ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 33,536 รายการ




เว็ปไซต์หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี : www.finearts.go.th/12archives หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี            ก่อตั้งขึ้นตามประกาศกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง   จัดตั้งหน่วยงานจดหมายเหตุแห่งชาติในส่วนภูมิภาค  ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2533  ลงนามในคำสั่งโดย  นายสุวิชญ์  รัศมิภูติ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น จากเนื้อหาสาระของประกาศดังกล่าวให้มีการจัดตั้งหอจดหมายเหตุแห่งชาติสาขาขึ้น 12 สาขา ซึ่งเป็นการจัดตั้งสาขาให้เป็นไปตามการแบ่งเขตการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ออกเป็น 12 เขตการศึกษา หน่วยจดหมายเหตุแห่งชาติที่ 12 จันทบุรี จึงจัดตั้งขึ้นที่จันทบุรี ผู้อำนวยการกองจดหมายเหตุในสมัยนั้นคือ นายศักรินทร์  วิเศษะพันธ์ เป็นผู้ดำเนินการของบประมาณในการจัดตั้งหน่วยงานขึ้น โดยมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่หลายฝ่าย  ในขณะที่ดำเนินการเรื่องที่ดินและงบประมาณในการจัดสร้าง ก็ได้ขอใช้ห้องประชุมเล็กของหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี เป็นสำนักงานชั่วคราว ในคราวเดียวกันก็ได้แต่งตั้ง นายโกสุม  กองกูต หัวหน้าหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี มาช่วยปฏิบัติราชการในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยจดหมายเหตุแห่งชาติที่ 12 จันทบุรี อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย             ในขณะเดียวกันส่วนของกรมศิลปากรเองก็ได้ดำเนินการเร่งของบประมาณในการจัดตั้งสำนักงานอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถของบประมาณดำเนินการสร้างอาคารสำหรับงานจดหมายเหตุได้ จึงได้ใช้ห้องประชุมเล็กดังกล่าวเป็นที่ทำการชั่วคราว แต่เอกสารที่รับมอบจาก 8 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ดูแลรับผิดชอบมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องหาอาคารชั่วคราวที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับปริมาณเอกสารที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นในเวลาต่อมาได้ดำเนินการขอใช้อาคารของฝ่ายทรัพยากรธรณี สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี ที่ปิดว่างอยู่ ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายทรัพยากรธรณีเป็นอย่างดี หน่วยจดมายเหตุแห่งชาติที่ 12 จันทบุรี จึงได้ย้ายสำนักงานชั่วคราวจากห้องประชุมเล็ก หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี มายังอาคารดังกล่าวใน วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 แต่เนื่องจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ  จันทบุรี นอกจากจะปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดเก็บการทำลายเอกสารตามระเบียบงานสารบรรณแล้ว ยังมีหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษาค้นคว้า วิจัยเอกสารของส่วนราชการในภูมิภาคและการบริหารเอกสารจดหมายเหตุ พร้อมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานจดหมายเหตุทั้งในรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ การจัดนิทรรศการให้ความรู้ รวมทั้งจัดฉายภาพยนตร์เก่าและสารคดีต่างๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และพัฒนาการท้องถิ่นอื่นๆ อีกมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอาคารที่เหมาะสมสำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับผู้เข้าใช้บริการเป็นจำนวนมากได้ จึงจำเป็นต้องขอใช้ศาลากลางจังหวัดจันทบุรีหลังเดิม ซึ่งว่างอยู่เป็นสำนักงานถาวร ได้ดำเนินการของบประมาณในการซ่อมแซมโบราณสถานแห่งนี้และพื้นที่โดยรอบให้สอดคล้องกับงานจดหมายเหตุ และได้ย้ายหน่วยงานมายังอาคารศาลากลางจังหวัดจันทบุรีหลังเดิม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546    ปัจจุบันบริหารงานโดย นางสุมลฑริกาญจณ์  มายะรังษี หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติ  จันทบุรี    



ขออนุญาตทำการค้าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ขั้นตอนที่ ๑ ยื่นคำขอได้ที่สถานที่ ดังนี้ ๑.๑ กรณีผู้ขอมีสถานที่ทำการค้าในเขตกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ให้ยื่น ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ๑.๒ กรณีที่ผู้ขอมีสถานที่ทำการค้าในเขตจังหวัดอื่นนอกจากข้อ ๑.๑ ให้ยื่น ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนั้น หากในจังหวัดนั้นไม่มีพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ ให้ยื่น ณ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแห่งจังหวัดนั้น ขั้นตอนที่ ๒ กรอกแบบฟอร์ม ศก.๑ ๒.๑ กรณีเป็นบุคคลธรรมดา ๒.๒ กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ๒.๓ กรณีเป็นนิติบุคคล ขั้นตอนที่ ๓ แนบเอกสารและหลักฐาน ๓.๑ กรณีเป็นบุคคลธรรมดา (‏ก) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นซึ่งแทนบัตรประจำตัวประชาชนได้ (‏ข) สำเนาหรือภาพถ่ายทะเบียนบ้าน (‏ค) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ของผู้ขอรับใบอนุญาต ขนาด ๕ x ๖ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๒ รูป (‏ง) แผนที่แสดงที่ตั้งสถานที่ทำการค้า (‏จ) สำเนาหรือภาพถ่ายใบทะเบียนพาณิชย์ ใบทะเบียนการค้า หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓.๒ กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ (ก) บัญชีรายชื่อและสัญชาติของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน (ข) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นซึ่งใช้แทนบัตรประจำตัวประชาชนได้ ของหุ้นส่วนผู้จัดการ (ค) สำเนาหรือภาพถ่ายทะเบียนบ้านของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน (‏ง) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ของหุ้นส่วนผู้จัดการ นาด ๑ นิ้ว ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๒ รูป (จ) แผนที่แสดงที่ตั้งสถานที่ทำการค้า (ฉ) สำเนาหรือภาพถ่ายใบทะเบียนพาณิชย์ ใบทะเบียนการค้าหรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓.๓ กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด (ก) หนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแสดงการจดทะเบียน พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด(ข) บัญชีรายชื่อและสัญชาติของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน (ค) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นซึ่งแทนบัตรประจำตัวประชาชนได้ ของหุ้นส่วนผู้จัดการ(ง) สำเนาหรือภาพถ่ายทะเบียนบ้านของหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้จัดการ(จ) รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ของหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้จัดการ ขนาด ๕ x ๖ เซนติเมตร ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกินหกเดือน จำนวน ๒ รูป (ฉ) แผนที่แสดงที่ตั้งสถานที่ทำการค้า(ช) สำเนาหรือภาพถ่ายใบทะเบียนพาณิชย์ ใบทะเบียนการค้าหรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓.๔ กรณีเป็นบริษัทจำกัด (ก) หนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท


ชื่อวัตถุ ลูกปัดแก้วอำพันทอง ทะเบียน ๒๗/๑๓/๒๕๕๘ อายุสมัย แรกเริ่มประวัติศาสตร์ วัสดุ(ชนิด) แก้ว แหล่งที่พบ เป็นของกลางตามคดีอาญาเลขที่ ๑๒๒/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๗ ของสถานีตำรวจภูธรคลองท่อม อ.คลองท่อม จ.คลองท่อม สำนักศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต มอบให้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘ สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง “ลูกปัดแก้วอำพันทอง” ลูกปัดแก้วอำพันทองมีลักษณะเป็นลูกปัดทรงกลมเรียงต่อกัน ด้านนอกเป็นแก้วใส่ด้านในเป็นสีทอง ลูกปัดลักษณะนี้เรียกว่า “ลูกปัดแก้วอำพันทอง” (false gold-glass beads) ลูกปัดแก้วอำพันทองมีที่มาจากความนิยมลูกปัดแก้วทองคำ (gold-glass bead)ซึ่งเป็นลูกปัดติดกันหลายลูกทำโดยการใช้แก้วใส ๒ ชั้นประสานกัน แก้วชั้นในมีการหุ้มแผ่นทอง (gold foil)แล้วจึงเคลือบด้วยแก้วชั้นนอก ต่อมาความนิยมในลูกปัดแก้วทองคำมีมากขึ้น ส่งผลให้มีการผลิตลูกปัดลอกเลียนแบบโดยไม่ใช้แผ่นทองหุ้มลงไป แต่ทำให้ลูกปัดมีลักษณะคล้ายสีทองหรือสีอำพันเรียกว่า “ลูกปัดแก้วอำพันทอง” ซึ่งเป็นลูกปัดที่เนื้อแก้วมีความเปราะบางและอาจแตกเป็นชั้นๆ ได้ง่าย แหล่งผลิตของลูกปัดรูปแบบนี้อยู่ที่เมืองชีราฟ (Shiraf)ประเทศอิหร่าน เบเรนิเก (Berenike)ประเทศอียิปต์ ซึ่งในประเทศอินเดียได้มีการนำเข้าลูกปัดแก้วอำพันทองในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๘ ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบลูกปัดแก้วอำพันทองที่แหล่งโบราณคดีซูไงมัส (Sugai Mas)ประเทศมาเลเซีย แหล่งโบราณคดีทุ่งตึก (เหมืองทอง) จังหวัดพังงา แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ จังหวัดสุราษฎ์ธานี และแหล่งโบราณคดีเพิงผาทวดตาทวดยาย จังหวัดสงขลา สำหรับลูกปัดแก้วอำพันทองชิ้นนี้พบที่แหล่งโบราณคดีคลองท่อม (ควนลูกปัด) ซึ่งเป็นเมือง- ท่าโบราณในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙ ลูกปัดแก้วอำพันทองจึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการค้ากับต่างแดน ซึ่งลูกปัดแก้วอำพันทองคงเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าในสมัยนั้น เอกสารอ้างอิง - ผุสดี รอดเจริญ, “การวิเคราะห์ลูกปัดแก้วจากเมืองโบราณสมัยทวารวดี ในภาคกลางของประเทศไทย.” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖. - พรทิพย์ พันธุโกวิท และคณะ. โครงการเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์และแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในเขตพื้นที่จังหวัดสงขลาและสตูล. กรุงเทพฯ : บริษัท บางกอกอินเฮ้า จำกัด, ๒๕๕๗.


โครงการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยา สำหรับข้าราชการกรมศิลปากร   กิจกรรมพิเศษ   เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมศิลปากร ครบรอบ ๑๐๒ ปี   เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช   "พระบิดาแห่งการอนุรักษ์มรดกไทย"   ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ ถึงวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖



          เพชรบุรี นับเป็นหัวเมืองสำคัญแห่งหนึ่งในภาคตะวันตก ปรากฏร่องรอยของอารยธรรมมาตั้งแต่สมัยทวารวดี และปรากฏร่องรอยทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรมของโบราณวัตถุสถานในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก ชื่อของเมืองเพชรบุรีปรากฏอยู่ในหลักฐานต่าง ๆ เช่น ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รวมไปถึงเอกสารของต่างประเทศ ก็ปรากฏชื่อซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นชื่อของเมืองเพชรบุรี นอกจากนี้ยังมีตำนานว่าด้วยการสร้างเมืองหลายเรื่อง เช่น ตำนานมหาเภตรา ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช หรือประวัติศาสตร์ของเมืองเพชรบุรี ซึ่งอยู่ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น           ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพชรบุรีเป็นหัวเมืองชั้นในที่สำคัญ ด้วยเป็นเส้นทางเดินทัพของพม่า โดยเฉพาะในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากความสำคัญในทางประวัติศาสตร์แล้ว ในทางพุทธศาสนา อาจกล่าวได้ว่าเพชรบุรีเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามสำคัญจำนวนมาก ตลอดจนศาสนสถานสำคัญ เช่น ถ้ำเขาหลวง           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินเมืองเพชรบุรีมาตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวชอยู่ในสมณเพศ ปรากฏในเทศนาพระราชประวัติ ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ว่า ได้เสด็จมายังถ้ำเขาหลวง และถ้ำเขาย้อย เป็นอาทิ ครั้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วในพุทธศักราช ๒๓๙๔ ก็ยังคงเสด็จพระราชดำเนินเมืองเพชรบุรีเรื่อยมา โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะถ้ำเขาหลวง ตลอดจนศาสนสถานอื่น ๆ ในเมืองเพชรบุรี           สิ่งซึ่งเป็นประจักษ์พยานในพระราชศรัทธาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูป อุทิศถวายอดีตบูรพกษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ และโปรดเกล้าฯ ให้มีพระพุทธรูปอุทิศถวายเจ้านายในพระบรมราชวงศ์จักรีวงศ์ทั้งพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ รวมไปถึงเจ้าจอมมารดาบางท่าน ยังปรากฏพระนาม และนามจารึกไว้ที่ฐานพระพุทธรูปเหล่านั้นในปัจจุบัน ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระราชศรัทธา เสด็จฯ มาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแก่พระราชวงศ์อยู่หลายคราว           นอกจากถ้ำเขาหลวงแล้ว อนุสรณ์แห่งพระราชศรัทธาในเมืองเพชรบุรียังปรากฏในสถานที่ต่าง ๆ เช่น วัดมหาสมณาราม ซึ่งเดิมเป็นวัดเล็ก ๆ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม และยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง นับเป็นพระอารามฝ่ายธรรมยุติกนิกายแห่งแรกในเมืองนี้ ทรงสถาปนาพระเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่บนยอดเขามหาสวรรค์ พระราชทานนามว่า พระธาตุจอมเพชร รวมถึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระปรางค์วัดมหาธาตุ ซึ่งได้พังลงมาในปีพุทธศักราช ๒๔๐๖ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดเศวตฉัตร ๙ ชั้น กางกั้นเหนือพระพุทธคันธารราษฎร์ พระพุทธรูปสำคัญแห่งวัดใหญ่สุวรรณาราม ด้วยทรงมีพระราชศรัทธานับถือในพระพุทธรูปองค์นี้มาก แม้ล่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปแล้ว พระมหากษัตริย์รัชกาลต่อ ๆ มา ยังคงดำเนินตามอย่างครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้น อย่างคราวพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงอุตสาหะ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชาถึงสองคราว คือในปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ณ วัดมหาธาตุวรวิหาร และในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ ณ พระธาตุจอมเพชร ภาพ : พระธาตุจอมเพชร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาปนาขึ้นบนเขามหาสวรรค์ และพระราชนามไว้ ให้เป็นเสมือนจอมเจดีย์สำคัญ แห่งเมืองเพชรบุรีข้อมูล/ภาพ : นายวสันต์ ญาติพัฒ ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี


เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๙ สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลสนามชัย จัดกิจกรรมรณรงค์ดูแลรักษามรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๕๙ ณ โบราณสถานวัดสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยว่าที่ร้อยตรีสุพีร์พัฒน์ จองพานิช ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและเข้าร่วมกิจกรรมพร้อมกับนายวิเศษ เพชรประดับ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายปิยพัฒน์ เจริญสุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสนามชัย คณะผู้บริหารหน่วยงานราชการ สมาชิกอาสาสมัครฯ (อส.มศ.) และประชาชนทั่วไป           วันที่ ๒ เมษายน ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กำหนดให้เป็นวันอนุรักษ์มรดกไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงประกอบพระกรณียกิจทางด้านการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ทั้งนี้ ส่งเสริมให้หน่วยงานด้านวัฒนธรรมจัดกิจกรรมเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยโดยมีวัตถุประสงค์ คือ           ๑. เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่ามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ          ๒. เพื่อรณรงค์ให้มีการสงวนรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติอย่างถูกวิธี          ๓. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและภาคเอกชนได้มีความรู้สึกร่วมในความเป็นเจ้าของโบราณสถาน โบราณวัตถุและร่วมรับผิดชอบดูแลทะนุบำรุงรักษาได้เป็นมรดกไทยประจำถิ่น          ๔. เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น          ๕. เพื่อลดอัตราการสูญเสีย และการถูกทำลายของโบราณสถานโบราณวัตถุให้น้อยลง          ๖. เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติ ซึ่งมีผลให้วัฒนธรรมไทยเบี่ยงเบนเปลี่ยนทิศทางไป ที่มา : http://www.lib.ru.ac.th/journal/apr/apr02-ThaiHeritage.htmlhttp://www.finearts.go.th/…/๒-เมษายน-วันอนุรักษ์มรดกไทย.html             ในการนี้ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า คณะเจ้าหน้าที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี



  ***บรรณานุกรม***  กรมศิลปากร ประชุมพงศาวดารภาคที่ 23 ตำนานการเกณฑ์ทหารกับตำนานกรมทหารราบที่ 4  พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงพระศพ หม่อมเจ้าหญิงวิไลกัญญา ภาณุพันธุ์ ณเมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 7 กรกฎาคม พุทธศักราช 2509 พระนคร  โรงพิมพ์พระจันทร์ 2509


หนังสือประเพณีทำศพ และ ประเพณีบวชนาค เคยพิมพ์รวมอยู่ในประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของกรมศิลปากร


หมวดหมู่                        พุทธศาสนาภาษา                            บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง                          ทาน (พุทธศาสนา)                                    อานิสงส์ประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                    16 หน้า : กว้าง 5ซม. ยาว 55 ซม. บทคัดย่อ                      เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับชาดทึบ ได้รับบริจาคมาจากพระอธิการเด่น ปญฺญาทีโป วัดคิรีรัตนาราม  ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ดำเนินการอนุรักษ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2534