ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ




          เวียงแก้ว หมายถึง เวียงของกษัตริย์ หรือเขตพระราชฐานที่ประทับของกษัตริย์ ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง ภายในประกอบด้วยอาคารหลายหลังมีหน้าที่ใช้สอยแตกต่างกัน เวียงแก้วมีมาตั้งแต่ยุคต้นของเมืองเชียงใหม่ และในยุคฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ พญากาวิละได้สร้างหอคำหรือคุ้มหลวงอยู่ในบริเวณเวียงแก้ว เดิมเรียกว่า “คุ้มเวียงแก้ว” และได้เป็นที่ประทับของกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ สืบเนื่องยาวนานมาถึงสมัยเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์ทิพยจักร นับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เชียงใหม่องค์สุดท้ายที่มีความเกี่ยวข้องกับเวียงแก้ว โดยพระองค์ได้มอบพื้นที่เวียงแก้วให้ทางการสยามนำไปสร้างเป็นเรือนจำ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ เรื่อยมาจนกระทั่งกรมราชทัณฑ์ได้ย้ายนักโทษหญิงออกจากทัณฑสถานหญิงเดิมที่สร้างบนพื้นที่เวียงแก้วในพุทธศักราช ๒๕๕๕ ไปตั้งในพื้นที่แห่งใหม่ที่ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงปัจจุบัน           ภายหลังจากที่ทัณฑสถานหญิงเดิมได้ย้ายออกไปตั้งในที่แห่งใหม่แล้ว ประชาชนชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้มีการลงประชามติให้มีการปรับปรุงพื้นที่ทัณฑสถานหญิงเดิมให้เป็นพื้นที่สาธารณะ และฟื้นฟูเวียงแก้วซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่ เพื่อประโยชน์ในด้านการศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ล้านนาโดยปัจจุบัน สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ได้ทำการขุดค้นทางโบราณคดี เพื่อศึกษาหลักฐานการตั้งอยู่รวมถึงพัฒนาการของเวียงแก้ว ประกอบกับการศึกษาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ล้านนา ส่งผลให้ปัจจุบันการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเวียงแก้วเป็นสิ่งที่ชาวเชียงใหม่หลายคนให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง          ผลการดำเนินงานด้านวิชาการโบราณคดีพบหลักฐานเครื่องถ้วยจำนวนมาก ที่สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของเวียงแก้วผ่านเครื่องถ้วยต่างๆ ที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเวียงแก้ว เพราะเครื่องถ้วยเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สามารถกำหนดอายุสมัยโดยใช้การเปรียบเทียบ เครื่องถ้วยจีนที่ในแต่ละแหล่งเตาที่จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัยของจักรพรรดิพระองค์นั้นๆ หรือเครื่องถ้วยล้านนาจากแหล่งผลิตต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์จนสามารถระบุความสัมพันธ์ของเมืองเชียงใหม่กับเมืองที่เป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยเหล่านั้น จึงเป็นที่น่าสนใจหากจะศึกษาพัฒนาการแต่ละยุคสมัยของเวียงแก้ว รวมถึงศึกษาการติดต่อสัมพันธ์กับบ้านเมืองอื่น ๆ ผ่านหลักฐานประเภทเครื่องถ้วย โดยนำมาเทียบกับหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าใจประวัติศาสตร์และพัฒนาการของเวียงแก้วได้มากยิ่งขึ้น           การขุดค้นทางโบราณคดีในเวียงแก้ว          “เวียงแก้ว” เป็นชื่อเขตพระราชฐานของกษัตริย์ล้านนาที่อยู่ในสำนึกของชาวเชียงใหม่มาช้านานแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ล้านนาต่างให้ความสำคัญกับพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตามความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ไทนับได้ว่าเป็นพื้นที่สำคัญอันเป็นเสมือน “หัวใจ” หรือ “หลักเมือง” ภายหลังจากทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ที่เดิมตั้งอยู่ในพื้นที่ของเวียงแก้วได้ย้ายออกไปตั้งยังสถานที่แห่งใหม่บนถนนโชตนา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ชาวเชียงใหม่และกลุ่มนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ล้านนาต่างตื่นตัวที่จะเรียกร้องให้มีการรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ออกทั้งหมด โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ชาวเชียงใหม่ได้ทำประชาพิจารณ์ให้มีการปรับปรุงพื้นที่ทัณฑสถานเดิมนี้ให้กลายเป็นสวนสาธารณะ โดยมีจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้ควบคุมดูแลงบประมาณและการก่อสร้าง ภายใต้ชื่อ “โครงการพัฒนาข่วงหลวงเวียงแก้ว” ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๙๕ ล้านบาท โดยมีกำหนดเริ่มต้นดำเนินโครงการเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ - ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ อย่างไรก็ตาม การจะสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่บนสถานที่ที่คาดว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก่อนนั้นยังไม่สามารถทำได้โดยทันที เพราะต้องมีการศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเสียก่อน เพื่อยืนยันถึงการมีอยู่จริงของเวียงแก้ว และป้องกันมิให้เกิดการทำลายหลักฐานที่อาจมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก          การดำเนินงานด้านโบราณคดีในเวียงแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาโครงการข่วงหลวงเวียงแก้วของจังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมการขุดค้น การดำเนินงานทางโบราณคดี แบ่งออกเป็น ๒ ระยะ ดังนี้          ระยะที่ ๑ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ ทำการขุดค้นและขุดแต่งในพื้นที่ทัณฑสถานหญิงเดิม พื้นที่บางส่วนของสำนักงานยาสูบ (เดิมเป็นคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ แก้วมุงเมือง) และพื้นที่บ้านพักผู้บัญชาการเรือนจำเดิม ซึ่งบริเวณเหล่านี้เมื่อนำมาเทียบกับแผนที่เมืองเชียงใหม่ที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ก็พบว่าตรงกับพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านทิศใต้ของเวียงแก้ว          ระยะที่ ๒ เริ่มช่วงเดือนกันยายน ๒๕๖๓ - เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องภายหลังจากการรื้อถอนอาคารของทัณฑสถานหญิงเดิมรุ่นหลังบางอาคารที่ทับกับหลักฐานแนวอิฐที่พบจากการขุดค้นในระยะที่ ๑ จากการดำเนินงานตลอดปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ พบหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของเวียงแก้ว ได้แก่ แนวอิฐที่ก่อเป็นกำแพงและฐานรากอาคาร ที่บ่งบอกถึงลำดับการก่อสร้างภายในเวียงแก้วมาตั้งแต่สมัยล้านนา (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒) โดยสันนิษฐานว่า การสร้างเวียงแก้วน่าจะเริ่มจากบริเวณพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านทิศตะวันออกก่อน แล้วจึงปรับเปลี่ยน ขยับขยายพื้นที่เรื่อยมาหลายยุคสมัยจนกระทั่งมีลักษณะดังเช่นปัจจุบัน           นอกเหนือจากหลักฐานสำคัญอย่างแนวกำแพงและฐานรากอาคารแล้ว หลักฐานโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นและขุดแต่งทางโบราณคดีในเวียงแก้วก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยโบราณวัตถุที่พบนั้นมีจำนวนนับหมื่นชิ้น ส่วนใหญ่เป็นโบราณวัตถุประเภทเครื่องปั้นดินเผาแบบเนื้อดิน อาทิ ครก สาก หินบดยา เครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกร่งจากแหล่งเตาในล้านนาและท้องถิ่น รวมไปถึงเครื่องถ้วยจากต่างประเทศ ทั้งเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน หมิง และชิง แม้กระทั่งเครื่องถ้วยจากประเทศญี่ปุ่นและเวียดนามก็พบในแหล่งโบราณคดีแห่งนี้เช่นกัน การดำเนินงานขณะนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการวิเคราะห์โบราณวัตถุ หากมีการวิเคราะห์เสร็จสิ้นแล้วก็จะช่วยให้มองเห็นภาพพัฒนาการของเวียงแก้วได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น           การดำเนินงานขุดค้นและขุดแต่งทางโบราณคดีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา โดยทางสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ได้ทำการขุดค้น ขุดแต่งจนถึงชั้นดินพื้นที่ใช้งานเดิมสมัยล้านนา และทำการรื้อถอนอาคารทัณฑสถานเดิมออกบางส่วน เหลือเพียงอาคารที่ยังคงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการศาลไว้ ๓ หลัง คือ อาคารบัญชาการ เรือนเพ็ญ และอาคารแว่นแก้ว รวมไปถึงป้อมปราการด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้และกำแพงเรือนจำบางส่วนเท่านั้น ขณะที่แนวอิฐที่เป็นกำแพงเวียงแก้วและฐานรากอาคารต่างๆ ที่ขุดค้นพบ จะทำการถมกลับไว้ เพื่อป้องกันการถูกทำลายจากปัจจัยต่างๆ และจะทำการขุดเปิดอีกครั้งเมื่อมีแผนการปรับปรุงพื้นที่ตามโครงการพัฒนาข่วงหลวงเวียงแก้วของจังหวัดเชียงใหม่ในอนาคต            เครื่องถ้วยที่จัดแสดงในนิทรรศการ           ๑. เครื่องถ้วยจีน ได้แก่            - สมัยราชวงศ์หยวน ได้แก่ กลุ่มเครื่องถ้วยลายคราม เขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบ และกลุ่มเครื่องเคลือบสีเขียวภาพ : เครื่องถ้วยจีนจากราชวงศ์หยวน (ซ้ายมือ) และราชวงศ์ชิง (ขวามือ)           - สมัยราชวงศ์หมิง ได้แก่ กลุ่มเครื่องถ้วยเคลือบสีนํ้าเงิน จากแหล่งเตาเต๋อฮั่ว มณฑลฝูเจี้ยน กลุ่มเครื่องถ้วยลายคราม เขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบ จากแหล่งเตาจิ่งเต๋อเจิ้น มณฑลเจียงซี และเตาในมณฑลฝูเจี้ยน ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยเคลือบสีเขียว จากแหล่งเตาฉือเส้า มณฑลฝูเจี้ยน เครื่องถ้วยเขียนสีบนเคลือบ จากแหล่งเตาจิ่งเต๋อเจิ้น มณฑลเจียงซีภาพ : เครื่องถ้วยจีนราชวงศ์หมิง           - สมัยราชวงศ์ชิง ได้แก่ เครื่องถ้วยลายคราม เขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบ สมัยราชวงศ์ชิง แหล่งเตาเต๋อฮั้ว มณฑลฝูเจี้ยน และแหล่งเตาจิ่งเจ๋อเจิ้น มณฑลเจียงซี            - สมัยสาธารณรัฐจีน ได้แก่ กระปุกเคลือบสีนํ้าตาล แหล่งเตาจิโจว และเศษเครื่องถ้วยเขียนสีบนเคลือบ หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ชามตราไก่” จากแหล่งเตาต้าปู้ มณฑลกว่างตง และเครื่องถ้วยเขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบภาพ ; เครื่องถ้วยจีนสมัยสาธารณรัฐ (ซ้าย) และเครื่องถ้วยจากเวียดนามและญี่ปุ่น (ขวา)           ๒. กลุ่มเครื่องถ้วยแหล่งเตาล้านนา/ท้องถิ่น อาทิ เบี้ยขุดลายจากแหล่งเตาพะเยา (เวียงบัว) ก้นภาชนะเขียนลายสีดำบนพื้นขาวจากแหล่งเตาสุโขทัย เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียวขุดลายจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย เครื่องถ้วยเคลือบสีขาว และเขียนสีดำบนพื้นขาวใต้เคลือบจากแหล่งเตาเวียงกาหลง จังหวัดเชียงราย เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียวจากแหล่งเตาสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตุ๊กตาดินเผาเคลือบสีเขียว ชิ้นส่วนพระพุทธรูปดินเผา รวมถึงภาชนะดินเผาเนื้อดินที่ผลิตในแหล่งเตาท้องถิ่น เช่น กุณฑี (คนโท) ตะคันดินเผา หม้อปากผายออกขนาดเล็ก และครกดินเผา ครกหิน และสาก ที่ได้จากการขุดค้นในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้วด้วยภาพ : เครื่องถ้วยจากแหล่งเตาในล้านนาและภาคเหนือภาพ : กุณฑี (คนโท) และภาชนะดินเผาเนื้อดินชนิดอื่นๆ ที่พบในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้วภาพ : ครกดินเผา ครกหิน และสาก           ๓. กลุ่มเครื่องถ้วยจากประเทศเวียดนาม และญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียว และเขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบจากประเทศเวียดนาม ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยเขียนสีแดงลายโชกุน สมัยเอโดะ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยพิมพ์ลายสีนํ้าเงินใต้เคลือบ สมัยเมจิ - ไทโช และแจกันเขียนลายสีนํ้าเงินและทอง ราวสมัยเมจิ จากประเทศญี่ปุ่น           นิทรรศการเครื่องถ้วยเวียงแก้วครั้งนี้ ได้นำเอาเครื่องถ้วยที่ได้จากการขุดค้นพบในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้ว มาจัดลำดับตามอายุสมัยของเครื่องถ้วย เทียบกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเวียงแก้วจากหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยนำเสนอในรูปแบบของไทม์ไลน์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าใจบริบทของเครื่องถ้วยที่พบในเวียงแก้วได้มากยิ่งขึ้น            นิทรรศการพิเศษ เรื่อง "เครื่องถ้วยเวียงแก้ว จากวัตถุสู่พัฒนาการวังหลวงแห่งเวียงเชียงใหม่" จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑ กันยายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ อาคารจัดแสดงชั้น ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๓๒๒ ๑๓๐๘


สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญร่วมกิจกรรม “รถพิพิธภัณฑ์สัญจร : Mobile Museum” นิทรรศการด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ จัดแสดงโบราณวัตถุจำลองและวีดิทัศน์เสริมสร้างความรู้ พร้อมกิจกรรมเรียนรู้ภาชนะดินเผาโบราณจากจิ๊กซอว์สามมิติ ณ มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 19 พฤศจิกายน 2564 เวลา 9.00 - 19.00 น. อาคาร 9 - 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี   กดติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆได้ที่ Facebook Page : https://www.facebook.com/MobileMuseumThailand Website : https://www.finearts.go.th/thailandmuseum IG : mobilemuseumthailand และร่วมแชร์ภาพกิจกรรมได้ที่ #MobileMuseumThailand


ชื่อเรื่อง                     บทละครนอก เรื่องไชยเชษฐ์ผู้แต่ง                       พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย    ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณคดีเลขหมู่                      895.9112 พ835บทสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 บริษัทประเสริฐธนกิจ จำกัดปีที่พิมพ์                    2500ลักษณะวัสดุ               94 หน้า หัวเรื่อง                     บทละครไทยภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกบทละครนอกพระราชนิพนธ์เรื่องไชยเชษฐ์กล่าวถึงเรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละคร มีทั้งหมด 4 ตอน


ชื่อเรื่อง                                สมภมิต (สมพระมีต) สพ.บ.                                  360/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           52 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี 




เลขทะเบียน : นพ.บ.184/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  56 หน้า ; 5.5 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 106 (117-122) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : ปาจิตฺติยปาลิ มหาริภงฺคปาลิ(พระปาจิตตีย์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.253/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 115 (203-216) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : พฺรหฺมทตฺตชาดก(พรหมทัตต์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เค้าสนามหลวงหลังจากเชียงใหม่ขับไล่พม่าออกจากเมืองได้สำเร็จ ภายใต้การสวามิภักดิ์และความร่วมมือของพระยาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละ (โอรสเจ้าฟ้านครลำปาง) เชียงใหม่จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยามในฐานะเมืองประเทศราช เมื่อพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ถึงแก่กรรมลง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้แต่งตั้งพระเจ้ากาวิละขึ้นปกครองนครเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิละทรงฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่จากการเป็นบ้านเมืองร้าง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครองและทรงฟื้นฟูระบบการปกครองล้านนาให้มีเอกภาพดังเดิม มีการแต่งตั้งเสนาบดี ๔ ตำแหน่งเช่นเดียวกับขุนนางจตุสดมภ์ของส่วนกลาง และเค้าสนามหลวง เพื่อทำหน้าที่ถวายข้อคิดเห็นตามที่มีทรงหารือ คำว่า “เค้าสนามหลวง” หรือ “เค้าสนาม” ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุและหนังสือทั่วไป (เรียกชื่ออื่นได้ว่า ข่วง ข่วงสนาม หรือสนาม) ซึ่งคำนี้เป็นคำในภาษาถิ่นพายัพและเป็นคำโบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใดราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่า เค้าสนามหลวง (ถิ่น-พายัพ; โบ) น. สำนักผู้ปกครองบ้านเมือง ที่ว่าราชการเมือง คณะผู้ว่าการบ้านเมืองซึ่งประกอบด้วย เจ้าผู้ครองเมืองหรือผู้ครองเมืองข้าหลวงประจำนครหรือเมือง ซึ่งต่อมาเรียกว่า ปลัดมณฑลประจำจังหวัด และข้าหลวงผู้ช่วย มีหน้าที่บังคับบัญชารับผิดชอบในกิจการทั่วไปของเมือง เค้าสนาม ก็ว่า อรวรรณ ภิรมจิตรผ่อง (อ้างถึง สินชัย กระบวนแสง, ๒๕๔๕) อธิบายคำว่า เค้าสนาม ว่า เป็นชื่อเรียกคณะบุคคลคณะหนึ่งที่ทำงานสำคัญต่าง ๆ ถวายพระเจ้าเชียงใหม่ วรชาติ มีชูบท อธิบายคำว่า เค้าสนามหลวง หรือที่ภาษาถิ่นล้านนาออกเสียงว่า เก๊าสนามหลวง หรือ เก๊าสนาม นั้น คือ องค์คณะขุนนางผู้ทำหน้าที่บริหารราชการบ้านเมือง เปรียบได้กับเสนาบดีจตุสดมภ์และลูกขุน ณ ศาลา และลูกขุน ณ ศาลหลวง  จินตนา กิจมี กล่าวถึงพื้นที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ว่า “...เดิมเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๖ ถึงเจ้าเทพไกรสร พระธิดา ซึ่งเสกสมรสกับเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๗ ซึ่งทรงใช้เป็น “หอคำ” ซึ่งอยู่ในบริเวณคุ้มกลางเวียง หรือ “เค้าสนามหลวง” สำนักผู้ปกครองบ้านเมือง หรือที่ว่าราชการเมืองในสมัยนั้น...” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีนโยบายรวมหัวเมืองประเทศราชเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปการปกครองในหัวเมืองฝ่ายเหนือ อันประกอบด้วย เมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน และเมืองลำปางขึ้นเป็นหัวเมืองลาวเฉียง โดยทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ไปบัญชาการการปฏิรูป ซึ่งทรงมีนโยบายปรับปรุงรูปแบบการปกครองให้มีความสอดคล้องกับการปกครองตามประเพณีเดิม โดยคงเค้าสนามไว้ แต่ตั้งกรมใหม่ขึ้น ๖ กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมทหาร กรมคลัง กรมยุติธรรม กรมวัง และกรมนา มีตำแหน่งเสนาทำหน้าที่เป็นเจ้ากรมเค้าสนาม มีหน้าที่คัดเลือกเจ้านายท้องถิ่น ขุนนางท้องถิ่น มาดำรงตำแหน่งเสนา เสนารอง แล้วเสนอให้พระเจ้าเชียงใหม่ทรงแต่งตั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เชียงใหม่ยังคงใช้ระบบปกครองให้สอดคล้องกับประเพณีเดิม โดยมีเค้าสนามเป็นคณะกรรมการบริหารและเสนา ๖ ตำแหน่งตามเดิม แต่ได้ยุบตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมไป จนตำแหน่งเค้าสนามและเสนาทั้ง ๖ หมดไป ในส่วนของเอกสารจดหมายเหตุ พบในเอกสารสำคัญหลายฉบับที่ระบุถึงคณะทำงาน “เค้าสนามหลวง” ยกตัวอย่างเช่น เอกสารที่กล่าวถึงการเสด็จฯ นครเชียงใหม่ชั่วคราวของเจ้าดารารัศมี ในปี ร.ศ. ๑๒๗ – ๑๒๘ (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๑) พบว่า เมื่อมีคำสั่งเรื่องการเสด็จนครเชียงใหม่ของพระนางเจ้าดารารัศมี ทางส่วนราชการได้มอบหมายให้คณะทำงานเค้าสนามหลวง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำการรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ คณะทำงานเค้าสนามหลวง จึงได้สั่งการแก่กองตำรวจภูธรนครเชียงใหม่เรื่องการรับเสด็จและการจัดริ้วกระบวนดำเนินการต่อไป ผู้เรียบเรียง: นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ และนางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุ อ้างอิง: ๑. กรมศิลปากร. ๒๕๖๐. ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่ม ๒๓ จังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพมหานคร: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗). ๒. จินตนา  กิจมี.  ๒๕๖๒. “เค้าสนามหลวง.” ใน วงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ (บรรณาธิการ).  เชียงใหม่ นครแห่งอมต.  เชียงใหม่: บริษัท วิทอินดีไซน์ จำกัด, ๖๕-๗๒.๓. ราชบัณฑิตยสถาน.  ๒๕๕๔.  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.  พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น.๔. วรชาติ มีชูบท.  ๒๕๕๖.  เจ้านายฝ่ายเหนือและตำนานรักมะเมียะ.  กรุงเทพมหานคร: เอ.พี.กราฟิคดีไซน์และการพิมพ์.๕. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่.  เอกสารการจัดเตรียมต้อนรับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เสด็จกลับเมืองเชียงใหม่ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๒.  ๖. อรวรรณ  ภิรมจิตรผ่อง.  ๒๕๖๑.  “เค้าสนามหรือเค้าสนามหลวง.”  เดลินิวส์  (๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑): ๒๓.



ชื่อผู้แต่ง        - ชื่อเรื่อง         พระมหาชาดก ครั้งที่พิมพ์      - สถานที่พิมพ์    - สำนักพิมพ์      - ปีที่พิมพ์          - จำนวนหน้า      ๑๕๘ หน้า หมายเหตุ.       -   (เนื้อหา)            ดำเนินความตั้งแต่สันดุสิตเทวบุตรจุติลง เกิดในครรภ์พระนางผุสดี แล้วประสูติโอรส พระนามว่าเวสสันดร จนได้อภิเษกกับพระนางมัทรี แล้วถูกเนรเทศออกจากพนะนคร เพราะได้ให้ช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่พราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์ไป พระเวสสันดรจึงต้องพานางมัทรี และโอรสธิดา กัณหา ชาลี ออกจากพระนครสีพีไปอยู่ในเขาวงกต ต่อมามีพราหมณ์ชูชกได้เดินทางมาขอโอรสธิดาไป ฯลฯ  






black ribbon.