ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,703 รายการ
เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เป็นโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ริเริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) กระทั่งแล้วเสร็จในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9)
เมื่อพ.ศ. 2446 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริให้กระทรวงเกษตราธิการพิจารณาวางโครงการชลประทานในลุ่มน้ำภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยให้สร้างเขื่อนชลประทานขนาดใหญ่ในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อทดน้ำเข้าทุ่งนา กรมคลอง กระทรวงเกษตราธิการประมาณการว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท แต่เนื่องจากขณะนั้นต้องนำเงินงบประมาณไปใช้บริหารจัดการด้านอื่นก่อน จึงเหลือเพียงโครงการรักษาน้ำในที่ลุ่ม
ต่อมา รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดฝนแล้งถึงสองปีติดต่อกัน ทำให้การทำนาและการเพาะปลูกไม่ได้ผล เกิดสถานการณ์ข้าวยากหมากแพง ราษฎรเดือดร้อน กรมทดน้ำจึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานโครงการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา แต่ด้วยขณะนั้นรัฐบาลกำลังดำเนินการโครงการก่อสร้างเขื่อนป่าสักใต้และโครงการอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว และประจวบกับเกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 โครงการก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาจึงต้องระงับไว้
พ.ศ. 2491 กรมชลประทาน กระทรวงเกษตราธิการ ได้เสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาอีกครั้ง รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 ได้เจรจาขอกู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อเป็นเงินทุนซื้อเครื่องจักรและเครื่องมือในการก่อสร้าง และใช้เงินงบประมาณของประเทศสำหรับเป็นค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้างที่ผลิตได้ภายในประเทศ งบประมาณโครงการรวม 1,160 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างต้นปี พ.ศ. 2495
โครงการชลประทานเขื่อนเจ้าพระยา ประกอบด้วย การสร้างเขื่อนระบายและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ประตูน้ำ ช่องลัดซึ่งเป็นทางน้ำใหม่ ทำนบดินปิดลำน้ำเดิม มีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก ยาว 237.50 เมตร สูง 16.5 เมตร ติดตั้งบานประตูเหล็กรูปโค้งสูง 7.50 เมตร มีช่องระบายให้น้ำไหลผ่านขนาดกว้าง 12.50 เมตร จำนวน 16 ช่อง มีโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 300 กิโลวัตต์ เรือขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าออกได้ บนสันเขื่อนมีสะพานกว้าง 7 เมตร สามารถส่งน้ำเข้าคลองชลประทานไปยังพื้นที่นาและพื้นที่เพาะปลูกได้ประมาณ 5,700,000 ไร่ มีทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินเพื่อช่วยระบายน้ำเมื่อเกิดอุทกภัย
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาแล้วเสร็จปลายปีพ.ศ. 2499 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยา ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพายา จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 โดยมีพระราชดำรัสว่า
“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมในพิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยาในวันนี้ ประเทศของเราเป็นประเทศกสิกรรม ทั้งข้าวก็เป็นอาหารหลักของประชาชนพลเมือง การอยู่ดีกินดีของอาณาประชาราษฎร์และความสมบูรณ์มั่งคั่งของประเทศยังต้อง อาศัยอยู่กับการเพาะปลูกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกข้าวในภาคกลางนี้ รัฐบาลของเราทุกยุคทุกสมัย ดังที่นายกรัฐมนตรีแถลงมา ได้เล็งเห็นความสำคัญและสนใจในการทำนุบำรุงประเทศโดยการที่จะสร้างโครงการชลประทานเพื่อส่งเสริมช่วยการเพาะปลูกและการทำนาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น จึงเป็นที่น่ายินดียิ่งนักที่เขื่อนเจ้าพระยา อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการชลประทานที่ได้ดำริกันมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็นอันก่อสร้างสำเร็จลงได้ในปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นหลักพยานอันหนึ่งถึงความเพียรพยายามที่จะดำเนินการอันจะก่อประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติอันดีของคนไทย...
...ได้เวลาแล้วข้าพเจ้าจะได้กระทำพิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยา ขอให้เขื่อนเจ้าพระยานี้จงสถิตอยู่ด้วยความมั่นคงถาวร ได้อำนวยบริการแก่ประเทศชาติและเพิ่มพูนประโยชน์แก่กสิกรต่อไปอย่างไพศาล สมตามปณิธานที่ได้ก่อสร้างขึ้นนั้นทุกประการ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุก ๆ คนทั่วกัน”
ผู้เรียบเรียง : นางสาวดุษฎี ชัยเพชร นักจดหมายเหตุชำนาญการ
คณะทำงานองค์ความรู้ของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
--------------------------------
อ้างอิง :
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารสำนักนายกรัฐมนตรี กองกลาง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (3) สร0201.30.1/2 เรื่อง การออกแบบรายละเอียดเขื่อนเจ้าพระยา (5 กันยายน 2493 – 6 มกราคม 2497)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารสำนักนายกรัฐมนตรี กองกลาง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (3) สร0201.30.1/9 เรื่อง พิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยา (17 สิงหาคม 2499 – 4 กุมภาพันธ์ 2500)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกระทรวงมหาดไทย กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มท 0201.2.1.28/69 เรื่อง รัฐพิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยา (พ.ศ. 2500)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพจดหมายเหตุเหตุการณ์สำคัญ ฉ/ท/318, ฉ/ท/343 ภาพพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างเขื่อนเจ้าพระยา
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. ภาพกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ภ หจภ (3) กษ1.1/1, ภ หจภ (3) กษ1.1/65, ภ หจภ (3) กษ1.2/1,3 ภาพเขื่อนเจ้าพระยา
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. สไลด์ส่วนบุคคล นายสุทัศน์ พัฒนสิงห์ ฟ หจภ สบ1.1/842 ภาพเขื่อนเจ้าพระยา
#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจดหมายเหตุ
แนะนำหนังสือให้อ่านเรื่อง "จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กรุงรัตนโกสินทร์"
จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ กรุงรัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2562. 619 หน้า. 550 บาท.
ให้ข้อมูลจดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กรุงรรัตนโกสินทร์ เป็นการสถาปนาพระเกียรติยศเจ้านายในพระบรมราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ 1-6 พ.ศ. 2349-2451รวม 253 ครั้ง พร้อมทั้งนิพนธ์ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพเกี่ยวกับยศเจ้านายในราชตระกูลคือ สกุลยศและอิศริยยศ คำที่ใช้เรียกพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนพระนามของเจ้านายต่างกรมครั้งกรุงเก่า
929.709593
จ132 (ห้องหนังสือทั่วไป)
เรื่อง “หีบพระธรรม วัดสถารศ”--- หีบพระธรรม วัดสถารศ เป็นหีบพระธรรมไม้ ลงรักปิดทอง ขนาด กว้าง ๔๐ เซนติเมตร ยาว ๗๖ เซนติเมตร สูง ๗๕ เซนติเมตร มีจารึกบริเวณขอบปากของหีบพระธรรม จารึกด้วยอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทย จำนวน ๑ ด้าน ๖ บรรทัด ระบุปีที่จารึก พุทธศักราช ๒๓๘๓ ลักษณะเป็นหีบทรงลุ้ง ช่วงล่างคอดและผายออกทางด้านบน ส่วนลำตัวมีการเขียนภาพทั้งสี่ด้าน ด้านหน้าเขียนภาพบุคคลสองคนในลักษณะท่าทางคล้ายร่ายรำ ด้านหลังเขียนภาพบุคคลสองคนในท่าเดินประนมมือ ด้านข้างทั้งสองด้านเขียนภาพลายหม้อดอก หรือลายปูรณฆฏะ ความในจารึกกล่าวถึงหนานดวง และนางแพงภริยา พร้อมด้วยบุตร มีศรัทธาร่วมใจกันสร้างหีบพระธรรมไว้เป็นทาน --- คำแปลจารึกบรรทัดที่๑ ศรีส (วั) สติอภิวันทนเคารพ ผู้ข้าจักนบพระพุทธาธิรัตนตรัย ในปถมมูลศรัทธา หมายมีหนานดวงเป็นเค้า แลภริยา บุตตา บุตตี ชู่ผู้ชู่คน ได้บรรทัดที่๒ ปฏิสังขาริก สร้างยังหรีดธรรมลูกนี้ ไว้เป็นทานเป็นทักขิโณทการ ป่างให้ในเดิน ๓ เพ็ง เม็งวัน ๗ ไทย เบิกสัน ฤกษ์ได้ ๒๑ ตัว ชื่อว่า อุตตรสาฒฯ อดีตวรพุทธศาสนาบรรทัดที่๓ คาล่วงแล้วได้ ๒๓๘๓ พระวัสสา อนาคตวรพุทธศาสนา อันจักมาภายหน้ายัง ๒๖๑๗ พระวัสสา เป็นเขตเหตุนั้นปถมมูลศรัทธา หมายมีหนานดวงเป็นเค้า แลภริยาผู้ชื่อว่านางแพง แลบรรทัดที่๔ บุตตาบุตตี นัตตานตี ทาสาทาสี สัมพันธกุลวงศา ทั้งมวล จึงมาริจนา ยังหรีดธรรมลูกนี้ไว้ อันขีดเขียนไปด้วยรักหางอย่าง เอาจิ๋มใหม่ สุวรรณคำแดงแสงเรืองเรื่อ...เพื่อจักไว้ให้สถิตบรรทัดที่๕ ทรงธรรมกถา ริจนา ในปีกัดไก๊ จุลศักราชได้ ๑๒๒๐ ปลายตัว ริจนาไว้ค้ำชูศาสนา ให้เป็นโสมนัฏฐา ตราบสิ้นวิฏฐิติกาล ยาวนานแท้จริงแล เทพสรภิกขุเป็นบรรทัดที่๖ ผู้ริจนา คำจ้อ แท้จริงแล ที่ไว้เหลือเหตุบ่ช่าง--- ปัจจุบัน หีบพระธรรม วัดสถารศ จัดแสดงให้เยี่ยมชมอยู่ชั้นบนอาคารจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ที่มาข้อมูล : - กรมศิลปากร. เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๓๗.
ชื่อเรื่อง บันทึกเกร็ดความรู้ต่าง ๆผู้แต่ง พระครูปริยัติคุณาธาร (อัมพร อติเมโธ)ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN 974-364-160-2หมวดหมู่ พระพุทธศาสนาเลขหมู่ 294.308 พ323บสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยปีที่พิมพ์ 2547ลักษณะวัสดุ 114 หน้า :; 21 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา -- รวมเรื่องภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือบันทึกเกร็ดความรู้ของท่านเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดี เพราะให้คติธรรมและข้อคิดตางๆ มากมาย ถือเป็นมรดกสำคัญชิ้นหนึ่ง สืบเนื่องมาจากท่านเป็นนักจด นักจำ นักสังเกต นักคิด และนักบันทึก เพื่อเป็นแนวทางให้การดำเนินชีวิตของท่านเอง และใช้สั่งสอนอบรมศิษยานุศิษย์ของท่าน
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไทย ในศตวรรษ ๒๑ Powers of Museums” ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร
วันนี้ในอดีต 1 กันยายน 2564 วันระลึกถึงการจากไปของ สืบ นาคะเสถียร
สืบ นาคะเสถียร นักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ที่ได้ทุ่มเททั้งชีวิต และจิตวิญญาณในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยแลกชีวิตของตนเองเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2533 เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนไทยอนุรักษ์ผืนป่าและเห็นความสำคัญของป่าไม้ สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ส่งผลให้ “ป่าห้วยขาแข้ง” และ “ทุ่งใหญ่นเรศวร” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก เมื่อปี 2534 ในที่สุด ภายหลังการเสียชีวิตของคุณสืบ 18 วัน มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2533 วันเดียวกับการครบรอบ 94 ปีของกรมป่าไม้ หน่วยงานต้นสังกัดของนักอนุรักษ์นี้
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด Facebook Live กิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็ก Kids Inspiration ครั้งที่ ๑ เรื่อง “Kids Inspiration กระทงสวยด้วยมือหนู” ในวันอังคารที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น.
กิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็ก Kids Inspiration ประจำปี ๒๕๖๖ กำหนดจัดกิจกรรม ๕ ครั้ง โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑ หัวข้อเรื่อง Kids Inspiration กระทงสวยด้วยมือหนู ผู้ร่วมกิจกรรมประกอบด้วย ครู เจ้าหน้าที่ และนักเรียนจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จำนวน ๕๐ คน กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ากิจกรรมได้รู้จักประเพณีลอยกระทงและเห็นความสำคัญของการลอยกระทงเด็กได้ร่วมกันประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติ เป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ในการประดิษฐ์กระทงให้สวยงาม และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยได้เชิญวิทยากรมาให้ความรู้และสอนการประดิษฐ์กระทงให้แก่ผู้เข้าร่วมอบรม ณ ลานกิจกรรมหน้าห้องวชิรญาณชั้น ๑ อาคาร ๒ สำนักหอสมุดแห่งชาติ
สำหรับเด็ก เยาวชน และผู้ที่สนใจกิจกรรม “Kids Inspiration กระทงสวยด้วยมือหนู” สามารถติดตามชมการถ่ายทอดสด Facebook Live ของสำนักหอสมุดแห่งชาติ : National Library of Thailand
ชื่อเรื่อง มหาวฅฺฅ วณฺณนา(ตติย) สมนฺตปาสาทิกา วินยฏฺฐกถา(วินัย)
สพ.บ. อย.บ.5/8ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 48 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวด พระวินัย
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ภาษามอญ เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
สถาปัตยกรรมแบบ “ดิวาน (Divan)” ที่พบหลักฐานในเมืองลพบุรี
“... ชาวยุโรป ชาวจีน และชาวมัวร์ ต่างสร้างบ้านเรือนของตนเป็นตึกตามแบบนิยม และศิลปะของชาติตน โดยต่างคนต่างออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างของตนเองดังที่ข้าพเจ้าคิด หรือโดยที่คนพวกนี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สร้างบ้านเรือนของตนเป็นตึกได้ดังที่เขาพูดกันก็ไม่ทราบได้ ทางด้านข้างของ ตัวตึกลางหลังนั้น เพื่อป้องกันแสงแดดและไม่ปิดกั้นทางลม ยังได้เติมกันสาดมีคันทวยรับเต้ายื่นออกไปหรือไม่ก็มีเสาค้ำทำนองพะไล ลางหลังก็แบ่งออกเป็นสองห้องโดยมีฝาประจันซึ่งอาจถอดออกได้กั้น รับแสงสว่างได้ทั้งสองด้าน และถ่ายทอดอากาศถึงกัน ห้องนั้นใหญ่และมีช่องลมมากเพื่อระบายอากาศและได้รับความสดชื่น ห้องที่อยู่ชั้นบนนั้นหันหน้าออกตรงห้องโถงชั้นล่าง ซึ่งควรจะเรียกได้ว่าหอนั่งซึ่งลางทีก็มีสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นล้อมอยู่เกือบโดยรอบ มีช่องทางให้แสงสว่างเข้าถึงได้ ตึกอย่างนี้ เรียกว่า ดีวัง (Divan) เป็นภาษาอาหรับ อันมีความหมายโดยเฉพาะว่า หอประชุม หรือ หอพิพากษา อรรถคดี (Sale de Conseil ou de Judgement)”
...จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.๒๒๓๑ ...
คำว่า “ดิวาน” (Divan, Diwan) เป็นคำมาจากภาษาเปอร์เซียใช้อธิบายถึงสถาปัตยกรรมแบบอาคารโถงรูปแบบต่างๆของเปอร์เซีย (Hall of Audiences) ซึ่งใช้เป็นหอประชุมสภาของชนชั้นปกครอง หรือห้องโถงสำหรับต้อนรับแขกเมือง รวมถึงยังใช้ในคำอธิบายเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบ “ดิวาน” ของราชวงศ์โมกุล (พ.ศ.๒๐๖๙-๒๔๐๐) พบในแถบอินเดียตอนเหนือและปากีสถาน ซึ่งมี ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ หอดิวานที่ใช้เป็นสถานที่รับรองแขกเมืองหรือคณะราชทูตพิเศษเป็นการส่วนพระองค์ (Diwan-i-Khas ) และหอดิวานที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภา ขุนนาง การเสด็จออกมหาสมาคมของพระมหากษัตริย์ (Diwan-i-Aam)
จากหลักฐานคำบรรยายในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างฝรั่งเศสและสยามเมื่อพ.ศ.๒๒๓๐-๒๒๓๑ ซึ่งได้กล่าวถึงลักษณะบ้านเรือนที่เป็นตึกของชาวต่างประเทศ แบบที่เรียกว่า “ดีวัง” เป็นเบาะแสสำคัญที่ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) เมืองลพบุรีมีการก่อสร้างอาคารที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมหรือลักษณะการใช้สอยพื้นที่อาคารแบบที่เรียกว่า “ดิวาน” ดังปรากฏหลักฐานอาคารสถาปัตยกรรมที่สำคัญ ได้แก่
ตึกเลี้ยงรับรองราชทูต ภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบอินโด-เปอร์เซีย ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความกว้าง ๙.๒๖ เมตร ความยาว ๑๔.๑๐ เมตร และความสูงประมาณ ๘.๑๐เมตร หลังคาเครื่องไม้ทรงจั่วมุงกระเบื้อง ภายในอาคารเป็นห้องขนาดใหญ่ ผนังอาคารมีการเจาะช่องประตู และหน้าต่างที่มีซุ้มโค้งแหลมคล้ายกลีบบัวจำนวนมาก ผนังตอนบนมีการเจาะช่องรูปซุ้มโค้งแหลมคล้ายหน้าต่าง ซึ่งคงทำขึ้นเป็นช่องเพื่อให้แสงและลมเข้า-ออก และเป็นช่องระบายอากาศร้อนหรือระบายควันที่ลอยอบอวลขึ้นไป เนื่องจากภายในอาคารมักมีการจุดเครื่องหอมประเภทกำยานและไม้หอมตามธรรมเนียมการจุดเครื่องหอมแบบมุสลิม บริเวณโดยรอบอาคารมีการก่อสร้างสระน้ำและน้ำพุ เพื่อปรับสภาพอากาศให้เย็นสบาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการออกแบบพื้นที่และการใช้สอยภายในอาคาร ให้มีการรับแสงสว่าง การถ่ายเทอากาศ ลมสามารถพัดเข้า-ออกโดยสะดวกเพื่อระบายอากาศและรับความสดชื่น
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาประสาท พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระที่นั่งประธานที่มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ขนาดความกว้าง ๑๐.๙๐ เมตร ความยาว ๒๗.๒๐ เมตร และความสูงประมาณ ๑๓.๒๐ เมตร แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย อาคารท้องพระโรงส่วนหน้า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ลักษณะเป็นห้องโถงโล่ง ผนังด้านหน้าเจาะเป็นช่องเปิดขนาดใหญ่และสูงเป็นซุ้มโค้งแหลมคล้ายรูปกลีบบัว จำนวน ๓ ช่อง ผนังด้านข้างทางทิศเหนือและทิศใต้ เจาะเป็นช่องเปิดซึ่งมีรูปแบบเดียวกันด้านละ ๔ ช่อง อาคารส่วนที่สอง ตั้งอยู่ทางด้านใน มีลักษณะเป็นตึกสองชั้นโดยมีบันไดเชื่อมต่อภายในอาคารจากทางตะวันออก และบริเวณด้านหลังอาคารมีบันไดตรงกลางและบริเวณมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นบันไดค่อนข้างแคบ จำกัดช่องทางเดินขึ้น-ลงเพียงลำพัง อาจจะเกี่ยวข้องกับการจัดระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนหลังคาหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่า มีการมุงด้วยกระเบื้องสีเหลืองและซ้อนชั้นแบบเรือนยอดตามอย่างสถาปัตยกรรมไทย สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานแบบแผนของศิลปะสถาปัตยกรรมมุสลิมแบบอินโด-เปอร์เซีย และงานช่างไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โบราณสถานอีกแห่งที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตามแนวคิดการใช้งาน และลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบ “ดิวาน” คือ อาคารหมายเลข ๑ ของบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ขนาดความกว้าง ๑๓.๓๐ เมตร ความยาว ๑๗.๒๒ เมตร และความสูงประมาณ ๙.๕๐ เมตร แบ่งพื้นที่ใช้สอยหลักออกเป็น ๒ ส่วน คือ พื้นที่ส่วนหน้าของอาคารเป็นห้องโถงขนาดใหญ่โล่ง ผนังด้านหน้าอาคารมีการเจาะช่องเปิดที่มีซุ้มโค้งแหลมคล้ายรูปกลีบบัว จำนวน ๓ ช่อง ผนังด้านข้างอาคารเจาะเป็นช่องในลักษณะเดียวกันด้านละ ๔ ช่อง แต่ภายหลังพบหลักฐานว่าได้มีการก่ออิฐอุดปิดกั้นผนังด้านข้างเพื่อปรับปรุงต่อเติมอาคาร ให้เป็นสถานที่พักรับรองคณะราชทูตฝรั่งเศส พื้นที่ส่วนหลังของอาคารทำเป็นอาคารสองชั้นมีการเจาะช่องประตูและช่องหน้าต่างทั้งชั้นบน และชั้นล่าง และมีการก่อบันไดขึ้น-ลงอาคารจากด้านนอกของอาคาร เช่นเดียวกับพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ซึ่งเป็นหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานว่า อาคารหมายเลข ๑ ของบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ซึ่งมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบอินโด-เปอร์เซีย สร้างขึ้นตามแนวคิดการใช้งานแบบอาคารโถง หรือ “ดิวาน” จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงให้เป็นทำเนียบว่าราชการ สถานที่ต้อนรับแขกเมืองหรือคณะราชทูตและผู้ติดตาม รวมทั้งการจัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยของฟอลคอนหรือเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ด้วย
เมื่อพิจารณาจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานทั้ง ๓ แห่ง ในเมืองลพบุรีที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น จะเห็นได้ว่าเกิดจากแนวคิดความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่ ในลักษณะห้องโถงขนาดใหญ่ เพื่อการชุมนุมกันของเหล่าขุนนางข้าราชบริพารในลักษณะคล้ายห้องประชุม หรือเป็นสถานที่รับรองอาคันตุกะสำคัญของเมือง ตามแบบอย่างแนวคิดและรูปแบบการก่อสร้างอาคารที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอินโด-เปอร์เซีย ซึ่งอาจกล่าวได้เป็นโบราณสถานเหล่านี้เป็นแบบอย่างของอาคารสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะบางประการสอคคล้องตรงกันกับตึกแบบที่เรียกว่า “ดีวัง” ที่ปรากฎในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ซึ่งยังคงหลงเหลือหลักฐานปรากฏให้เห็นที่เมืองลพบุรี อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความรู้และคุ้นเคยของราชสำนักสยามที่มีต่อวัฒนธรรมเปอร์เซียในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เป็นอย่างดี
เอกสารประกอบ
ลาลูแบร์, ซิมอง เดอ.จดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม.(สันต์ ท.โกมลบุตร,ผู้แปล) นนทบุรี :
ศรีปัญญา ,๒๕๕๒
จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. “ความสัมพันธ์ระหว่างสถาปัตยกรรมอินโด-เปอร์เซียกับรูปแบบสถาปัตยกรรม ในรัชสมัย
สมเด็จพระนารายณ์ ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์เมืองลพบุรี” หน้าจั่ว ฉบับที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๔- สิงหาคม ๒๕๕๕
ผู้เรียบเรียง : นางสุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 40/6ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 24 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 135/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 171/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)