ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,710 รายการ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เปิดให้ชมความวิจิตรงดงามของเรือพระราชพิธียามค่ำคืน มรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าแห่งสายน้ำ ระหว่างวันที่ 26 - 28 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 น. - 20.30 น. ปีนี้จัดภายใต้แนวคิด Bloom into the Night การเบ่งบานทางวัฒนธรรม มีไฮไลท์ช่วงค่ำที่ไม่ควรพลาด ดังต่อไปนี้ 1. ชมความวิจิตรงดงามของเรือพระราชพิธีในบรรยากาศยามค่ำคืน พร้อมการนำชมรอบพิเศษ วันละ 3 รอบ (เวลา 17.00, 18.00, 19.00 น.)  2. การประดิษฐ์ดอกไม้ในพระนามาภิไธย ควีนสิริกิติ์ (เวลา 17.00 - 20.00 น.) 3 สนุกกับกิจกรรม work shop ที่ตอบโจทย์สำหรับทุกคนในครอบครัว วันละ 3 รอบ (เวลา 17.00, 18.00, 19.00 น.) วันที่ 26 ธันวาคม 2568 Blooming Impressions Card DIY การ์ดภาพพิมพ์เรือพระราชพิธีจากดอกไม้, วันที่ 27 - 28 ธันวาคม 2568 Thai Pattern Impressions on Fabric Bags DIY ถุงผ้าลายฉลุ  4. Bloom Stamp สะสมโปสการ์ดและประทับตราภาพเรือพระราชพิธี ด้วย Multi-Color Layered Flash Stamp 5. Bloom Music เพลิดเพลินในบรรยากาศริมน้ำกับดนตรีสดฟังสบายหลากหลายสไตล์ (เวลา 18.00 – 20.00 น.) วันที่ 26 ธันวาคม 2568 ดนตรีโฟล์กเพลงไทย สากลย้อนยุค, วันที่ 27 - 28 ธันวาคม 2568 ดนตรีสากลเพลงลูกกรุงและเพลงพระราชนิพนธ์ โดยสำนักการสังคีต ค่าบัตรเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ ไม่เสียค่าเข้าชม สถานที่จอดรถโรงแรมอาร์ดี มีค่าบริการคันละ 100 บาท ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทางเฟซบุ๊ก Royal Barges National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี https://www.facebook.com/RoyalBargesNationalMuseum สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0 2424 0004 ------------------------------------------------------- Night at the Museum “Bloom into the Night” This New Year’s Eve, from 26–28 December, join us for the Night Museum Fair at the Royal Barges National Museum. What to expect * The Majestic Royal Barges, an exquisite cultural legacy of Thailand’s waterborne traditions. * Special activities, including workshops such as Queen Sirikit Flower Craft, sculpture painting, DIY cloth bags and keychains, a Museum Market, and a musical performance by the Office of Performing Arts. Admission fee: THB 200 for foreigners * Museum Market opens at 3:00 p.m. * Workshops begin at 5:00 p.m. * Musical performance begins at 6:00 p.m. Date: 26–28 December 2025 Time: 9:00 a.m. – 8:30 p.m. Venue: Royal Barges National Museum Water Transportation: Rental boats Car Park: RD Hotel Parking fee: 100 THB per vehicle ---------------------------------------------------------- หน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนการจัดกิจกรรม สำนักการสังคีต กรมศิลปากร https://www.facebook.com/share/1CbPdbdiZ4/?mibextid=wwXIfr สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร https://www.facebook.com/officeoftraditionalarts/photos คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร (โชติเวช) https://hec.rmutp.ac.th/ ผู้ประกอบการและชุมชน เรือบุญ เครื่องหอมจากดอกไม้และสมุนไพร https://www.facebook.com/share/1DMiBnGt5Q/?mibextid=wwXIfr หัวโขนลูกพระพายแห่งบ้านบุ เวิร์คชอประบายสีหัวโขนจำลอง https://www.facebook.com/profile.php?id=100063260767999 เรือนชาลีลาวดี https://www.facebook.com/FrangipaniTearoom? Sultana Halal Bangkoknoi สุลตาน่า บางกอกน้อย https://www.facebook.com/share/1CyJEZsKwd/?mibextid=wwXIfr ร้านจำหน่ายสินค้าจากศิลปินอาร์ตทอย Muekrabi (มือกระบี่สตูดิโอ) https://www.facebook.com/muekrabi? Pixel crafts  https://www.facebook.com/pixelcraftsarttoy? Kuma Mønster https://www.facebook.com/Kumamonster.Cactus? BUU SHA https://www.facebook.com/BUUSHA87? ผ้าโบราณ(พี่จั่น) Mauhandmade_design https://www.instagram.com/mauhandmade_design... Insine Cartoonist https://www.facebook.com/insinetalk? Cat plays https://www.facebook.com/share/1BaWS5TVF2/ รัญจวน https://www.facebook.com/profile.php?id=61551088132420 ปลุกผี https://www.facebook.com/KongRagchakari? MGC https://www.facebook.com/mgc.arttoy? ๙หน้า https://www.facebook.com/profile.php?id=100064402883203 Abinesh.brand https://www.instagram.com/abinesh.brand... ธยาน https://www.facebook.com/Dhayana.Studio? moai https://www.facebook.com/profile.php?id=100068631597131 ATT : Art Toys Thailand


วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ที่มีประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปะ วัฒนธรรมของล้านนาที่สำคัญมาอย่างยาวนาน โดยได้รับการสืบทอดและดูแลจากพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรล้านนา ในปัจจุบันวัดโลกโมฬีเป็นอีกหนึ่งวัดที่การสืบสานประเพณี และวัฒนธรรมอันล้ำค่าอย่างต่อเนื่องของเมืองเชียงใหม่ วัดโลกโมฬี เป็นพระอารามหลวงนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยใด แต่ก็มีข้อมูลยืนยันและปรากฏชื่อครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๖ ในราชวงศ์มังราย เมื่อคราวที่พระองค์โปรดฯ ให้ไปอาราธนาพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี จากเมืองพันหรือเมาะตะมะ ประเทศพม่า ให้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา แต่พระอุทุมพรบุปผามหาสวามีทรงชราภาพ จึงได้ส่งคณะสงฆ์ ๑๐ รูปมาแทน พระเจ้ากือนา จึงโปรดฯ ให้คณะสงฆ์ดังกล่าวไปจำพรรษา ณ วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง จากตำนานพระธาตุดอยสุเทพ หน้า ๘ กล่าวว่า “... ท้าวกือนา ได้เสวยราชสมบัติในชุมพูนทบุรีศรีมหานครเมืองพิงเชียงใหม่ ได้ยินปวัติข่าวสาร สุปฏิปันนตาทิ คุณแห่งอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้าอยู่เมืองพัน จึงใช้ราชทูตไปราธนามหาสวามีเจ้ามหาสวามีเจ้าบ่มา เจ้าใช้หื้อเถรเจ้าทั้งหลายอันเปนลูกศิษย์มา ๑๐ ตน มีอานนทเถรเจ้าเปนแก่มา ท้าวกือนาก็หื้อเถรเจ้าทั้งหลายอันอยู่วัดโลกลวยหัวเวียงแล...” เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๙ ในราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงใช้เป็นที่รับรองพระเถระทั้งหลายที่มาร่วมงานสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘ เมื่อปีพ.ศ. ๒๐๗๐ พระเมืองเกษเกล้าหรือพญาเกสเชษฐราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๒ ในราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงเป็นผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีพระองค์แรก ซึ่งพระเมืองเกษเกล้าได้โปรดเกล้าฯ ยกบ้านหัวเวียงให้เป็นวัดและได้ทำการก่อสร้างเจดีย์และวิหารขึ้นภายในบริเวณวัด ต่อมาเจดีย์ของวัดโลกโมฬี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๗๑ จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๘๗ กล่าวว่า “ปีกุน จุลศักราช ๘๘๙ (พ.ศ.๒๐๗๐) สร้างบ้านหัวเวียงให้เป็นอาราม ให้ชื่อว่าวัดโมฟีโลก กับให้สร้างวัดบุญเกียร สร้างวิหารปีชวด จุลศักราช ๘๙๐ (พ.ศ.๒๐๗๑) ให้ก่อมหาเจดีย์ และสร้างวิหาร วัดโมฟีโลกปีฉลู” สมัยพระเมืองเกษเกล้า ช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๐๘๑ เป็นยุคที่อาณาจักรล้านนาอ่อนแอและวุ่นวาย เนื่องจากภายในเกิดความไม่สามัคคี แตกแยกและขัดแย้งกัน ระหว่างขุนนางและกษัตริย์ สืบเนื่องจากพระโอรสท้าวซายคำปฏิวัติยึดอำนาจจากพระเมืองเกษเกล้า ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ และขับไล่พระองค์ออกไปอยู่เมืองน้อย (ปัจจุบันคืออำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน) และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๓ ในราชวงศ์มังราย แต่ในการบริหารบ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวายและเกิดเหตุจลาจลบ่อยครั้ง กลุ่มขุนนางแตกแยกออกจากกันเป็นกลุ่มๆ และเกิดการช่วงชิงอำนาจกันเอง ท้าวซายคำ ทรงครองราชย์ได้เพียง ๕ ปี ช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๐๘๑ - ๒๐๘๖ ก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยกลุ่มขุนนางกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากท้าวซายคำ ขาดความชอบธรรมในราชบัลลังก์ ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และปฏิบัติผิดราชประเพณีอยู่ประจำ ต่อมากลุ่มขุนนางส่วนใหญ่จึงอัญเชิญพระเมืองเกษเกล้ากลับมาครองราชบัลลังก์ตามเดิม เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๔ ในราชวงศ์มังราย เป็นกษัตริย์ครั้งที่ ๒ บ้านเมืองก็ยังไม่ปกติสุขเกิดความแตกแยกถึงขั้นสงครามกลางเมือง และราษฎรยังคงเดือดร้อนเป็นอันมาก จนเป็นเหตุให้ก็ถูกกลุ่มแสนคร้าว รวมถึงเหล่าขุนนางในเชียงใหม่ลอบปลงพระชนม์พระเมืองเกษเกล้า ในปี พ.ศ. ๒๐๘๘ และได้ทำพิธีที่วัดแสนนอก นำพระบรมอัฐิมาบรรจุไว้ที่วัดโลกโมฬีด้านเหนือของพระอาราม จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๒ “เช่นเจ้าตนนี้คือหมื่นมหินท ไปกินเมืองเชียงแสนปีเปิกเส็ดศักราช ๙๐๐ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๑) เสนาอำมาตย์ ทั้งหลายบ่เบิงใจ พระเมืองเกศเขาลวดพร้อมกันปลงพระยาเกศเอาไปไว้เสียเมืองน้อยเอาเจ้าพ่อท้าวชายตนเป็นลูกขึ้นนั่งแท่นแก้วในปีเปิกเส็ดนั้น เช่นนี้คือพระยาสุทธสนะไปกินเชียงแสน เจ้าพ่อท้าวชายเสวยเมืองบ่ชอบทศราชธรรมเสนาอำมาตย์พร้อมกันฆ่าพ่อท้าวชายเสียในปีก่าเหม้า ศักราช ๙๐๕ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๖) ซ้ำไปเอาพระเมืองเกศเชฐราช ยังเมืองน้อยคืนมาเสวยเมืองแถม พระเมืองเกศเชฐราชได้เสวยเมืองสองที่อยู่ได้สองปีถึงปีดับไส้ศักราช ๙๐๗ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๘) เจ้าพระยาเกศเชฐราชกระทำบุญหื้อชาวเจ้าหนป่าแดงลงอุปสัมปทะกรรมยังท่ามหาฐาน แล้วเข้ามาทางประตูหัวเวียงยามพาดค่ำ แสนคร้าวจำหื้อหมื่นเตลิน ลูกพ่อท้าวเชียงคงหนึ่ง ลูกหมื่นอ้าย พวกช้างหน่อคำ ๑ หมื่นเสิมลูกแสนคร้าวหนึ่ง หื้อกระทำฆาตะวิพาศแก่เจ้าพญาเชฐราชพระเมืองเกศ ยังหัวข่วงหลวงเบื้องเหนือแล้วเอาไปส่งสะก๋ารยังวัดแสนพอกเอากระดูกไปบรรจุไว้ยังวัดโลกโมฬี ฝ่ายแจ่งหนเหนือทางนอกหั้น” ต่อมากลุ่มเชียงแสน ประกอบไปด้วยเจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าเมืองลำปาง เจ้าเมืองพาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนและเป็นกลุ่มของพระนางจิรประภาเทวีเอง ได้ทำการกวาดล้างกลุ่มแสนคร้าวได้สำเร็จ และต้องการอัญเชิญเจ้าอุปโยวราช หรือสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช (หลวงพระบาง) มาครองอาณาจักรล้านนา ด้วยพระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดา โดยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เป็นพระโอรสของพระยาโพธิสาลราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างกับพระนางยอดคำทิพย์ ซึ่งพระนางยอดคำทิพย์เป็นพระราชธิดาของพระเมืองเกษเกล้าและพระนางจิรประภาเทวี ในช่วงระหว่างการรอการเสด็จมาของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เหล่าบรรดาขุนนาง จึงได้อัญเชิญพระนางจิรประภาเทวี พระอัครมเหสีในพระเมืองเกษเกล้า และเป็นพระราชมารดาท้าวซายคำ ขึ้นเป็นพระมหากษัตรีย์พระองค์แรกแห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๕ ในราชวงศ์มังราย เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๘๘ จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๓ “...ขณะนั้นเจ้าขุนทั้งหลายลุกเมืองเชียงแสนมารอดเชียงใหม่ เอาแสนคร้าวหนึ่งหมื่นเตริน ลูกพ่อท้าวเชียงคงหนึ่ง ลูกหมื่นอ้ายพวกช้าง หน่อคำหนึ่ง หมื่นเสิมลูกแสนคร้าวหนึ่งฝูงอันเขาพร้อมกันฆ่าเจ้าพระยาเกศเชษฐราชนั้นไปฆ่าเสียนับเสี้ยง แล้วจึงพร้อมกันเอามหาเทวีเจ้าจิรประภา เป็นพระยาในนี้ดับใส้ศักราช ๙๐๗ ตัวเดือน ๑๐ แรม ๒ ค่ำ เม็งวัน ๕ ไทยเปิกยี่หั้นแลฯ” หลังจากนั้นได้การถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระนางจิรประภาได้สร้างเจดีย์บรรจุพระอัฐิพระราชบิดาไว้บริเวณวัดโลกโมฬี จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๓ “เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ วัน ๗ (เสาร์) ไทยกดสีมาตั้งทัพอยู่เวียงรั้วนาง แรม ๖ ค่ำมากระทำกุศลบุญยังกู่เฝ้าเจ้าพระยาเกศเชษฐราชยังวัดโลกโมฬี...” สำหรับเจดีย์วัดโลกโมฬี เป็นทรงปราสาท ตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนาที่มีความสูงและสวยงาม ทั้งนี้ในภายหลังได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนฐานปัทม์ การตกแต่งด้วยลูกแก้วอกไก่ หรือซุ้มจระนำ นอกจากนี้ได้มีการบูรณะยอดองค์พระเจดีย์ โดยการเพิ่มรูปทรงระฆัง บัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ปล้องไฉน หรือปลี ซึ่งรูปทรงระฆังและบัลลังก์นั้น เป็นลักษณะร่วมของทรงระฆัง ส่วนวิหารหลวงวัดโลกโมฬี เป็นวิหารที่สร้างขึ้นในภายหลัง หลังจากการยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา มีการออกแบบในรูปแบบสถาปัตยกรรมศิลปะแบบล้านนาที่มีลักษณะงดงาม ประณีต โดยใช้ไม้สักเป็นวัสดุหลักในการสร้าง และตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างสวยงาม ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ และนำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้บนพระเมาลีในปัจจุบันวัดโลกโมฬี เป็นที่เคารพและสักการะจากประชาชนเป็นจำนวนมาก วัดโลกโมฬี ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ประดิษฐานภายในวัด อย่างเช่น พระพุทธอโรคยาปฐมาสุขี เป็นพระพุทธรูปปางหมอยา ผู้เป็นพระบรมครูแห่งยารักษาโรคและความเป็นเลิศในด้านความไม่มีโรค รู้ถึงแนวทางการขจัดปัดเป่าให้พ้นจากความทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย อันเป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยวสำหรับคนป่วยทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ส่วนบริเวณหน้ากุฏิคุ้มพญาเกศ มีพระพุทธรูปที่หล่อด้วยเงินทั้งองค์ คือ หลวงพ่อเงินเปิดโลกทันใจ เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก มีลักษณะยืนอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองข้างห้อยลงบนพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองไปข้างหน้า เป็นกริยาทรงเปิดโลก อันเป็นมหามงคลในการเปิดดวงชะตาให้พบกับหนทางสว่างเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีวิหารพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันมือ พระพรหม พระพิฆเนศปางร่ายรำ (ปางนฤตยะ คณปติ) ถือว่าองค์บรมครูแห่งศิลปะวิทยาการ ๑๘ ประการ ซึ่งเป็นเทพแห่งศิลปะทั้งมวล ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร องค์พ่อจตุคามรามเทพ พ่อปู่ภุชงค์นาคราช หรือพญาภุชงค์นาคราช และพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้าศึก เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติพากันมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง : ตำนานพระธาตุดอยสุเทพ.  พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๒. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าหญิงจามรีวงศ์ ท จ. ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๔๗๒).บุญเสริม สาตราภัย.  ลานนาไทยในอดีต.  เชียงใหม่: โรงพิมพ์ช้างเผือกการพิมพ์, ๒๕๒๒.ประวิทย์ ตันตลานุกุล.  พระมหากษัตริย์กับวัดในตำนานล้านนา.  เชียงใหม่: เชียงใหม่โรงพิมพ์แสงศิลป์, ๒๕๕๒.พระครูโสภณกวีวัฒน์ (ธนจรรย์ สุระมณี).  ตำนานเมืองเชียงใหม่.  เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๕๐.สำนักนายกรัฐมนตรี.  ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่.  พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔.


วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ที่มีประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปะ วัฒนธรรมของล้านนาที่สำคัญมาอย่างยาวนาน โดยได้รับการสืบทอดและดูแลจากพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรล้านนา ในปัจจุบันวัดโลกโมฬีเป็นอีกหนึ่งวัดที่การสืบสานประเพณี และวัฒนธรรมอันล้ำค่าอย่างต่อเนื่องของเมืองเชียงใหม่ วัดโลกโมฬี เป็นพระอารามหลวงนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยใด แต่ก็มีข้อมูลยืนยันและปรากฏชื่อครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๖ ในราชวงศ์มังราย เมื่อคราวที่พระองค์โปรดฯ ให้ไปอาราธนาพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี จากเมืองพันหรือเมาะตะมะ ประเทศพม่า ให้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา แต่พระอุทุมพรบุปผามหาสวามีทรงชราภาพ จึงได้ส่งคณะสงฆ์ ๑๐ รูปมาแทน พระเจ้ากือนา จึงโปรดฯ ให้คณะสงฆ์ดังกล่าวไปจำพรรษา ณ วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง จากตำนานพระธาตุดอยสุเทพ หน้า ๘ กล่าวว่า “... ท้าวกือนา ได้เสวยราชสมบัติในชุมพูนทบุรีศรีมหานครเมืองพิงเชียงใหม่ ได้ยินปวัติข่าวสาร สุปฏิปันนตาทิ คุณแห่งอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้าอยู่เมืองพัน จึงใช้ราชทูตไปราธนามหาสวามีเจ้ามหาสวามีเจ้าบ่มา เจ้าใช้หื้อเถรเจ้าทั้งหลายอันเปนลูกศิษย์มา ๑๐ ตน มีอานนทเถรเจ้าเปนแก่มา ท้าวกือนาก็หื้อเถรเจ้าทั้งหลายอันอยู่วัดโลกลวยหัวเวียงแล...” เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๙ ในราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงใช้เป็นที่รับรองพระเถระทั้งหลายที่มาร่วมงานสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘ เมื่อปีพ.ศ. ๒๐๗๐ พระเมืองเกษเกล้าหรือพญาเกสเชษฐราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๒ ในราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงเป็นผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีพระองค์แรก ซึ่งพระเมืองเกษเกล้าได้โปรดเกล้าฯ ยกบ้านหัวเวียงให้เป็นวัดและได้ทำการก่อสร้างเจดีย์และวิหารขึ้นภายในบริเวณวัด ต่อมาเจดีย์ของวัดโลกโมฬี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๗๑ จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๘๗ กล่าวว่า “ปีกุน จุลศักราช ๘๘๙ (พ.ศ.๒๐๗๐) สร้างบ้านหัวเวียงให้เป็นอาราม ให้ชื่อว่าวัดโมฟีโลก กับให้สร้างวัดบุญเกียร สร้างวิหารปีชวด จุลศักราช ๘๙๐ (พ.ศ.๒๐๗๑) ให้ก่อมหาเจดีย์ และสร้างวิหาร วัดโมฟีโลกปีฉลู” สมัยพระเมืองเกษเกล้า ช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๐๘๑ เป็นยุคที่อาณาจักรล้านนาอ่อนแอและวุ่นวาย เนื่องจากภายในเกิดความไม่สามัคคี แตกแยกและขัดแย้งกัน ระหว่างขุนนางและกษัตริย์ สืบเนื่องจากพระโอรสท้าวซายคำปฏิวัติยึดอำนาจจากพระเมืองเกษเกล้า ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ และขับไล่พระองค์ออกไปอยู่เมืองน้อย (ปัจจุบันคืออำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน) และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๓ ในราชวงศ์มังราย แต่ในการบริหารบ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวายและเกิดเหตุจลาจลบ่อยครั้ง กลุ่มขุนนางแตกแยกออกจากกันเป็นกลุ่มๆ และเกิดการช่วงชิงอำนาจกันเอง ท้าวซายคำ ทรงครองราชย์ได้เพียง ๕ ปี ช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๐๘๑ - ๒๐๘๖ ก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยกลุ่มขุนนางกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากท้าวซายคำ ขาดความชอบธรรมในราชบัลลังก์ ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และปฏิบัติผิดราชประเพณีอยู่ประจำ ต่อมากลุ่มขุนนางส่วนใหญ่จึงอัญเชิญพระเมืองเกษเกล้ากลับมาครองราชบัลลังก์ตามเดิม เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๔ ในราชวงศ์มังราย เป็นกษัตริย์ครั้งที่ ๒ บ้านเมืองก็ยังไม่ปกติสุขเกิดความแตกแยกถึงขั้นสงครามกลางเมือง และราษฎรยังคงเดือดร้อนเป็นอันมาก จนเป็นเหตุให้ก็ถูกกลุ่มแสนคร้าว รวมถึงเหล่าขุนนางในเชียงใหม่ลอบปลงพระชนม์พระเมืองเกษเกล้า ในปี พ.ศ. ๒๐๘๘ และได้ทำพิธีที่วัดแสนนอก นำพระบรมอัฐิมาบรรจุไว้ที่วัดโลกโมฬีด้านเหนือของพระอาราม จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๒ “เช่นเจ้าตนนี้คือหมื่นมหินท ไปกินเมืองเชียงแสนปีเปิกเส็ดศักราช ๙๐๐ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๑) เสนาอำมาตย์ ทั้งหลายบ่เบิงใจ พระเมืองเกศเขาลวดพร้อมกันปลงพระยาเกศเอาไปไว้เสียเมืองน้อยเอาเจ้าพ่อท้าวชายตนเป็นลูกขึ้นนั่งแท่นแก้วในปีเปิกเส็ดนั้น เช่นนี้คือพระยาสุทธสนะไปกินเชียงแสน เจ้าพ่อท้าวชายเสวยเมืองบ่ชอบทศราชธรรมเสนาอำมาตย์พร้อมกันฆ่าพ่อท้าวชายเสียในปีก่าเหม้า ศักราช ๙๐๕ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๖) ซ้ำไปเอาพระเมืองเกศเชฐราช ยังเมืองน้อยคืนมาเสวยเมืองแถม พระเมืองเกศเชฐราชได้เสวยเมืองสองที่อยู่ได้สองปีถึงปีดับไส้ศักราช ๙๐๗ ตัว (พ.ศ. ๒๐๘๘) เจ้าพระยาเกศเชฐราชกระทำบุญหื้อชาวเจ้าหนป่าแดงลงอุปสัมปทะกรรมยังท่ามหาฐาน แล้วเข้ามาทางประตูหัวเวียงยามพาดค่ำ แสนคร้าวจำหื้อหมื่นเตลิน ลูกพ่อท้าวเชียงคงหนึ่ง ลูกหมื่นอ้าย พวกช้างหน่อคำ ๑ หมื่นเสิมลูกแสนคร้าวหนึ่ง หื้อกระทำฆาตะวิพาศแก่เจ้าพญาเชฐราชพระเมืองเกศ ยังหัวข่วงหลวงเบื้องเหนือแล้วเอาไปส่งสะก๋ารยังวัดแสนพอกเอากระดูกไปบรรจุไว้ยังวัดโลกโมฬี ฝ่ายแจ่งหนเหนือทางนอกหั้น” ต่อมากลุ่มเชียงแสน ประกอบไปด้วยเจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าเมืองลำปาง เจ้าเมืองพาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนและเป็นกลุ่มของพระนางจิรประภาเทวีเอง ได้ทำการกวาดล้างกลุ่มแสนคร้าวได้สำเร็จ และต้องการอัญเชิญเจ้าอุปโยวราช หรือสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช (หลวงพระบาง) มาครองอาณาจักรล้านนา ด้วยพระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดา โดยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เป็นพระโอรสของพระยาโพธิสาลราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างกับพระนางยอดคำทิพย์ ซึ่งพระนางยอดคำทิพย์เป็นพระราชธิดาของพระเมืองเกษเกล้าและพระนางจิรประภาเทวี ในช่วงระหว่างการรอการเสด็จมาของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เหล่าบรรดาขุนนาง จึงได้อัญเชิญพระนางจิรประภาเทวี พระอัครมเหสีในพระเมืองเกษเกล้า และเป็นพระราชมารดาท้าวซายคำ ขึ้นเป็นพระมหากษัตรีย์พระองค์แรกแห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๕ ในราชวงศ์มังราย เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๘๘ จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๓ “...ขณะนั้นเจ้าขุนทั้งหลายลุกเมืองเชียงแสนมารอดเชียงใหม่ เอาแสนคร้าวหนึ่งหมื่นเตริน ลูกพ่อท้าวเชียงคงหนึ่ง ลูกหมื่นอ้ายพวกช้าง หน่อคำหนึ่ง หมื่นเสิมลูกแสนคร้าวหนึ่งฝูงอันเขาพร้อมกันฆ่าเจ้าพระยาเกศเชษฐราชนั้นไปฆ่าเสียนับเสี้ยง แล้วจึงพร้อมกันเอามหาเทวีเจ้าจิรประภา เป็นพระยาในนี้ดับใส้ศักราช ๙๐๗ ตัวเดือน ๑๐ แรม ๒ ค่ำ เม็งวัน ๕ ไทยเปิกยี่หั้นแลฯ” หลังจากนั้นได้การถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระนางจิรประภาได้สร้างเจดีย์บรรจุพระอัฐิพระราชบิดาไว้บริเวณวัดโลกโมฬี จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ หน้า ๗๓ “เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ วัน ๗ (เสาร์) ไทยกดสีมาตั้งทัพอยู่เวียงรั้วนาง แรม ๖ ค่ำมากระทำกุศลบุญยังกู่เฝ้าเจ้าพระยาเกศเชษฐราชยังวัดโลกโมฬี...” สำหรับเจดีย์วัดโลกโมฬี เป็นทรงปราสาท ตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนาที่มีความสูงและสวยงาม ทั้งนี้ในภายหลังได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนฐานปัทม์ การตกแต่งด้วยลูกแก้วอกไก่ หรือซุ้มจระนำ นอกจากนี้ได้มีการบูรณะยอดองค์พระเจดีย์ โดยการเพิ่มรูปทรงระฆัง บัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ปล้องไฉน หรือปลี ซึ่งรูปทรงระฆังและบัลลังก์นั้น เป็นลักษณะร่วมของทรงระฆัง ส่วนวิหารหลวงวัดโลกโมฬี เป็นวิหารที่สร้างขึ้นในภายหลัง หลังจากการยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา มีการออกแบบในรูปแบบสถาปัตยกรรมศิลปะแบบล้านนาที่มีลักษณะงดงาม ประณีต โดยใช้ไม้สักเป็นวัสดุหลักในการสร้าง และตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างสวยงาม ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ และนำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้บนพระเมาลีในปัจจุบันวัดโลกโมฬี เป็นที่เคารพและสักการะจากประชาชนเป็นจำนวนมาก วัดโลกโมฬี ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ประดิษฐานภายในวัด อย่างเช่น พระพุทธอโรคยาปฐมาสุขี เป็นพระพุทธรูปปางหมอยา ผู้เป็นพระบรมครูแห่งยารักษาโรคและความเป็นเลิศในด้านความไม่มีโรค รู้ถึงแนวทางการขจัดปัดเป่าให้พ้นจากความทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย อันเป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยวสำหรับคนป่วยทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ส่วนบริเวณหน้ากุฏิคุ้มพญาเกศ มีพระพุทธรูปที่หล่อด้วยเงินทั้งองค์ คือ หลวงพ่อเงินเปิดโลกทันใจ เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก มีลักษณะยืนอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองข้างห้อยลงบนพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองไปข้างหน้า เป็นกริยาทรงเปิดโลก อันเป็นมหามงคลในการเปิดดวงชะตาให้พบกับหนทางสว่างเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีวิหารพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันมือ พระพรหม พระพิฆเนศปางร่ายรำ (ปางนฤตยะ คณปติ) ถือว่าองค์บรมครูแห่งศิลปะวิทยาการ ๑๘ ประการ ซึ่งเป็นเทพแห่งศิลปะทั้งมวล ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร องค์พ่อจตุคามรามเทพ พ่อปู่ภุชงค์นาคราช หรือพญาภุชงค์นาคราช และพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้าศึก เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติพากันมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง : ตำนานพระธาตุดอยสุเทพ.  พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๒. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าหญิงจามรีวงศ์ ท จ. ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๔๗๒).บุญเสริม สาตราภัย.  ลานนาไทยในอดีต.  เชียงใหม่: โรงพิมพ์ช้างเผือกการพิมพ์, ๒๕๒๒.ประวิทย์ ตันตลานุกุล.  พระมหากษัตริย์กับวัดในตำนานล้านนา.  เชียงใหม่: เชียงใหม่โรงพิมพ์แสงศิลป์, ๒๕๕๒.พระครูโสภณกวีวัฒน์ (ธนจรรย์ สุระมณี).  ตำนานเมืองเชียงใหม่.  เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๕๐.สำนักนายกรัฐมนตรี.  ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่.  พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔.





เอนก นาวิกมูล.  ผีไทย = Thai ghosts.  กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2567.  หนังสือผีไทย โดย เอนก นาวิกมูล พาผู้อ่านสำรวจโลกเหนือธรรมชาติผ่านตำนานผีจากทุกภูมิภาคของไทย ทั้งผีกระสือ ผีปอบ เปรต และผีอีกกว่าสิบชนิด พร้อมข้อมูลประวัติ ความเชื่อ และลักษณะเฉพาะของผีแต่ละประเภท เนื้อหาไม่เพียงบอกเล่าเรื่องสยองขวัญ แต่ยังสะท้อนรากวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคนไทย ภายในเล่มมีภาพประกอบสวยงามสมจริงช่วยเติมบรรยากาศ เหมาะสำหรับทั้งผู้สนใจตำนานพื้นบ้านและผู้อยากทำความรู้จักมรดกความเชื่อของไทยอย่างลึกซึ้ง     133.1593       อ893ผ ห้องหนังสือทั่วไป 1


กำพล จำปาพันธ์.  Siamese cat สยามวิฬาร์ & ประวัติศาสตร์ไทยฉบับแมวเหมียว.  กรุงเทพฯ: มติชน, 2567. หนังสือ Siamese cat สยามวิฬาร์ & ประวัติศาสตร์ไทยฉบับแมวเหมียว พาผู้อ่านสำรวจเส้นทางของแมวในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่ยุคอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ จนถึงทศวรรษ 2470–2500 ผ่านแง่มุมการเมือง สังคม และวัฒนธรรมที่ทำให้แมวจากสัตว์เลี้ยงกลายเป็นไอดอลสี่ขาในสายตาผู้คน เนื้อหาเชื่อมโยงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่เคยมีแต่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เข้ากับบทบาทของแมวในชีวิตผู้คน พร้อมถ่ายทอดอารมณ์ความผูกพันแบบทาสแมวที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน       636.8       ก581ส ห้องหนังสือทั่วไป 2


นริศ จรัสจรรยาวงศ์.  ตำรับสร้าง(รส)ชาติ.  กรุงเทพฯ: มติชน, 2567. หนังสือตำรับสร้าง(รส)ชาติ ของ นริศ จรัสจรรยาวงศ์ ไม่ใช่คู่มือลงครัว แต่เป็นการพาผู้อ่านลิ้มรสประวัติศาสตร์ตำราอาหารไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านเรื่องราวการเปลี่ยนจากการบอกเล่ามุขปาฐะสู่การบันทึกลายลักษณ์ การเผยแพร่อาหารชาววังสู่สาธารณะ การรับวัฒนธรรมอาหารต่างชาติ การเกิดภัตตาคารและสูตรอาหารจานด่วน ไปจนถึงการรวบรวม 101 ตำรากับข้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เป็นการผสมผสานมิติทางวัฒนธรรม การเมือง และสังคมที่ทำให้อาหารกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชาติ     641.59593       น251ต ห้องหนังสือทั่วไป 2


เสฐียรพงษ์ วรรณปก.  ผีสางคางแดง.  พิมพ์ครั้งที่ 3.  กรุงเทพฯ: มติชน, 2554. ผีสางคางแดง เป็นหนังสือรวมบทความของศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ที่เคยตีพิมพ์ต่อเนื่องในนิตยสาร ว่าด้วยเรื่องผี เปรต เทวดา และสิ่งลี้ลับที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของมนุษย์ เนื้อหาอ้างอิงทั้งจากพระไตรปิฎกและประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ถ่ายทอดความเชื่อและข้อคิดเกี่ยวกับภพภูมิต่าง ๆ การเวียนว่ายตายเกิด และผลของกรรม พร้อมชวนผู้อ่านพิจารณาอย่างเปิดใจ แม้ยังพิสูจน์ด้วยตนเองไม่ได้ก็สามารถอ่านเป็นข้อคิดและความบันเทิง โดยมีทั้งเรื่องเล่าหลอน ข้อธรรม และเกร็ดความรู้ที่เชื่อมโยงโลกวิญญาณกับวิถีชีวิตมนุษย์        133.1        ส893ผ ห้องหนังสือทั่วไป 1


       หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง ขอเชิญชวนน้อง ๆ เข้าร่วมกิจกรรม "ประดิษฐ์โมบาย 3D ต้อนรับปีใหม่" ในวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2568 เวลา 13.30 - 15.30 น. ณ ห้องรักการอ่าน หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง โทร. 0 85474 5150 (พี่ปุ๋ย) Facebook. หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ตรัง https://www.facebook.com/nltrang.finearts


       หอสมุดแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เรียนรู้ศิลปะการทำขนมด้วยตัวเอง กิจกรรม "โอรีโอ้ป๊อป" คริสต์มาส: Oreo Pop ในวันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม 2568 เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป รับจำนวนจำกัด ณ ห้องเด็กและเยาวชน หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช ลงทะเบียนออนไลน์ https://forms.gle/zkGGs3atm3mDDLvo6 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 75324137 - 8 Facebook หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช Nakhonsithammarat National Library 


ประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลงานสรรหาผู้ให้บริการห้องสุขาสำหรับนักท่องเที่ยว บริเวณลานจอดรถโบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม


         กรมศิลปากร ขอเชิญชวนร่วมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๙ ไปกับ พนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ที่จะมาให้ข้อมูลกิจกรรมหลากหลาย ที่กรมศิลปากรพร้อมเสิร์ฟให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ผ่านรายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ - ๑๑.๔๕ น. ผ่านช่องทาง Facebook: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook: กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร           รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร รวมทั้งกิจกรรมที่น่าสนใจของหน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๙ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๘ - กันยายน ๒๕๖๙


  ขอเชิญร่วมกิจกรรม  “DIY ต้นคริสต์มาสสุดคิ้วท์” -ในโครงการ KIDsเรียนรู้ @หอสมุดแห่งชาติฯ กาญจนบุรี -อุปกรณ์ฟรี -สอนฟรี -แล้วพบกันนะคะ


         สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชมการแสดงเนื่องในงานอยุธยานาวา เมืองท่านานาชาติ ร่มพระบารมีสิริยาลัย ภายใต้กิจกรรมโครงการท่องเที่ยวโบราณสถานยามค่ำคืน ณ วัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีรายการแสดงดังนี้          - วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ละครนอก เรื่องพระอภัยมณี ตอนติดเกาะ          - วันเสาร์ที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. โขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนจองถนน (หลังพิธีเปิดงานฯ)          - วันจันทร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา          - วันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องวงดุริยางค์สากล “บทเพลงรักแห่งสายนที สดุดีพระพันปีหลวง”          - วันศุกร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๙ เวลา ๑๙.๐๐ น. ละครนอก เรื่องสังข์ทอง ตอนเลือกคู่ - หาปลา          - วันศุกร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๙ เวลา ๑๙.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องวงดุริยางค์สากล คอนเสิร์ต “เพชรในเพลง”         นอกจากนี้ยังมีการแสดงประกอบการเสวนาทางวิชาการ เรื่องศาสตร์แมวโบราณ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๙ เวลา ๑๓.๐๐ น. รำฉุยฉายนางวิฬาร์แสนรู้           สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร ๐ ๒๒๒๑ ๖๕๓๒, ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒  


black ribbon.