ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,685 รายการ


เนื่องด้วยวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  น้อมรำลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร


           เศียรพระพรหมปูนปั้นประดับศาสนสถาน ได้จากวัดพระแก้ว กลางเมืองกำแพงเพชร ลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างยาว แสดงให้เห็นเพียงสามพักตร์ สวมกระบังหน้า พระขนงโกงต่อกันเหนือสันพระนาสิก พระเนตรเบิกโต พระโอษฐ์บางอมยิ้มเล็กน้อย            พระพรหมเป็นเทพสำคัญหนึ่งในสามองค์ของศาสนาฮินดูที่เรียกว่า ตรีมูรติ ซึ่งประกอบไปด้วยพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ แต่ในคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนานั้น พระพรหมถือเป็นเทวดาองค์หนึ่งที่สถิตบนสวรรค์ชั้นสูงที่เรียกว่าชั้นพรหม (พรหมภูมิ) ซึ่งอยู่สูงกว่าเทวดาทั่วไป พระพรหมยังคงมีการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในกามาวจรภพ            พุทธศาสนาได้แบ่งพระพรหมออกเป็น ๒ ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั้งหมด ๑๖ ชั้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั้งหมด ๔ ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูปพรหม พระพรหมได้ปรากฏอยู่ในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระพุทธศาสนาอยู่หลายครั้งทั้งชาดกและพุทธประวัติ ซึ่งเรื่องราวตอนสำคัญที่พบในงานศิลปกรรม คือ พุทธประวัติตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์หลังจากเทศนาโปรดพุทธมารดา โดยพระพรหมได้ตามเสด็จลงมาทางบันไดแก้วที่อยู่ทางซ้ายของพระพุทธเจ้า ดังปรากฏเป็นภาพปูนปั้นเล่าเรื่องที่มณฑปวัดตระพังทองหลาง เมืองเก่าสุโขทัย-------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร -------------------------------------------------------------บรรณานุกรม กรมศิลปากร. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๗.



วันพุธที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานเปิดงาน “นิทรรศการวารสาร และนิตยสารฉบับแรก” พร้อมด้วยนายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรร่วมในพิธีเปิด ณ ห้องวชิรญาณ ๒ - ๓ ชั้น ๑ อาคาร ๒ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ          นิทรรศการวารสาร และนิตยสารฉบับแรก เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมหอสมุด แห่งชาติ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยนำวารสาร และนิตยสารฉบับแรก หรือฉบับปฐมฤกษ์ ที่จัดเก็บและให้บริการที่สำนักหอสมุดแห่งชาติ มาจัดแสดงแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๕ ส่วน ประกอบด้วย           ส่วนที่ ๑ ประวัติความเป็นมาของวารสารในประเทศไทย จัดแสดงวารสาร นิตยสารหายาก ที่เผยแพร่ ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐            ส่วนที่ ๒ วารสารและนิตยสาร จัดแสดงตามช่วงระยะเวลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๕๙           ส่วนที่ ๓ วารสารและนิตยสาร แบ่งตามประเภทเนื้อหา เช่น ด้านศาสนา ด้านวิศวกรรมศาสตร์           ส่วนที่ ๔ วารสารของหน่วยงานภาครัฐ เช่น นิตยสารศิลปากร วารสารวิชาการหอสมุดแห่งชาติ           ส่วนที่ ๕ วารสาร นิตยสารอิเล็กทรอนิกส์ และผลงานของอาจารย์ศุภชัย ราชพิตร ผู้ที่มอบวารสาร และนิตยสารฉบับปฐมฤกษ์ที่สะสมไว้ให้กับสำนักหอสมุดแห่งชาติ           ขอเชิญผู้สนใจชมความเป็นมาของวารสารและนิตยสารในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และการเปลี่ยนแปลงของวารสารและนิตยสารในช่วงเวลาต่าง ๆ ว่ามีความแตกต่างจากวารสาร และนิตยสารในยุคปัจจุบันอย่างไร ณ ห้องวชิรญาณ ๒ - ๓ ชั้น ๑ อาคาร ๒ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓




     ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงชุมชนมอญซึ่งเป็นชุมชนกลุ่มใหญ่ที่สุดในพื้นที่ในพื้นที่บ้านโป่งถึงบ้านเจ็ดเสมียน โพธาราม  สำหรับตอนที่ ๓ นี้จะกล่าวถึงชุมชนชาวไทยและเขมร       ไทย  ดังที่กล่าวไว้ในตอนแรกว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มแม่น้ำแม่กลองบ้านโป่ง - บ้านเจ็ดเสมียน พบว่าชุมชนชาวไทยจะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ แทรกกระจายตัวอยู่เป็นจุดๆ โดยมีวัดไทยเป็นศูนย์กลาง คนไทยเหล่านี้ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์แล้ว        แต่สำหรับคนไทยพื้นถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดราชบุรีนั้นที่เด่นชัดนั้น คือ ชุมชนบ้านโพหัก ตำบลโพหัก อำเภอบางแพ ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากบริเวณป่าหลวงหรือป่าน้อย โดยมีเรื่องเล่าว่า หลวงพ่อทองดีเป็นผู้นำในการอพยพเนื่องจากบริเวณป่าหลวงเกิดกันดารน้ำ จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศพบว่าบริเวณป่าหลวงมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางเชื่อมโยงทางเหนือได้ถึงเมืองอู่ทองเก่า ทางใต้ลงสู่แม่น้ำท่าจีน บริเวณป่าหลวงยังปรากฏซากอาคารก่อด้วยศิลาแลงเรียก โคกยายชี อีกด้วย ภาษาและสำเนียงของคนโพหักมีลักษณะเฉพาะ ดังตัวอย่าง การเรียกชื่อผู้หญิงด้วยคำนำหน้าว่า “ออ” , บางทีเรียก “ลางที” , สมัยก่อน “กะแรก หรือ ตะก่อน” เป็นต้น       นอกจากกลุ่มคนไทยโพหักกลุ่มนี้แล้ว ในอำเภอวัดเพลง ยังมีกลุ่มคนไทยดั้งเดิมตั้งรกรากกระจายกันอยู่ใน ๓ ตำบล ได้แก่ ตำบลวัดเพลง ตำบลเกาะศาลพระ ( บ้านหนองเกสร บ้านเวียงทุน บ้านหัวดอน บ้านบางนางทวย ) ตำบลจอมประทัด  ( บ้านกล้วย บ้านบางกระลี้ บ้านต้นพลับ บ้านหมู่ใหญ่ บ้านปลายคลองเล็ก บ้านปากสระ บ้านดอนกลาง บ้านตาสน ) เป็นต้น                เขมร  มีการแบ่งกลุ่มชาวเขมรในจังหวัดราชบุรีออกเป็นสองกลุ่ม คือ       ๑. กลุ่ม (ไทย) เขมรลาวเดิม ถิ่นฐานดั้งเดิมนั้นมีเพียงคำบอกเล่าว่า ถูกกวาดต้อนมาจากทางเหนือ  กลุ่มนี้ที่ตั้งบ้านเรือนกระจัดกระจายในหลายท้องที่ คือ อำเภอเมือง ( บางส่วนของตำบลคุ้งกระถิน และตำบลคุ้งน้ำวน) อำเภอปากท่อ ( ตำบลวัดยางงาม หมู่ ๓ บ้านกอไผ่ ตำบลบ่อกระดาน บ้านบ่อตะคร้อ บ้านหัวถนน และบางสาวนของตำบลดอนทราย บ้านหนองจอก )  อำเภอวัดเพลง ( ตำบลวัดเพลงบริเวณวัดศรัทธาราษฎร์ บ้านนางสูญ  ตำบลเกาะศาลพระ บ้านคลองขนอน คลองพะเนาว์ บ้านโคกพริก ) อำเภอบางแพ ( ตำบลหัวโพ บ้านดอนมะขามเทศ ตำบลวังเย็น บ้านเตาอิฐ บ้านหนองม่วง ตำบลวัดแก้ว บ้านเสาธง บ้านทำนบ ตำบลบางแพ บ้านท่าราบ) เป็นต้น   เขมรลาวเดิมมีภาษาพูดสำเนียงคล้ายภาษาอีสาน ศัพท์สำนวนบางคำคล้ายกับภาษาไทยเหนือและอีสาน เช่น คำว่า พูด = เว้า ,ปวดฟัน = ปวดแค้ว , ไม่กลัว = บ่หย่าน เป็นต้น      ๒. กลุ่มเขมร ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมในเมืองบารายและโพธิสัตว์ โดยถูกกวาดต้อนครัวมาแต่ครั้งกรุงธนบุรี ในคราวที่เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ไปตีเขมร และกวาดต้อนครัวเขมรประมาณหมื่นเศษเข้ามายังกรุงธนบุรี และโปรดฯให้ไปตั้งบ้านเรือนที่เมืองราชบุรีเพื่อเป็นกำลังในการสู้รบกับพม่าก่อน “ศึกบางแก้ว”ในปีพ.ศ.๒๓๑๗  มีคำบอกเล่าว่า ชาวเขมรรุ่นปู่ย่าตายายล้วนพูดภาษาเขมร เคยเป็นกองเลี้ยงช้างไว้ทำสงคราม และเลี้ยงช้างให้หลวง กลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่สองฝั่งแม่น้ำแม่กลองด้านทิศตะวันออก คือ อำเภอเมือง (บ้านพงสวาย บ้านคลองแค บ้านคุ้งกระถิน บ้านคุ้งน้ำวน บ้านอู่เรือ บ้านรากขาม บ้านห้วยหมู ) อำเภอโพธาราม ( ตำบลบางโตนด บ้านสมถะ ตำบลเจ็ดเสมียน บ้านสนามชัย ) อำเภอปากท่อ ( ตำบลปากท่อ บ้านโคกพระ ตำบลหนองกระทุ่ม บ้านหนองกระทุ่ม )        สำหรับวัดในกลุ่มชาวไทยและเขมร นี้พบว่ามีวัดริมสองฝั่งแม่น้ำแม่กลอง บ้านโป่ง - บ้านเจ็ดเสมียน รวม ๑๕ วัด ได้แก่  ๑.) วัดมะเดื่อ (วัดอุทุมพรวนาราม) ๒.) วัดกล้วย ๓.) วัดโพธิ์ไพโรจน์ ๓.) วัดจอมประสาท ๔.) วัดกลาง ๕.) วัดวิหารสูง ๖.) วัดมณีโชติ ๗.) วัดตึกหิรัญราษฎร์ * ๘.) วัดสนามชัย * ๙.) วัดเจ็ดเสมียน * ๑๐.) วัดโพสฆาวาส(โพธิ์บัลลังก์) ๑๑.) วัดขนอน ๑๒.) วัดท่าหลวงพล ๑๓.) วัดบางโตนด* ๑๔.) วัดสมถะ* หมายเหตุ * เป็นวัดที่คนไทยปะปนกับเขมร วัดเหล่านี้ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี โดยกลุ่มโบราณคดี ได้ดำเนินการสำรวจในช่วงระหว่างปีพ.ศ.๒๕๓๙ – ปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลที่ได้ยังมีจำนวนไม่มากนัก วัดขนอน  วัดขนอน        วัดขนอน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี        ประวัติ  วัดขนอนแต่เดิมเป็นวัดร้าง จากคำบอกเล่า กล่าวว่าเป็นที่อาศัยของนกนานาชนิด โดยเฉพาะนก กา ลิงและชะนีตลอดจนสัตว์ป่าต่างๆ  บริเวณโดยรอบวัดเป็นป่าไม้เต็ง  ไม้แดงขึ้นรกครึ้ม พอค่ำลงบรรดานกกา ลิงค่าง ก็จะพากันมาเกาะกิ่งไม้เต็มไปหมด ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า “วัดกานอนกีนอนโปราวาส” ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้น ณ มณฑลราชบุรี ทรงบันทึกประวัติของวัดขนอนไว้ในพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ร.ศ. ๑๒๘ ตอนหนึ่งความว่า……….. พระราชหัตถเลขาตอนนี้แสดงให้เห็นถึงสภาพของวัดวาอารามต่าง ๆ ในมณฑลเมืองราชบุรี ยกเว้นในเมืองราชบุรีซึ่งไม่ถูกผลกระทบของสงคราม คงจะรกร้างหรือเกือบร้าง หรือพังทลายเสียหาย ทิ้งรกรุงรังเป็นส่วนใหญ่ ชาวบ้านเองคงปลูกบ้านห่างวัดมาก  และคงไม่ค่อยมีใครสนใจ หรืออยากเข้าไปใกล้วัดร้างด้วยเหตุผลของความกลัว และวัดร้างในลักษณะนี้ นก กา ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือแม้แต่สัตว์ป่า จึงกล้ากรายเข้ามาใกล้หรืออาศัยหลับนอน นานไปผู้คนก็คงจะลืมเลือนแม้กระทั่งชื่อวัด โดยเฉพาะวัดขนอนที่รกร้างมากว่า ๑๐๐ ปีสันนิษฐานว่าชาวบ้านคงเรียกตามสภาพที่เห็นว่า “วัดกานอนกีนอนโปราวาส” ซึ่งประโยคนี้อาจจะแยกเป็น ๓ คำ  คือ “กานอน” เข้าใจง่ายว่าเป็นที่กานอนส่วน “กีนอน” คงจะเพี้ยนเสียงจากชะนี และคำว่า “โปราวาส” “แสดงให้เห็นชัดว่า เป็นคำเรียกกระทบกระแทกเปรียบเปรย เนื่องจากเป็นวัดรกร้างเก่าแก่ นกกาอาศัยนอนจึงนำคำว่า โปราวาส (หมายถึงสถานที่โบราณ) มาเติมเป็นสร้อยข้างท้าย นั่นคือ “วัดกานอนกีนอนโปราวาส”  และคงไม่ใช่ชื่อจริงของวัดอย่างแน่นอน      จากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า หลวงปู่กล่อม ผู้ทำการบูรณะวัดและชาวบ้านได้พบใบเสมาหินเก่ามีจารึกเป็นตัวเลข “๒๓๒๗” เมื่อครั้งรื้อพระอุโบสถหลังเก่าออกเพื่อก่อสร้างโบสถ์ใหม่ จากหลักฐานนี้ทำให้มีผู้สันนิษฐานว่า วัดนี้คงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๗ สำหรับชื่อของวัดขนอนนั้นสืบเนื่องจากหลังจากที่มีการบูรณะวัดขึ้นใหม่แล้ว ชาวบ้านก็เลยพากันเรียกชื่อ วัดเสียใหม่ตามชื่อของด่านเก็บภาษีทางน้ำที่เรียกว่า “ขนอน” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัด เป็นวัดขนอน แทนวัดกานอนกีนอนโปราวาสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งสำคัญภายในวัดขนอน มีดังนี้      อุโบสถ  แต่เดิมอุโบสถมีรูปแบบลักษณะใดไม่มีหลักฐานปรากฏ ต่อมาหลวงปู่กล่อม (จันทโชโต) หรือพระครูศรัทธาสุนทร เข้ามาอยู่ ณ วัดขนอนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ได้เริ่มทำการก่อสร้างใหม่โดยมีช่างชาวจีนเป็นแม่งาน ในการก่อสร้างหลวงปู่กล่อม เป็นผู้ออกแบบคิดประดิษฐ์ผูกลายประตู หน้าต่าง หน้าบัน ฯลฯ โบสถ์ใหม่ที่หลวงปู่กล่อมสร้างขึ้นนั้น มีลักษณะคล้ายกับพระอุโบสถของวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากในสมัยนั้นกำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากพระกระแสรับสั่งชมเป็นพิเศษในเรื่องความงามจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อุโบสถ      ลักษณะของอุโบสถเป็นอาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น ๓ ชั้น ซ้อนกันชั้นละ ๓ ตับ มีมุขลดทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้านละ ๑ ห้อง โดยมีเสาสี่เหลี่ยม ๔ ต้นรองรับโครงหลังคา ด้านข้างมีชายคาปีกนกคลุมมีเสาสี่เหลี่ยมรองรับด้านๆ ละ ๙ ต้น ช่อฟ้าใบระกาปูนปั้นประดับกระจก หน้าบันปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษาตรงกลางเป็นรูปวงกลม ฐานอุโบสถยกพื้น ๒ ชั้น ชั้นแรกอยู่ในแนวเดียวกับเสารองรับชายคาปีกนก ตั้งซุ้มใบเสมาปูนปั้นย่อมุมไม้สิบสอง          ผนังด้านหน้าและด้านหลังก่ออิฐถือปูนเรียบ มีประตูทางเข้าด้านละ ๒ ประตู ซุ้มประตูปูนปั้นทรงเจดีย์ บานประตูไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ลวดลายดอกไม้กลมส่วนล่างเป็นภาพทวารบาลยืนถืออาวุธ ซุ้มประตูด้านหลังบริเวณมุมซุ้มด้านขวาตอนบน มีจารึกภาษาไทย คำว่า“เจกหัว” ซึ่งอาจจะหมาย ถึง ชื่อของนายช่างชาวจีน ผนังด้านข้างก่ออิฐถือปูนมีช่องหน้าต่างด้านละ ๖ บาน บานหน้าต่างไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ลวดลายตอนบนเป็นลายตาข่ายดอกไม้ ตอนล่างเป็นลายรูปสัตว์ลวดลายของบานหน้าต่างแต่ละบานจะไม่ซ้ำกัน ด้านหน้าอุโบสถมีบันไดเตี้ยๆขึ้นทางด้านข้าง เสาบันไดมีภาพจิตรกรรมจีนและอักษรจีน ด้านหนึ่งมีอักษรภาษาไทยว่า “โบษเจ๊กถ้ำงาม” พระพุทธรูปสำริดประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์      ภายในอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปสำริดประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้านข้างซ้าย-ขวามีพระอัครสาวกยืนพนมมือ ฐานชุกชีด้านหลังพระประธานประดิษฐาน พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย และปางสมาธิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ ๕ หลายองค์    ภายนอกอุโบสถมีระเบียงคตก่ออิฐถือปูนล้อมรอบ มีซุ้มประตูทางเข้าอยู่ทั้งสี่ทิศ ภายในระเบียงมีพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัยจำนวน ๑๒๐ องค์ ประดิษฐานรายรอบ      เจดีย์ราย  ตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถเรียงกันเป็นแถวจำนวน ๖ องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนย่อมุมไม้สิบสอง ฐานเจดีย์เป็นฐานสิงห์ซ้อนกันสองชั้น องค์ระฆังขนาดเล็กมีบัวรองรับปากระฆัง ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมรองรับชุดบัวคลุ่มเถาและปลียอด ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่  ฐานเจดีย์เป็นฐานบัวทรงสี่เหลี่ยม รองรับฐานบัวกลมและชุดมาลัยเถาโดยที่ชั้นมาลัยเถานี้จะมีซุ้มพระ  ๘ ซุ้ม ซ้อนกันเป็นสองชั้นชั้นละ ๔ ซุ้ม องค์ระฆังกลมมีสายสังวาลรัด ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมรองรับบัวและปลียอด ลักษณะของส่วนยอดคล้ายกับเจดีย์มอญ   อีกด้านหนึ่งของถนนด้านหน้าวัด มีเจดีย์อยู่ ๑ องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังสีขาวนวล ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมมีกำแพงสี่เหลี่ยมทึบเตี้ยๆ ล้อมรอบ ฐานด้านล่างเป็นฐานบัวกลมซ้อนกัน ๓ ชั้น องค์ระฆังมีการตกแต่งปูนปั้นรูปใบโพธิ์ทั้ง ๔ ด้าน ส่วนยอดเป็นมาลัยเถาและปลียอด ซุ้มประตูวัด      ซุ้มประตูวัด  ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด ติดกับแม่น้ำแม่กลองทางด้านทิศตะวันออก ลักษณะเป็นซุ้มประตูก่ออิฐถือปูน ทรงมณฑป สูงประมาณ ๓ เมตร กว้าง ๑.๘ เมตร      สำเภาก่ออิฐถือปูน  ตั้งอยู่ทางด้านขวามือของซุ้มประตู ลักษณะเป็นสำเภาจีนด้านบนเดิมมีเจดีย์บรรจุอัฐิ ปัจจุบันชำรุดพังไปไม่เหลือสภาพ สำเภามีความยาวประมาณ ๑๐ เมตร กว้าง ๑.๕ เมตร หอระฆัง      หอระฆัง  ก่ออิฐถือปูนทรงมณฑป ด้านล่างเป็นฐานสี่เหลี่ยม ตกแต่งเป็นช่องอาร์คโค้งด้านละ ๓ ช่อง ตอนบนมีระเบียงสี่เหลี่ยมทึบมีบันไดทางขึ้นด้านข้าง ตัวหอระฆังตั้งอยู่บนฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ด้านหนึ่งเป็นผนังสี่เหลี่ยมทึบมีอักษรระบุ “สร้างแล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑” เรือนธาตุโปร่งด้านบนเป็นส่วนโค้งส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงระฆังย่อมุมไม้สิบสอง หอระฆังหลังนี้ได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเข้ามาปะปนอย่างมาก ซุ้มประตูหมู่กุฏิสงฆ์      ซุ้มประตูหมู่กุฏิสงฆ์  ก่ออิฐถือปูนทรงมณฑป ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นเตี้ย ส่วนยอดมีลวดลายปูนปั้นตกแต่ง ตัวซุ้มสูงประมาณ ๓ เมตร      หนังใหญ่  หลวงปู่กล่อมได้สร้างขึ้นโดยมี นายอั๋ง ซึ่งเคยแสดงโขนอยู่ในคณะของพระแสนทองฟ้า เจ้าเมืองราชบุรี เป็นผู้ร่วมสร้างตัวหนังใหญ่ขึ้น โดยมีช่างจาดและช่างจ๊ะนายช่างชาวมอญในราชบุรีและช่างพ่วง จากบ้านโป่งเป็นคณะผู้ร่วมสร้างตัวหนังใหญ่วัดขนอน หนังชุดแรกที่สร้าง คือ ชุดหนุมานถวายแหวน และได้สร้างต่อมาอีกหลายชุดรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓๒๐ ตัว ลักษณะของตัวหนังใหญ่นั้น จะแกะเป็นรูปโปร่งตามตัวที่ต้องการ เช่น พระ นาง ลิง ยักษ์ เพื่อให้แสงสว่างผ่าน เพื่อให้เห็นรูปทรงตัวหนังทำจากหนังโคทั้งตัว ตัวหนังใหญ่ของวัดขนอนปัจจุบันมีอายุราว ๑๕๐ ปีมาแล้ว บางตัวชำรุดมาก สมเด็จพระเทพ-รัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชดำริให้หาช่าง มาสร้างหนังชุดใหม่แทนชุดเก่า แล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๓๘ จำนวนทั้งสิ้น ๓๑๓ ตัว เท่ากับจำนวนตัวหนังเก่าที่เหลือในปัจจุบัน      โบราณวัตถุที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัด  ส่วนใหญ่เป็นของที่เรียกเก็บเป็นภาษีผ่านด่านขนอน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนำมาเก็บรักษาไว้พระอุโบสถของวัดขนอน ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องถ้วยลายครามของจีน ได้แก่ แจกัน โถ กระโถน ป้านน้ำชา และชามขนาดเล็ก นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องถ้วยเบญจรงค์ จำพวกโถ พาน สมัยรัตนโกสินทร์ และสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น ผ้าพระบถ ภาพวาดพุทธประวัติบนกระจก สมุดข่อย เป็นต้น เรียบเรียง : นางจิรนันท์  คอนเซพซิออน นักโบราณคดีชำนาญการ  สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี    หนังสืออ้างอิง กรมศิลปากร. ราชบุรี ,พระนคร : บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ป จำกัด ,๒๕๓๔. (พิมพ์เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๔ ) สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ความหลากหลายของผู้คน ชุมชน และวัฒนธรรม บ้านโป่ง-เจ็ดเสมียน , มปท. หจก.เอราวัณการพิมพ์ , ๒๕๕๔. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี . ชุมชน ๘ เผ่า ในจังหวัดราชบุรี .เอกสารอัดสำเนา  ,๒๕๔๖. สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี กลุ่มโบราณคดี , รายงานการสำรวจโบราณสถาน จังหวัดราชบุรี ,เอกสารโรเนียว , ๒๕๓๙ -ปัจจุบัน .



เลขทะเบียน : นพ.บ.147/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 9 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.126/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  54 หน้า ; 4.5 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 73 (257-266) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.16/1-2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : นิทานอิหร่านราชธรรม (ประชุมปกรณัม) เล่ม 1 ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2506 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภาจำนวนหน้า : 356 หน้า สาระสังเขป : นิทานอิหร่านราชธรรม เป็นนิทานแขก ในหนังสือเรื่องนี้มีศัพท์ ที่แปลแปลกอยู่ในนิทานเรื่องที่ ๕ ศัพท์หนึ่งส่อให้เห็นว่าแปลมาเก่าแก่ เช่น เรียกสัตว์อันเกิดแต่ม้ากับลาผสมกันว่า “แม้” ไม่เคยเห็นเรียกในหนังสือเรื่องอื่นเลย ในหนังสือเล่มนี้ จะมีทั้งหมด ๔ ภาคด้วยกัน ภาคที่ ๑ นิทานอิหร่านราชธรรม ภาคที่ ๒ ปักษีปกรณัม ภาคที่ ๓ ปีศาจปกรณัม ภาคที่ ๔ เวตาลปกรณัม


          โบราณสถานพุหางนาค หมายเลข ๒ เป็นเจดีย์สมัยทวารวดีที่ตั้งอยู่บนเทือกเขารางกะปิด ในพื้นที่บ้านเขาพระ ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี สภาพปัจจุบันเหลือเพียงส่วนฐานก่ออิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน ๓ ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นหินที่เกิดจากการนำหินธรรมชาติมาถมปรับพื้นที่เพื่อรับน้ำหนักเจดีย์และเป็นลานประกอบกิจกรรม พบร่องรอยการก่อสร้างซ้อนทับกัน ๒ สมัย            จากการขุดแต่งพบโบราณวัตถุที่เป็นส่วนประกอบของเจดีย์ได้แก่อิฐและศิลาแลง พระพิมพ์ดินเผาประดับศาสนาสถาน ทั้งยังพบภาชนะดินเผาจำนวน ๓ ใบบรรจุโบราณวัตถุเนื่องในศาสนา ฝังอยู่ในพื้นหินที่ตั้งของโบราณสถาน            ในภาชนะดินเผาใบหนึ่งพบพระพิมพ์ดินเผามีจารึกอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ (ประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ระบุนามกษัตริย์ผู้สร้างพระพิมพ์ จึงสันนิษฐานว่าโบราณสถานแห่งนี้เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์หรือชนชั้นปกครอง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตามคติความเชื่อเรื่องการสร้างบุญกุศล มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ต่อมาเจดีย์องค์นี้พังทลายลง จึงมีการสร้างเจดีย์สมัยที่ ๒ ครอบทับ            โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ พระพิมพ์ดินเผามีจารึก พระพิมพ์ดินเผาปิดทองคำเปลว พระพุทธรูปสำริดปางสมาธิ แผ่นตะกั่วรูปพระโพธิสัตว์และแผ่นตะกั่วรูปสตรี ปัจจุบันโบราณวัตถุเหล่านี้จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง -----------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี-----------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง ปรัชญา รุ่งแสงทอง. ผลการขุดแต่งโบราณสถานพุหางนาคหมายเลข ๒ กับการตอบคำถามเรื่อง “หินตั้ง”ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. พุหางนาคและคอกช้างดินร่องรอยพุทธและพราหมณ์บนเขาศักดิ์สิทธิ์. สมุทรสาคร:บางกอกอินเฮ้าส์, ๒๕๖๑. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. พระพุทธรูปและพระพิมพ์ทวารวดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๒.


          นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากร โดยสำนักวรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์ ได้จัดทำโครงการอนุรักษ์ สืบทอด และเผยแพร่ต้นฉบับหนังสือเก่าทรงคุณค่า เพื่อให้สาธารณชนนำไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในโอกาสต่าง ๆ บุคคลหรือหน่วยงานใดประสงค์จะจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ และจารีตประเพณี สามารถติดต่อได้ที่ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร โทร. ๐ ๒๑๖๔ ๒๕๐๑ ต่อ ๖๐๗๖ หรือดูรายชื่อหนังสือที่อนุญาตให้นำไปจัดพิมพ์เผยแพร่ได้ที่ www.finearts.go.th/literatureandhistory           สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร มีภารกิจสำคัญในการอนุรักษ์ สร้างสรรค์ สืบทอด และเผยแพร่หนังสือและเอกสารเก่าอันทรงคุณค่า ทั้งด้านวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ และจารีตประเพณี โดยเปิดโอกาสให้สาธารณชนร่วมสืบทอดอายุหนังสือเก่า ด้วยการนำต้นฉบับหนังสืออันทรงคุณค่าเหล่านี้ไปจัดพิมพ์ในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานอายุวัฒนมงคล งานบำเพ็ญกุศลศพ และงานฉลองในโอกาสต่าง ๆ เพื่อเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ให้กว้างขวาง โดยคัดเลือกและจัดหมวดหมู่หนังสือและเอกสารเก่าที่ทรงคุณค่า จัดทำฐานข้อมูลในระบบดิจิทัล รวบรวมรายชื่อหนังสือและเอกสารเผยแพร่แก่ผู้สนใจที่ประสงค์จะนำไปจัดพิมพ์ เพื่อร่วมกันอนุรักษ์และ สืบทอดหนังสือและเอกสารเก่าอันทรงคุณค่าของชาติให้คงอยู่สืบไป           สำหรับรายชื่อหนังสือที่อนุญาตให้นำไปจัดพิมพ์ขณะนี้มีทั้งสิ้น ๒๑๓ เรื่อง แบ่งเป็น ประเภทวรรณกรรม จำนวน ๙๖ เรื่อง เช่น กากีคำฉันท์ ประชุมสุภาษิตสอนหญิง อิศปปกรณัม: วรรณกรรมแปลจากตะวันตกยุคแรกของไทย ประเภทประวัติศาสตร์ จำนวน ๒๖ เรื่อง เช่น เรื่องกรุงเก่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคลสมัยรัตนโกสินทร์ พระเมรุมาศสมัยรัตนโกสินทร์ ประเภทจารีตประเพณี จำนวน ๓๗ เรื่อง เช่น มหาทิพมนต์: ความสืบเนื่องของบทพระพุทธมนต์ในสังคมไทย ย้อนรอยพิธีโล้ชิงช้าในสยาม ประเภทแปลและเรียบเรียง จำนวน ๕๔ เรื่อง เช่น ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ – ๒ บันทึกสัมพันธภาพระหว่างประเทศสยามกับนานาประเทศ เล่มที่ ๔ – ๖ ตามรอยบันทึกชาวต่างชาติจากอ่าวสยามสู่ลำน้ำเจ้าพระยา สยามและลาวในสายตามิชชันนารีชาวอเมริกัน           ทั้งนี้ รายละเอียดในการจัดพิมพ์ยึดตามระเบียบกรมศิลปากร เรื่อง การขออนุญาตพิมพ์หนังสือ พ.ศ.๒๕๒๐


black ribbon.