรภัยสำหรับเก็บรักษาเครื่องทองหลวง และของมีค่าหายาก อันเป็นสมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและได้จากการขุดค้นหรือสำรวจทางโบราณคดี ต่อมามีการปรับปรุงพื้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จึงได้ย้ายมาเก็บรักษา ณ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แต่ได้มีการนำพระพุทธรูปแก้วผลึกส่วนหนึ่งออกมาให้ประชาชนได้สักการะบูชาตามโอกาสสำคัญด้วย ____________________ อ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณวัตถุ กรุพระเจดีย์ วัดพระศรีสรรเพชญ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร ๒๕๖๔ กรมศิลปากร. วัดบวรสถานสุทธาวาส “วัด”ในเขตพระราชวังบวรสถานมงคล เข้าถึงเมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/T5ezS กรมศิลปากร. สักการะพระพุทธรูป ณ วังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : ทศพุทธปฏิมาวังหน้า. เข้าถึงเมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/OhEQ2 กรมศิลปากร. พระพุทธรูปและพระพิมพ์จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา : วิเคราะห์รูปแบบ แนวคิดและคติความเชื่อในการบรรจุในกรุเจดีย์. เข้าถึงเมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/BukAO


           สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ขอเชิญผู้สนใจร่วมฟังการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “สานสัมพันธ์ด้วยสัญญา” ภายใต้งานนิทรรศการพิเศษ เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 - 16.00 น. วิทยากรโดย นางพวงพร ศรีสมบูรณ์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ นางสาวทรายทอง ทองเกษม นักจดหมายเหตุชำนาญการ และ นายพงษ์ชนก โคจรานนท์ นักวิชาการอิสระ ดำเนินรายการโดย นางภาวิดา สมวงศ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ            ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานรับฟังการเสวนาได้ผ่านการสแกน QR Code หรือผ่าน Link https://forms.gle/ZvyL3Qkbtq5MojXP6  พร้อมลุ้นรับของที่ระลึก (รับจำนวนจำกัด จำนวน 100 ท่าน) ลงทะเบียนได้ตั้งแต่บัดนี้ หรือจนกว่าจะเต็ม https://www.facebook.com/share/p/CbZLRK5gT6tYXavu/?mibextid=WC7FNe








วัดบ่อทรัพย์           วัดบ่อทรัพย์ ตั้งอยู่ที่ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นวัดโบราณตั้งอยู่ทิศตะวันออกติดกับวัดสุวรรณคีรี และทิศตะวันตกติดกับวัดศิริวรรณาวาส (ร้าง) โดยมีประวัติว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ อุโบสถ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ และบ่อน้ำ เป็นบ่อน้ำกรุอิฐขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๖ เมตร ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัด บ่อน้ำแห่งนี้เชื่อว่าเป็นที่มาของชื่อวัด โดยมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า บ่อแห่งนี้มีทรัพย์สินอยู่จึงเรียกว่า บ่อทรัพย์ แต่มีข้อสันนิษฐานอีกประเด็นว่า บ่อน้ำแห่งนี้น่าจะเป็นบ่อที่มีน้ำตลอดทั้งปี จึงเรียกกันว่า บ่อซับ แต่เขียนกันต่อมาว่า บ่อทรัพย์     Wat Bo Sap           Wat Bo Sap is an old temple in Hua Khao Subdistrict, Singhanakhon District, Songkhla Province. The temple is situated west of Suwanna Khiri temple and east of Siri Wannawat temple.  It was built in 1817 and was registered as a temple in 1857. The significant structures in the temple compound include the ordination hall which was built according to the popular architectural style during the reign of King Rama III and IV, and a large brick-edged pond in front of the temple. The diameter of the pond is 6 meters. It is believed that the temple derived its name from this pond as it was told that the well contained some assets (meaning “Sap”  in Thai). Another assumption is that the pond never runs out of water, so it was called “Bo Sap,” which translates to “the well with underground water” in Thai.           The Fine Arts Department announced the registration of Wat Bo Sap as part of the old town Songkhla and as a national monument in Government Gazette Volume 109, Part 119, dated September 17, 1992.   


ชื่อเรื่อง : สนทนาอังกฤษประจำบ้าน หัวเรื่อง : ภาษาอังกฤษ -- ตำราสำหรับชนต่างชาติ             ภาษาอังกฤษ -- บทสนทนา คำค้น : ภาษาอังกฤษ รายละเอียด : - ผู้แต่ง : ชิน ชมศิริ แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์ศิลป์อักษร ปีที่พิมพ์ : 2499 วันที่เผยแพร่ : 30 มกราคม 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : รวมประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งรวมไว้ทั้งหมด 50 บท มีทั้งคำอ่านภาษาไทยและคำแปล เลขทะเบียน : น. 36 บ. 4800 จบ. เลขหมู่ : 428.3495911             ช561ส


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       82/3หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               60 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 




black ribbon.