ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,783 รายการ
***บรรณานุกรม***
หนังสือหายาก
คณะห้าอาจารย์ แห่งร.ร.ฝึกหักครูประถมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี. ประวัติบุคคลสำคัญของโลก สำหรับมัธยมปีที่ ๖ และผู้สอบชุดวิชาครูมูล. พระนคร : โรงพิมพ์นิพนธ์, ๒๔๙๗.
คำว่า "พระธาตุ" ในที่นี้หมายถึง "พระธาตุเจดีย์" เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ในภาคใต้ของไทยพบหลักฐานการสร้างพระธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุหลายองค์ โดยเรียกว่า "พระธาตุ" "พระธาตุเจดีย์" "พระบรมธาตุ" หรือ "พระมหาธาตุ" สำหรับพระธาตุ ๔ องค์ ที่จะกล่าวถึงนี้ ถือเป็นโบราณสถานสำคัญของภาคใต้ เป็นหลักฐานสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยโบราณ และยังเป็นศาสนสถานที่มีบทบาทสำคัญต่อผู้คนในภาคใต้มาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน "พระบรมธาตุสวี" พระบรมธาตุสวี วัดพระธาตุสวี ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร มีตำนานเล่าว่าครั้งหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เสด็จยกทัพมาถึงเขตอำเภอสวี ได้พบเหตุการณ์ประหลาด มีกาฝูงหนึ่งบินมาจับอยู่บนกองอิฐพากันส่งเสียงร้องและกระพือปีกอื้ออึง เมื่อรื้อกองอิฐออกก็พบฐานเจดีย์และพระบรมสารีริกธาตุ จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์พระเจดีย์และสมโภช ๗ วัน ๗ คืน แล้วขนานนามพระเจดีย์องค์นี้ว่า “พระธาตุกาวีปีก” (วีปีก เป็นภาษาปักษ์ใต้ หมายถึง กระพือปีก) ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนสั้นลงว่า พระธาตุสวี นอกจากนั้น ตำนานยังเล่าอีกว่า ก่อนที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจะเสด็จยกทัพกลับ ทรงเรียกหานายทหารที่สมัครใจจะอยู่ดูแลรักษาองค์พระธาตุ เผอิญมีทหารนายหนึ่งชื่อ “นายเมือง” รับอาสา พระองค์จึงรับสั่งให้ตัดศีรษะนายเมืองเพื่อเซ่นสรวงเป็นดวงวิญญาณรักษาพระธาตุสืบไป โดยตั้งศาลไว้เรียกว่า “ศาลพระเสื้อเมือง” สำหรับวัดสวี มีประวัติว่าตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ต่อมาในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖ ยอดพระธาตุได้หักพังลง จึงมีการบูรณะครั้งใหญ่ และมีการทำนุบำรุงรักษาสืบมา องค์พระธาตุเจดีย์ ได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบจากพระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช จึงสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ ๘.๕๐ เมตร องค์เจดีย์สูง ๑๔.๒๕ เมตร มีซุ้มช้างและยักษ์ยืน มีบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออก ชั้นบนทำเป็นซุ้มพระล้อมรอบ ต่อด้วยเจดีย์ทรงระฆังประดับกระเบื้องโมเสกสีทอง และมีเจดีย์ขนาดเล็กประจำมุมทั้งสี่ นอกจากนี้ ภายในบริเวณวัดพระธาตุสวียังมีสิ่งสำคัญอื่น ๆ เช่น ศาลพระเสื้อเมือง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมธาตุสวี "พระบรมธาตุไชยา" พระบรมธาตุไชยา วัดพระบรมธาตุไชยา ราชวรวิหาร ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร) พระบรมธาตุไชยา เป็นโบราณสถานสำคัญของภาคใต้ ตั้งอยู่ในเมืองโบราณไชยา สร้างขึ้นในเนื่องในศาสนาพุทธนิกายมหายาน องค์พระบรมธาตุ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอด ศิลปะศรีวิชัย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐไม่สอปูน เรือนธาตุมีผังเป็นรูปกากบาท มีมุขทั้ง ๔ ด้าน ความสูงจากฐานถึงยอดประมาณ ๒๔ เมตร พระบรมธาตุเจดีย์ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง จึงมีลวดลายเครื่องประดับเป็นลวดลายเก่าใหม่ผสมกัน โดยเฉพาะการซ่อมครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีการซ่อมแปลงซุ้มหน้าบันด้วยลายปูนปั้น และมีการเพิ่มลวดลายใหม่ ๆ เช่น รูปช้างสามเศียร นกยูง และรูปสิงห์ มีการศึกษาพบว่ารูปแบบแผนผังของพระบรมธาตุไชยาคล้ายคลึงกับเจดีย์หรือจันทิในศิลปะชวาภาคกลาง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ซึ่งมีลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบอินเดียใต้ และยังส่งอิทธิพลไปยังงานศิลปกรรมในระยะต่อมา เช่น เจดีย์วัดเขาพระอานนท์ อำเภอพุนพิน เจดีย์วัดถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม และเจดีย์บนเขาสายสมอ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกเหนือจากองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ภายในบริเวณวัดพระบรมธาตุไชยาฯ ยังมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอื่น ๆ เช่น พระพุทธรูปหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ ๓ องค์ ศิลปะสมัยอยุธยา สกุลช่างไชยา (ชาวบ้านเรียกว่า “พระสามพี่น้อง”) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๘ กร สำริด ศิลปะศรีวิชัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๒ กร สำริด ศิลปะศรีวิชัย ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นประติมากรรมพระโพธิสัตว์ที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งในภาคใต้ "พระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช". //พระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศาสนสถานที่สำคัญของภาคใต้ มีตำนานระบุว่าสร้างขึ้นโดยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดพระมหาธาตุ เดิมเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงสถาปนาวัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก พระราชทานนามว่า “วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร”. //พระมหาธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ มีฐานประทักษิณสูง มีซุ้มช้างล้อม ๒๒ ซุ้ม สลับด้วยซุ้มพระพุทธรูปยืน ๒๕ องค์ พื้นที่ส่วนนี้มีระเบียงล้อมรอบเรียกว่า “วิหารทับเกษตร” ถัดขึ้นไปเป็นเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงโอคว่ำ บัลลังก์ ก้านฉัตรซึ่งประดับรูปพระสงฆ์ประทักษิณจำนวน ๘ รูป เรียกว่า “พระเวียน” ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉน และปลียอดซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้ . ผลการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นครั้งแรกในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบมาจากเจดีย์ในลังกา และมีการซ่อมแซมองค์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งสำคัญในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ พระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ยังส่งอิทธิพลด้านรูปแบบไปยังพระธาตุเจดีย์ในภาคใต้อีกหลายองค์ เช่น พระมหาธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว จังหวัดพัทลุง พระธาตุเจดีย์วัดพะโคะ จังหวัดสงขลา และพระบรมธาตุสวี จังหวัดชุมพร . //ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ กรมศิลปากรดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณส่วนฐานของพระมหาธาตุเจดีย์มีอิฐก่อเรียงเป็นระเบียบลึกลงไปเกือบ ๓ เมตร ผลการกำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ค่าอายุ ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว . //นอกจากพระมหาธาตุเจดีย์แล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีศาสนสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน วิหารโพธิ์ลังกา วิหารโพธิ์พระเดิม วิหารธรรมศาลา ระเบียงคต พระวิหารหลวง (หรือพระอุโบสถ) มณฑปพระพุทธบาท และเจดีย์รายนับร้อยองค์ "พระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว" พระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว วัดเขียนบางแก้ว ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว" ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เป็นวัดโบราณ จากหลักฐานเอกสารตำนานพื้นเมืองระบุว่า เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๑๔๙๒ และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากเกาะลังกามาบรรจุไว้ในพระมหาธาตุเจดีย์ แต่บางตำนานกล่าวว่า เจ้าพระยากรุงทองเจ้าเมืองสทิงพระพาราณสีเป็นผู้สร้างพระมหาธาตุเจดีย์ จึงเข้าใจว่าน่าจะสร้างวัดขึ้นพร้อมกันในคราวนั้น เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ วัดเขียนบางแก้วกลายเป็นวัดร้าง กระทั่งมีการบูรณะขึ้นใหม่ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่มาตราบจนปัจจุบัน พระบรมธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐ ฐานแปดเหลี่ยม วัดโดยรอบยาว ๑๖.๕๐ เมตร สูง ๒๒ เมตร โดยได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบมาจากพระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช รอบพระมหาธาตุบริเวณฐานมีซุ้มพระพุทธรูปโค้งมน ๓ ซุ้ม แต่ละซุ้มกว้าง ๑.๒๘ เมตร สูง ๑.๖๓ เมตร ภายในซุ้มมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ รอบพระเศียรมีประภารัศมีรูปโค้ง ขนาดหน้าตักกว้าง ๐.๙๔ เมตร สูง ๑.๒๕ เมตร ระหว่างซุ้มพระมีเศียรช้างปูนปั้น เหนือพระเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม อิทธิพลศิลปะจีน ด้านตะวันออกมีบันไดสู่ฐานทักษิณ เหนือบันไดทำเป็นซุ้มยอดอย่างจีน มุมบันไดทั้งสองข้างมีซุ้มลักษณะโค้งแหลม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นนูนสูง ปางสมาธิ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ฐานทักษิณและฐานรองรับองค์ระฆังเป็นรูปแปดเหลี่ยม มีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้ แต่เดิมเป็นรูปมารแบก เหนือฐานทักษิณมีเจดีย์ทิศตั้งอยู่ทั้งสี่มุม องค์ระฆังเป็นแบบโอคว่ำ จากรูปแบบสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุ สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา นอกจากนั้น ภายในบริเวณวัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้วยังมีศาสนสถานสำคัญอื่น ๆ เช่น อุโบสถ โบสถ์พราหมณ์ (โคกแขกชี) วิหารถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา (โคกวิหาร) พระแก้วคุลาศรีมหาโพธิ์ (โคกพระคุลา) พระพุทธรูปสองพี่น้อง โคกเมือง และพิพิธภัณฑ์สังฆรักษ์ (เพิ่ม) ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช https://www.facebook.com/327219807877607/posts/620366825229569/?d=n
หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลีหัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 18 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม. บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากพระอธิการเด่น ปญฺญาทีโป วัดคิรีรัตนาราม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ดำเนินการอนุรักษ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2534
เลขทะเบียน : นพ.บ.49/11ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 30 (308-325) ผูก 15หัวเรื่อง : บาลียมก --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง : ประมวลพระบรมราชาธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สยาม และชาติพันธุ์วิทยาว่าด้วยชนชาติเผ่าต่าง ๆ ในประเทศไทย
ผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ
ปีที่พิมพ์ : 2515
สถานที่พิมพ์ : นครหลวงกรุงเทพธนบุรี
สำนักพิมพ์ : ดำรงธรรม
ว่าด้วยตำรายาเกร็ด เช่น แก้เบาขาว, แก้เบาเหลือง, แก้เบาแดง, ยาแก้ลมวิงเวียน, ยาแก้เลือดเสียและขัดระดู,แก้เตโชธาตุ, แก้วาธาตุ ฯลฯ
ชื่อเรื่อง : นำเที่ยวเมืองสุโขทัย
ชื่อผู้แต่ง : ตรี อมาตยกุล
ปีที่พิมพ์ : 2508
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : เกษมสุวรรณ
จำนวนหน้า : 154 หน้า
สาระสังเขป :หนังสือนำเที่ยวเมืองสุโขทัยมีเนื้อหากล่าวถึง ตำนานเมือง ภูมิประเทศและสภาพทั่วไปของจังหวัดสุโขทัย และโบราณสถานต่างๆ สืบเนื่องมาจากเมืองสุโขทัยเคยไปราชธานีของไทย ที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาล จึงปรากฏว่ามีปูชนียสถานสร้างขึ้นมากมายหลายแห่ง ผู้เขียนได้อธิบายความเป็นมาของสถานที่นั้นๆพอสังเขป อาทิ กำแพงเมืองสุโขทัยเก่า วัดตระพังทอง เนินปราสาทพระร่วง วัดมหาธาตุ วัดเขาพระบาทน้อย วัดเจดีย์งาม หอเทวาลัยมหาเกษตรพิมาน เป็นต้น
ชื่อเรื่อง : นิทานโบราณคดี ( บางเรื่อง )
ผู้แต่ง : พระยาดำรงราชานุภาพ
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๐๙
สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์
หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ รองอำมาตย์เอก ธะทรง สุวรรณศร
นิทานโบราณคดีนี้นับเป็นหนังสือที่มีค่ายิ่งเรื่องหนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแต่ในสมัยที่ล่วงมาแล้วให้รายละเอียดนิทานเรื่อง พระพุทธรูปประหลาด นิทานเรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ นิทานเรื่องค้นเมืองโบราณ นิทานเรื่องโจรแปลกประหลาด นิทานเรื่องลานช้าง นิทานเรื่องโรงเรียนมหาดเล็กหลวง และนิทานเรื่องเมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่, พระบาทสมเด็จพระ. พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าด้วยเรื่องทาสและเกษียณอายุกับสำเนากระแสพระบรมราชโองการ พระราชบัญญัติ พระราชดำรัส พระราชหัตถเลขา และประกาศการศึกษาในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระนคร : กรมศิลปากร, 2509.
พระบรมราโชวาททรงมีพระราชทานแก่พระเจ้าลูกยาเธอ โอกาสเสด็จออกไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2428 ให้ทรงประพฤติที่ทรงสั่งสอนไว้ แล้วยังได้พระราชปรารภว่าด้วยเรื่องทาสและเกษียณอายุ
บ้านหลวงรับราชทูต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่อาคารโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีการจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ เขตหลัก ได้แก่บ้านวิชาเยนทร์ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก บ้านหลวงรับราชทูตตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีโรงสวดหรือโบสถ์ในคริสต์ศาสนา นอเตรอะ ดาม เดอ ลอแรตต์ (Notre-Dame de Laurette) อยู่ตรงกึ่งกลางหมู่อาคาร - หมู่สถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความใหญ่โตหรูหราและอำนาจ - บ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากการศึกษาหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ และการสำรวจรายละเอียดรูปแบบสถาปัตยกรรมในเบื้องต้นพบว่า พัฒนาการของการก่อสร้างบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เริ่มขึ้นจากบ้านหลังใหญ่ทางฝั่งตะวันตกที่มีอิทธิพลของรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ อินโด-เปอร์เซีย ซึ่งมีนักวิชาการ ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เดิมเคยเป็นที่พำนักอาศัยของพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่มาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยามาก่อน พ.ศ. ๒๒๒๖ ในภายหลังบ้านหลังนี้ได้ตกมาเป็นสมบัติของราชสำนัก สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานบ้านหลังนี้ให้แก่ พระยาวิไชเยนทร์ (Constantine Phaulkon)ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๒๒๖ – ๒๒๒๘ พระยาวิไชเยนทร์จึงเข้ามาปรับปรุงบ้านหลังใหญ่เพื่อใช้ในการอยู่อาศัยของตนเองและครอบครัว พร้อมกับสร้างโบสถ์นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ (Notre-Dame de Laurette) ขึ้น ในช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๒๒๘ ทางราชสำนักกรุงศรีอยุธยาได้ใช้บ้านพระยาวิไชเยนทร์เป็นที่รับรองคณะราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งนำโดย เซอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ (Chevalier Alexandre de Chaumont) ราชทูตวิสามัญของฝรั่งเศส ผู้นำพระราชสาสน์มาถวาย และเดินทางขึ้นมาเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เมืองละโว้ เนื่องจากขณะนั้นบ้านหลวงรับราชทูตอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงมีการต่อเติมบ้านหลังใหญ่ของพระยาวิไชเยนทร์ และก่อสร้างอาคารขึ้นเพิ่มเติมในบริเวณบ้านวิชาเยนทร์อีกหลายหลัง เพื่อให้เพียงพอแก่การรับรองผู้ติดตามคณะราชทูต ในช่วงระยะเวลานั้นโบสถ์นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ สร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่ได้ประดับตกแต่ง รายละเอียดพอใช้งาน ท่านราชทูต เดอ โชมองต์ จึงได้ใช้โบสถ์หลังนี้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะทูตฝรั่งเศสพำนักอยู่ที่เมืองละโว้ การก่อสร้างบ้านหลวงรับราชทูตทางฝั่งตะวันออก การตกแต่งโบสถ์ นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ การก่อสร้างเขตพัทธสีมา และแท่นมหากางเขนศิลาแล้วเสร็จสมบูรณ์ประมาณ พ.ศ. ๒๒๓๐ อันเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกับที่คณะผู้แทนพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นำโดย มองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) เดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ที่เมืองละโว้ คณะของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ จึงได้เข้าพักที่บ้านหลวงรับราชทูตทางฝั่งตะวันออก เมื่อสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ถูกปล่อยทิ้งร้างให้ชำรุดทรุดโทรมลงตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามจนถึงในปัจจุบันหมู่อาคารเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตหรูหรา และอำนาจของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ หน้า ๙๐๔ วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๗๙ - มูลเหตุแห่งการค้นพบห้องลับปริศนาบ้านหลวงรับราชทูต - ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๖๓ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ทำการขุดตรวจและขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่โบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ผลจากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่น่าสนใจ คือ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ การขุดตรวจทางโบราณคดีเบื้องต้น พบว่าเป็นชั้นใต้ดินที่มีห้องขนาดความกว้าง ๕.๑๖ เมตร ความยาว ๑๘.๗๕ เมตร อยู่ลึกจากระดับผิวดินลงไปประมาณ ๒.๐ เมตร พื้นห้องดาดปูนมีบันไดขึ้น-ลง ๒ ด้าน เชื่อมต่อกับอาคารหมายเลข ๕ และอาคารหมายเลข ๖ ห้องที่ตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินลักษณะเดียวกันนี้เคยค้นพบในอาคารด้านหน้าบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งนักวิชาการสันนิษฐานว่า อาจเป็นอาคารต้อนรับใช้เป็นที่จัดเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่คณะราชทูต ที่มีชั้นใต้ดินเป็นห้องไว้สำหรับเก็บเครื่องดื่มประเภทไวน์ นอกจากนี้ในระดับต่ำกว่าผิวดินลงไป ๑๐-๑๓๐ เซนติเมตร ในพื้นที่บ้านหลวงรับราชทูต ยังปรากฏหลักฐานร่องรอยของสถาปัตยกรรม พื้น และฐานอาคารต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการใช้พื้นที่ในสมัยอยุธยา เช่น อาคารหมายเลข ๑๒ ในบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงอาบน้ำแบบเปอร์เซีย (Hammam) บริเวณด้านหลังพบห้องน้ำขนาดเล็ก ความกว้าง ๑.๓๐ เมตร ความยาว ๕.๗๕ เมตร เทพื้นดาดปูนทางด้านทิศตะวันตกปรากฏร่องรอยของหลุมทรงกลม และท่อดินเผาติดอยู่กับผนังโรงอาบน้ำ ส่วนด้านทิศเหนือเชื่อมต่ออยู่กับกำแพงขนาดใหญ่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหลัง อาคารหมายเลข ๑๓ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงครัวของมารี กีมา (Marie Guimar) ภรรยาพระยาวิไชเยนทร์ ทางด้านทิศเหนือของอาคารพบพื้นพาไลดาดปูน และบริเวณด้านหน้าของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต พบร่องรอยการปูพื้นด้วยอิฐเป็นแนวตรงไปยังบันไดหลักของหมู่อาคาร แนวท่อน้ำดินเผาบริเวณมุมบันไดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับแนวท่อน้ำดินเผาที่ต่อออกมาจากถังเก็บน้ำก่ออิฐถือปูนบริเวณด้านข้างอาคารหมายเลข ๗ และแนวฐานกำแพงก่ออิฐซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหน้า เป็นต้น - การไขปริศนาห้องลับด้วยวิธีการทางโบราณคดี - ห้องขนาดใหญ่ในชั้นใต้ดินของอาคารด้านหน้าบ้านหลวงรับราชทูตนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์การใช้งานหรือเหตุผลใด เป็นห้องเก็บเครื่องดื่มประเภทไวน์เพื่อเสริมสร้างความสำราญแก่แขกผู้มาเยือน เป็นห้องเก็บสิ่งของที่คณะทูตนำเข้ามาเพื่อถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือเป็นสถานที่ซุกซ่อนสั่งสมศัตราอาวุธต่างๆเพื่อเสริมพลังอำนาจของผู้ที่ต้องการแย่งชิงหรือความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลของอาคารสถาปัตยกรรมองค์ประกอบรายละเอียดในส่วนต่างๆ ของบ้านหลวงรับราชทูต จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการสืบค้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏอยู่ เพื่อต่อเติมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองลพบุรีให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี จึงดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ระยะที่ ๒ เพื่อดำเนินการขุดแต่งทางโบราณคดีในเขตบ้านหลวงรับราชทูตทั้งบริเวณ ระหว่างเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ – เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี จะรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป ภาพ : โบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ภาพ : บ้านวิชาเยนทร์ ภาพ : หมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ภาพ : ผังแสดงตำแหน่งหลุมขุดตรวจทางโบราณคดีตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ปี ๒๕๖๓ ภาพ : การขุดตรวจทางโบราณคดีตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ปี ๒๕๖๓ ภาพ : ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ภาพ : ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ภาพ : บริเวณด้านหลังอาคารหมายเลข ๑๒ ในบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงอาบน้ำแบบเปอร์เซีย (Hammam) พบห้องขนาดเล็กเทพื้นดาดปูน ทางด้านทิศตะวันตกปรากฏร่องรอยของหลุมทรงกลม และท่อดินเผาติดอยู่กับผนังโรงอาบน้ำ ภาพ : ด้านหน้าของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต พบร่องรอยพื้นทางเดินก่ออิฐเป็นแนวตรงไปยังบันไดหลักของหมู่อาคาร และแนวฐานกำแพงก่ออิฐซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหน้า ภาพ : ร่องรอยของฐานอาคารในบ้านหลวงรับราชทูต ......................................................................ผู้เรียบเรียงข้อมูล/รายงาน : นายเดชา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรีที่มาของข้อมูล : Facebook สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี