ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ

ผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2500 หมายเหตุ : หม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี พิมพ์แจกในงานบำเพ็ญกุศลถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติประวัติ พ.ศ. 2500               หนังสือเทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นลักษณะคำเทศนา มีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์และธรรมคดีเป็นอันมาก


•หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในเวียงกุมกามนั้นมีมากมายทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุ เวียงกุมกามนั้นพบหลักฐานมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๓ ในหลักฐานเอกสารชั้นที่ ๑ นั่นก็คือศิลาจารึกวัดพระยืน ซึ่งชื่อของ "กุมกาม" ได้ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนครั้งแรก (เท่าที่สามารถตรวจสอบได้ขณะนี้) และจนกระทั่งเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้มีการขุดพบพระพิมพ์ดินเผาเป็นจำนวนมากในบริเวณสนามหญ้าหน้าโรงเรียนวัดช้างค้ำ กลางเวียงกุมกามทางกรมศิลปากรจึงเข้าไปสำรวจโบราณสถานในเขตของเวียงกุมกามทั้งหมด และเริ่มทยอยขุดแต่งบูรณะโบราณสถานมาโดยลำดับจนกระทั่งปัจจุบัน โดยกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ภายในเขตกำแพงเวียงกุมกาม ๒๔ แห่ง และนอกกำแพง ๕ แห่ง รวมเป็น ๒๙ แห่งแต่และแห่งล้วนมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยจากการกำหนดรูปแบบของศิลปะนั้นไม่สามารถสืบหาเรื่องราวการสร้างเวียงกุมกามได้คงมีแห่งเดียวคือ วัดกานโถม ที่สามารถศึกษางานด้านศิลปกรรมของเวียงกุมกามได้ ซึ่งวัดนี้เคยพบร่องรอยของชุมชนดั้งเดิมก่อนการสร้างเวียงกุมกามโดยได้พบพระพิมพ์ดินเผาสกุลช่างหริภุญไชยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ รวมทั้งยังพบเครื่องถ้วยจีนจากการขุดแต่งในวัดหนานช้าง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในทางประวัติศาสตร์ศิลปกรรมของเวียงกุมกาม ทั้งยังมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญและทรงคุณค่าที่พบในเวียงกุมกาม เพื่อเป็นข้อมูลและหลักฐานในด้านโบราณคดี ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ตามหลักฐานที่ขุดพบ •  ที่มาข้อมูล : การจัดการการท่องเที่ยวศิลปกรรมเวียงกุมกาม จังหวัดเชียงใหม่ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทลัยศิลปากร                         : โบราณคดีสามทศวรรษที่เวียงกุมกาม


ชื่อเรื่อง                     อรรถกถาธัมมสังคิณีสพ.บ.                      196/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               76 หน้า : กว้าง 4.9 ซ.ม. ยาว 54.8 ซ.ม. หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี



วัดชมชื่น  อยู่นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย ห่างจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงมาทางทิศตะวันตกมา ๔๐๐ เมตร ก่อนถึงวัดเจ้าจันทร์ โบราณสถานหันหน้าไปทางทิศตะวันออก องค์ประกอบหลักได้แก่ ๑. เจดีย์ทรงกลมหรือเจดีย์ทรงระฆัง เป็นประธานของวัด ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยศิลาแลง ฐานเขียงชั้นล่างสุดมีซุ้มพระตรงกึ่งกลางทั้ง ๔ ด้านและบริเวณมุม คล้ายกับเจดีย์ของลังกาและล้านนา ๒. มณฑป อยู่ทางด้านหลังของวิหาร มีส่วนฐานติดกัน เป็นมณฑปทรงจั่วแหลม ด้านหน้ามีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ภายในเต็มพื้นที่ สว่นด้านหลังของมณฑปทำเป็นซุ้มจระนำเคยมีพระพุทธรูปนาคปรกประดิษฐานอยู่ บริเวณหน้าบันของทางด้านหลังเป็นรูปสถาปัตยกรรมคล้ายกับซุ้มประตูที่มีส่วนยอดเป็นปรางค์ของเขมร บริเวณปั้นลมก็มีปูนปั้นประดับ ๓. วิหาร อยู่ทางด้านหน้าสุด เป็นวิหารโถง ขนาด ๖ ห้อง ฐานทำเป็นรูปบัวคว่ำ จากการขุดแต่งและบูรณะวิหารพบว่ามีฐานวิหารรูปบัวคว่ำซ้อนอยู่ภายในฐานวิหารที่เราเห็นในปัจจุบันอีกชั้นหนึ่ง แสดงว่าวิหารหลังนี้มีการสร้างซ้อนทับกัน ๒ ครั้ง วัดนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของล้านนาคือลวดลายปูนปั้นบนมณฑป คือลายบัวคอเสื้อ ซึ่งยังสามารถเห็นร่องรอยได้อยู่ ดร.ฌ็อง บัวสเซอลีเย่สันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานของวัดน่าจะสร้างครอบทับปราสาทศิลาแลง ซึ่งกลายเป็นห้องบรรจุพระธาตุไป


เลขทะเบียน : นพ.บ.81/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  42 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 50 (78-93) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8หมื่น) --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



เลขทะเบียน : นพ.บ.139/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  54 หน้า ; 4.5 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 83 (330-333) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ตำราดูฤกษ์ยาม ชบ.ส.๖๘ เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.27/1-3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


องค์ความรู้ทางวิชาการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เรื่อง "โบราณวัตถุบริเวณเหนือเขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์" ประวัติความเป็นมาของโบราณวัตถุ --- ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ กรมชลประทานได้กำหนดจะทำการปิดกั้นกระแสน้ำเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งจะทำให้โบราณสถานจำนวน ๑๘ แห่ง ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวถูกน้ำท่วม กรมศิลปากร โดยหน่วยศิลปากรที่ ๓ จังหวัดสุโขทัย (ในขณะนั้น) จึงได้ดำเนินการเข้าสำรวจและขุดค้น ตั้งแต่ ในเดือนธันวาคม ๒๕๑๓ - กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ เพื่อศึกษาและรวบรวมโบราณวัตถุ --- วัดที่ได้มีการสำรวจและขุดค้นบริเวณเหนือเขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์  จำนวน ๑๘ แห่ง ได้แก่ วัดห้วยเลิศ วัดชัยศรีห้วยต้า (ใต้) วัดห้วยต้าเหนือ วัดปากลี วัดหาดลั้ง วัดท่าแฝก วัดท่าปลา วัดหาดไก่ต้อย วัดตีนดอย วัดนาโห้ง วัดจริม วัดเสกษนาราม (วัดนาต้นลาน) วัดปากกั้ง วัดห้วยอ้อย วัดน้ำปิง วัดหาดสองแคว วัดหาดหล้าใต้ และวัดหาดหล้าเหนือ --- ในอดีตเมืองท่าปลาขึ้นอยู่กับเมืองน่าน ในสมัยที่เมืองน่านยังมีเจ้าเมืองเป็นผู้ครองนครน่าน โดยรวมแขวงศีรษะเกษกับแขวงท่าปลาเข้าด้วยกันเป็นเขตน่าน ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๖๖ จึงแยกมาขึ้นกับจังหวัดอุตรดิตถ์ --- อำเภอท่าปลา หรือ เมืองท่าปลา สันนิษฐานว่าคำว่า “ท่าปลา” คงมาจากคำว่า “ทัพป่า” หมายความว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งทัพในการออกศึกสงครามหรืออาจหมายถึง ท่าน้ำแถบนี้ท้องน้ำเต็มไปด้วยหินที่ใสเหมือนดวงตาหรือแก้วตาปลา ซึ่งถือกันว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ คำว่า ท่าปลา จึงอาจเพี้ยนมาจากคำว่า “ตาปลา” ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านและเมืองท่าปลาในอดีต --- พ.ศ. ๒๓๒๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแต่งตั้งเจ้าหนานนันทปโชติ ขึ้นเป็น เจ้ามงคลวรยศให้มาครองเมืองน่าน ในขณะนั้นเมืองน่าน รกร้างว่างเปล่าเนื่องจากถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลากว่า ๒๓ ปี จากการถูกกองทัพพม่าจากเมืองเชียงแสนกวาดต้อนผู้คน  เจ้ามงคลวรยศ (พ.ศ. ๒๓๒๖ - ๒๓๒๙) จึงได้รั้งเมืองอยู่ที่เมืองท่าปลา (อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์) --- พ.ศ. ๒๓๕๑ สมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ (หลานเจ้ามงคลวรยศ) เจ้าเมืองน่าน เสด็จลงไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในท้องที่อำเภอท่าปลา คือ เมื่อท่านเสด็จมาถึงบ้านท่าแฝก (หมู่ที่ ๖, ๗ ตำบลท่าแฝก) ท่านทราบข่าวว่ามีสามเณร ๒ รูป ได้แก่ สามเณรอริยะ กับสามเณรปัญญา ได้พบไหจีนบรรจุพระเกศาธาตุและของมีค่าหลายรายการ ท่านจึงนำพระเกศาธาตุและของมีค่าเหล่านี้ไปถวายรัชกาล ที่ ๑ ทำให้เจ้าเมืองน่านได้รับความดีความชอบเป็นอย่างมาก โบราณวัตถุที่สำรวจและขุดพบบริเวณวัดที่อยู่เหนือเขื่อนสิริกิติ์ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ เครื่องประดับ และเงินตรา ซึ่งถูกบรรจุไว้ในองค์เจดีย์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปบุเงิน พระพุทธรูปสำริด และพระพุทธรูปไม้อีกจำนวนหนึ่ง ด้วยความสัมพันธ์ในอดีตดังกล่าวมาแล้วข้างต้นระหว่างเมืองท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ และเมืองน่าน ปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน จึงได้นำโบราณวัตถุบางส่วนที่พบจากการสำรวจและขุดค้นบริเวณเหนือเขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จัดแสดงให้เข้าชม ณ ห้องนิทรรศการชั่วคราวสมัยประวัติศาสตร์ ชั้นล่างของอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เอกสารอ้างอิง --- คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาของจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ : คุรุสภา, ๒๕๔๔. --- หน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย. รายงานการสำรวจและขุดค้นโบราณวัตถุสถานเหนือเขื่อนสิริกิติ์. ๒๕๑๔.





วัดโตนดหลาย โบราณสถานที่ปรากฎเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ในย่านภาคกลาง วัดโตนดหลาย ตั้งอยู่ที่ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท แผนผังของวัดนั้นวางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก - ตะวันตก ซึ่งวิหารของวัดโตนดหลาย หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในกำแพงแก้วของวัดโตนดหลาย ปรากฎศาสนสถานอันประกอบไปด้วย เจดีย์ประธาน วิหาร เจดีย์ราย และมณฑป โบราณสถานแห่งนี้มีความเฉพาะพิเศษ คือ มีเจดีย์อันเป็นประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรืออีกชื่อคือทรงดอกบัวตูม ซึ่งเป็นรูปแบบเจดีย์ในศิลปะสุโขทัย แม้จะมีรายละเอียดของรูปแบบงานศิลปกรรมที่ต่างไปจากเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ที่พบภายในอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยอยู่บ้าง แต่ก็ยังแสดงถึงแรงบันดาลใจทางศิลปะที่ถ่ายทอดถึงกันอย่างชัดเจน ส่วนยอดเดิมของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์วัดโตนดหลายนั้นหักหายไป ต่อมาจึงมีการบูรณะต่อเติมตามหลักการอนุรักษ์เพื่อให้เจดีย์วัดโตนดหลายมีรูปแบบที่สมบูรณ์ให้มากที่สุด จากการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดี ณ วัดโตนดหลาย แห่งนี้ ได้พบโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานบอกเล่าถึงการใช้พื้นที่บริเวณโบราณสถานแห่งนี้ในอดีต ซึ่งพบหลักฐานว่ามีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ ทวารวดี เพราะได้พบโบราณวัตถุประเภทหม้อก้นกลม ปากผายออก เนื้อดินผสมกรวด ทราย แกลบข้าว ผิวภาชนะมีสีเหลืองนวล ขึ้นรูปภาชนะด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะที่ได้จากการเผากลางแจ้ง และยังพบภาชนะดินเผาแบบหม้อมีสันก้นตื้น ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ลายเส้นขนาน และลายขูดขีด โดยภาชนะรูปแบบนี้ เป็นที่นิยมในกลุ่มสังคมวัฒนธรรมทวารวดี เช่น ที่บ้านคู่เมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี บ้านท่าแค อ.เมือง จ.ลพบุรี บ้านจันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ นอกจากนี้ในการขุดแต่งยังพบหม้อมีพวย ที่มีลักษณะคล้ายกับหม้อมีพวยที่พบในชุมชนและเมืองโบราณสมัยทวารวดีทั่วไปเช่นกัน ในส่วนชั้นดินด้านบนที่อยู่เหนือชั้นดินในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งเป็นชั้นดินที่ร่วมสมัยกับเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ได้พบเศษภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาบ้านบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี กับเศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียวจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย และเครื่องถ้วยเวียดนาม ที่กำหนดอายุได้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จึงสันนิษฐานอายุของวัดโตนดหลายนี้ไว้ได้ว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และยังแสดงถึงแรงบันดาลใจในการก่อสร้างที่มาจากทางสุโขทัย อีกด้วย กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานแห่งนี้ ๒ ครั้ง โดยครั้งแรก ได้ขุดแต่งบูรณะในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ถัดมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงมีการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดีอีกครั้งหนึ่ง


หนังสือ คำไหว้พระธาตุ นครศรีธรรมราช           อะหัง วันทามิ   ทุรโต           อะหัง วันทามิ   ธาตุโย           อะหัง วันทามิ   สัพพะโส    อิติปิ โส วิเสเส อิ           อิเสเสพุทธนาเมอิ   อิ เม นาพุทธตังโสอิ       อิโส ตัง พุทธ ปิ ติ อิ   อิติ ปารมิตาติงสา           อิติ สัพพัญญู มาคตา   อิติ โพธิ มนุปปัตโต        อิติ ปิ โส จเต นโม  พุทธาติจโจ มหาเตโช     ธัมมจันโท รสาหโร  สังฆตารคโณ เสฏโฐ       อัมเห รักขันตุ สัพพทา ฯ  สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง      สิทธิการิย ตถาคโต  สิทธิเตโช ชโย นิจจัง      สิทธิลาโภ นิรันตรัง  สัพพกัมมัง ปสิทธิ เม      สัพพสิทธิ ภวันตุ เม           บทบูชาพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช  ในหนังสือ “คำไหว้พระธาตุ นครศรีธรรมราช” ของหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช  ซึ่งปริวรรตมาเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน จากเอกสารโบราณคัมภีร์ใบลาน สมบัติของพิพิธภัณฑ์วัดพัทธสีมา ตำบลท่าซอม อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช  ซึ่งบรรพชนได้จารไว้ด้วยอักษรขอมไทย ภาษาบาลี-ไทย            นอกจากนี้  ภายในหนังสือ คำไหว้พระธาตุนครศรีธรรมราช ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจและทรงคุณค่าอีกมากมาย ได้แก่ คำนอบน้อมพระพุทธเจ้า  บทไหว้พระพุทธเจ้า ๒๘  พระองค์ คำนอบน้อมต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าประจำทิศทั้งสิบ  พระอริยสาวก บทบูชาพระสาวก  ๘๐ รูป  พระพุทธเจ้าในอนาคต และบทไหว้พระธาตุ (พระบรมสารีริกธาตุ) เป็นต้น          หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช ภาคภูมิใจที่ได้นำมรดก ทรัพย์สินทางปัญญาของบรรพชนมายืดอายุ สร้างสรรค์ ต่อยอด เพิ่มคุณค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่อนุชน  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้ จะได้มีส่วนช่วยปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและของประเทศชาติโดยเฉพาะเอกสารโบราณที่บรรพชนได้สร้างสรรค์ไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา รวบรวมโดย.   นายสมยศ  พูนพนัง  นายช่างศิลป์ชำนาญงาน   หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช อ้างอิง.    หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช.  คำไหว้พระธาตุนครศรีธรรมราช.  นครศรีธรรมราช ; หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช, 2555.


black ribbon.