ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ

ชื่อผู้แต่ง         -         ชื่อเรื่อง           เสด็จพระราชดำเนินทรงยกช่อฟ้าอุโบสถวัดสุนทรธรรมทาน พ.ศ. ๒๕๑๘ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์ไทยเขษม ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๘ จำนวนหน้า      ๑๑๙ หน้า หมายเหตุ        พิมพ์ในพิธียกช่อฟ้าอุโบสถวัดสุนทรธรรมทาน รายละเอียด                เนื้อหาสาระประกอบด้วยงานสร้างอุโบสถวัดสุนทรธรรมทานหรือวัดแค นางเลิ้ง ประวัติวัดสุนทรธรรมทาน คำกลอนบังคมทูลถวายรายงาน รูปบานประตู  บานหน้าต่างอุโบสถเป็นศิลปแกะสลัก  ลวดลาย  เรื่องราวทางพระพุทธศาสนา พระเครื่องพิมพ์ต่างๆของวัดสุนทรธรรมทาน การจับด้ายสายสิญจน์ เรื่องลมและน้ำกับการสร้างที่อยู่อาศัย เพลงเรือประวัติวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค) ประพันธ์โดยนายอาคม สายอาคม


เลขทะเบียน : นพ.บ.505/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 51 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 169  (224-232) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม





         แบบศิลปะ / สมัย พุทธศตวรรษที่ ๒๕            วัสดุ (ชนิด) ดิ้นเงิน ดิ้นทอง          ขนาด ยาว ๑๑๒ เซนติเมตร          ประวัติความเป็นมา เป็นเสื้อของเจ้าแก้วนวรัฐ มอบให้เจ้าเจ้าหญิงบัวทิพย์ ณ เชียงใหม่ และมอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่          ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ           เสื้อครุยของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๙ (พ.ศ.๒๔๕๔ – ๒๔๘๒)  เสื้อครุยเป็นเครื่องประกอบยศของพระมหากษัตริย์และข้าราชการ แต่จะเริ่มใช้เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน เสื้อครุยทองนี้ถือว่าเป็นของสำคัญเพราะสร้างจาก “ผ้ากรองทอง” แล้วปักดิ้นทองเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง พร้อมสำรดข้างตัวเสื้อ เป็นรูปแบบของเสื้อครุยพระราชวงศ์ลำดับหม่อมเจ้าขึ้นไป  


          กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนาวิชาการ เรื่อง "รู้รากราชบุรี" ในวันพุธที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.  ณ ห้องประชุมชั้น ๕ อาคารกรมศิลปากร (เทเวศร์) เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี เป็นพิพิธภัณฑสถานทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และชาติพันธุ์วิทยาของจังหวัดราชบุรี เพื่อต้องการให้เป็นศูนย์การศึกษา อนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจทางด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติที่จะสนองความต้องการของประชาชนและชุมชนในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และจังหวัดใกล้เคียงตามแนวทางการพัฒนากิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมัยใหม่ โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๒            ในปี ๒๕๖๖ นี้ กรมศิลปากรได้ดำเนินการโครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี เพื่อเป็นการยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้แก่โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ปรับปรุงการจัดแสดงให้มีความทันสมัย ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในพิพิธภัณฑ์ รวมถึงการปรับปรุงข้อมูลทางวิชาการให้ทันสมัย และเป็นเอกภาพ จึงเห็นควรให้มีการรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดทำบทจัดแสดงและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ ชาติพันธุ์วิทยาของเมืองราชบุรี จึงกำหนดให้มีการจัดการสัมมนาทางวิชาการขึ้นโดยเชิญนักวิชาการ และผู้ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเมืองราชบุรีนำไปสู่ชุดความรู้ที่มีความชัดเจนและเป็นปัจจุบัน            การสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากอธิบดีกรมศิลปากร และคณาจารย์ผู้ศึกษาวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปกรรม ชาติพันธุ์วิทยาของราชบุรี ร่วมบรรยายในหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้            - เวลา ๐๙.๑๕ น. ปาฐกถา เรื่อง แนวทางการปรับปรุงการจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี โดย อธิบดีกรมศิลปากร นายพนมบุตร จันทรโชติ            - เวลา ๑๐.๑๕ น. การบรรยาย เรื่อง “ก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดราชบุรี: การทบทวนและข้อสังเกต” โดย อ.ดร.ภีร์ เวณุนันทน์ ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร            - เวลา ๑๑.๑๕ น. การบรรยายเรื่อง “เมืองคูบัวกับความสำคัญต่อการศึกษาโบราณคดีสมัยทวารวดี” โดย รศ.ดร.สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร            - เวลา ๑๓.๐๐ น. การบรรยายเรื่อง “ประวัติศาสตร์ราชบุรีจากหัวเมืองตะวันตกสู่มณฑลราชบุรี” โดย ผศ.นุชนภางค์ ชุมดี ภาควิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร            - เวลา ๑๔.๐๐ น. การบรรยายเรื่อง “Re-Learning Ratchaburi เรียนรู้ราชบุรีผ่านวัฒนธรรมและชาติพันธุ์” โดย อ.ศศิธร ศิลป์วุฒยา ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร            - เวลา ๑๕.๐๐ น. การบรรยายเรื่อง “ประวัติศาสตร์ราชบุรีจากพุทธสถาน” โดย รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร           ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนผ่าน inbox facebook : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี www.facebook.com/ratchaburi.national.museum (ภายในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๖) หรือติดตามรับชมการถ่ายทอดสด ผ่านช่องทางออนไลน์ : facebook live เพจ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และเพจ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ร่วมกับวิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์และโครงการเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี ๒๕๖๖ รับฟังการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “ย้อนรอยประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านจิตรกรรมจากพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์” ในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ ชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง“ย้อนรำลึกจิตรกรรมดอนเจดีย์ สุพรรณบุรีแดนประวัติศาสตร์”  และนิทรรศการศิลปกรรมเทิดพระเกียรติ “ภูมิใจภักดิ์ บริรักษ์ภูมินทร์” จัดแสดงระหว่างวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ วิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี          กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการพระราชทานพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชน ตลอดจนเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้ประชาชนได้รับทราบและตระหนักถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและรุ่งเรืองของชาติไทย โดยจะมีพิธีเปิดโครงการในวันที่ ๒๕  สิงหาคม ๒๕๖๖  ณ อาคารหอศิลป์ วิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี                     ผู้สนใจสามารถแจ้งชื่อร่วมกิจกรรมได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/1rZL5n7oICgAAWb8I3Lw022gnsqyKGgeijV6UtVbgMnA/viewform?pli=1&fbclid=IwAR0SBiG0FkCkyi1syXte_wfI77UjqS3KFi_hr71TiBuJd5g2MldoyCO8hdo&pli=1&edit_requested=true ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับภาพวาดจิตกรรมเป็นที่ระลึก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐            นอกจากนี้ ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Live พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี Suphanburi National Museum


สารวัตรกำนันจันทบุรี ร.ศ.128 การปกครองท้องที่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ทางมีพระราชดำริให้มีการฟื้นฟูการปกครองระดับหมู่บ้านที่มีมาแต่เดิมขึ้นใหม่ ทรงทดลองจัดระเบียบการปกครองตำบลและหมู่บ้านขึ้นที่ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ ร.ศ.111 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ขึ้นใช้บังคับแทนและใช้มาถึงปัจจุบัน การบริหารราชการตำบล มีพนักงานปกครองตำบลคือ 1.กำนัน 2.แพทย์ประจำตำบล และ3.สารวัตรกำนัน สารวัตรกำนันในตำบลหนึ่งๆ ให้มีสารวัตรกำนันจำนวน 2 คน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและรับใช้สอยของกำนัน ผู้ที่จะเป็นสารวัตรกำนันนั้นแล้วแต่กำนันจะร้องขอให้เป็น แต่ต้องได้รับความเห็นชอบของผู้ว่าราชการจังหวัด ใน ร.ศ.128 พระยาราชฤทธานนท์ ปลัดมณฑลจันทบุรี ได้แจ้งไปยังอำเภอต่างๆในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเดิมมี 5 อำเภอ คือ เมือง พลอยแหวน พลิ้ว ขลุง และท่าหลวง ให้สำรวจและรายงานรายชื่อสารวัตรกำนันที่รับราชการอยู่ในปัจจุบันนั้น เพื่อลงทะเบียนกับมณฑลให้ถูกต้องตามจริง โดยมีรายชื่อสารวัตรกำนัน ในสมัยนั้นตามบัญชีรายชื่อในเอกสารจดหมายเหตุ รหัส (13)มท 2.1/12 หากท่านใดสนใจสืบค้นเรื่องราวดังกล่าวยังมีเอกสารอีกหลายปึกที่กล่าวถึงเรื่องการปกครองท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ซึ่งสามารถสืบค้นโดยตรงได้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี หรือสืบค้นออนไลน์ ที่ https://archives.nat.go.th หรือ Application: NAT Archives (สำหรับ IOS และ android) ผู้เขียน นายอดิศร สุพรธรรม(นักจดหมายเหตุชำนาญการ) เอกสารอ้างอิง หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท 2.1/12 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี เรื่องให้อำเภอส่งรายชื่อสารวัตรกำนัน (12 มิ.ย. – 15 ก.ย. ร.ศ.128)


        กระปุก         เลขทะเบียน         ๗๘ / ๒๕๔๑         แบบศิลปะ / สมัย ศิลปะจีน และล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑          วัสดุ (ชนิด)         เครื่องปั้นดินเผาเขียนลายสี พร้อมฝาโลหะ         ขนาด         กว้าง ๑๕ เซนติเมตร สูงพร้อมฝา ๑๒ เซนติเมตร         ประวัติความเป็นมา ได้จากการวัดเจดีย์สูง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่         ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ          เครื่องกระเบื้องลายคราม ทำเป็นไหสีขาวทรงกลม สีขาวขุ่นเป็นสีพื้น เขียนลายครามพันธุ์พฤกษาเกี่ยวพันกัน มีช่อดอกโบตั๋น มีความหมายถึงความร่ำรวยและเกียรติยศ  สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องกระเบื้องที่สร้างขึ้นในแหล่งเตาเจิ้งเต๋อเจิ้น มณฑลเกียงซี ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนในปัจจุบัน โดยผลิตขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑  



           เนื่องในโอกาสที่องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศให้เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๖              กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “ศรีเทพกับมรดกโลก” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๖ – ๑๔ มกราคม ๒๕๖๗ เพื่อเผยแพร่เรื่องราว คุณค่า และความสำคัญของเมืองโบราณศรีเทพ ให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองการประกาศขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลกในครั้งนี้             นิทรรศการนี้เป็นนิทรรศการขนาดเล็กที่มีเนื้อหาเข้าใจง่าย จัดแสดงเรื่องราวของเมืองศรีเทพ ประกอบด้วยเรื่อง ศรีเทพ: มรดกโลกแห่งใหม่ของประเทศไทย, คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลของเมืองโบราณศรีเทพ, แผนที่ประเทศไทย แสดงจังหวัดเพชรบูรณ์, แผนที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ, ลำดับกาลของเมืองโบราณศรีเทพ, เมืองโบราณศรีเทพ, โบราณสถานเขาคลังนอก, โบราณสถานถ้ำเขาถมอรัตน์ โดยมีเนื้อหาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมนำโบราณวัตถุชิ้นสำคัญจากเมืองศรีเทพมาจัดแสดงให้ชมด้วย ได้แก่ พระสุริยเทพ พระกฤษณะ พระวิษณุ ๔ กร ซึ่งเป็นโบราณวัตถุที่พบที่เมืองศรีเทพ และเศียรพระพุทธรูป เศียรพระโพธิสัตว์ และชิ้นส่วนพระหัตถ์ ซึ่งเดิมได้จำหลักที่ผนังถ้ำเขาถมอรัตน์ ตำบลโคกสะอาด อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ โบราณวัตถุเหล่านี้ได้เก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี            ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ เรื่อง “ศรีเทพกับมรดกโลก” ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดทำการวันพุธ  วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร)


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก ขอเชิญรับชม museum talk Live ในโอกาสพิเศษ "วันฮัลโลวีน พิพิธภัณฑ์ชวนมานั่งคุยเรื่องผีๆ"  ในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 เวลา 13.31 น. สามารถรับชมได้ผ่านทาง Facebook Page : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก โดยมีวิทยากรจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก และยังได้รับเกียรติจากวิทยากรรับเชิญ คุณนิชนันท์ กลางวิชัย พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรฯ  ที่ใกล้ชิดกับงานด้านชาติพันธุ์ และมีเรื่องเล่าสนุกๆ เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีๆ ของคนใกล้ตัวมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ฟังกันอีกด้วย            พิเศษ!!! กิจกรรมนี้จะมีแจกเครื่องรางของขลังด้วยนะ โปรดติดตามชมการถ่ายทอด Facebook Liveได้ทาง https://www.facebook.com/KanchanaphisekNationalMuseum


องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “ชอง : ชาติพันธุ์จันทบุรี” ชอง หรือคนชอง (ช์อง) แปลว่า “คน” เป็นชื่อของกลุ่มชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศไทย บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ชาวชองอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีปรากฏหลักฐานซึ่งได้กล่าวถึงคนชองไว้ในนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ แต่งเมื่อ พ.ศ. 2350 และจดหมายเหตุของรัชกาลที่ 5 ครั้งเสด็จประพาสจันทบุรี นอกจากนี้ยังมีปรากฏในเอกสารของชาวต่างชาติ ได้แก่ ปาลเลอกัวซ์ (Pallegoix, 1853) ใช้ว่า Xong และครอฟอร์ด (Crawford, 1856) ใช้ว่า Chong และพจนานุกรมภาษาสยามของหมอบรัดเลย์ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2416 ยังให้นิยามของคำว่า ชอง เอาไว้ด้วย ทั้งหมดนี้น่าจะมีที่มาจาก “ชอง” เดียวกันทั้งสิ้น ชาวชอง เป็นกลุ่มชนที่จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตร - เอเชียติค (Austro - Asiatic) กลุ่มย่อยตระกูลมอญ - เขมร (Mon - Khamer) มีลักษณะรูปร่างสันทัด ผิวค่อนข้างดำ เส้นผมหยิก ขอด รูปหน้าค่อนข้างเหลี่ยม คางและขากรรไกรค่อนข้างกว้าง จมูกไม่โด่งแต่ก็ไม่แบนราบ ริมฝีปากและสันคิ้วค่อนข้างหนา มีตาโต โดยทั่วไปมีนิสัยโอบอ้อมอารี ใจดี รักสงบ ซื่อสัตย์ และรักพวกพ้อง วิถีชีวิตแต่เดิมมีความเป็นอยู่อย่างลักษณะ คนป่า ยังชีพด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์ มีการทำนาปลูกข้าวเพียงเพื่อการดำรงชีพเท่านั้น ชาวชองจะเลือกตั้งถิ่นฐานเพื่อสร้างหมู่บ้านอยู่อาศัยบริเวณป่าเขา การปลูกสร้างบ้านเรือนใช้สถาปัตยกรรมแบบเรือนเครื่องปลูก มีระบบครอบครัว ค่านิยม ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เช่น ประเพณีและพิธีกรรมการนับถือผีบรรพบุรุษที่เรียกว่าการเล่น “ผีหิ้ง และผีโรง” ประเพณีการแต่งงาน การปกครอง การจัดระบบระเบียบของสังคม ตลอดจนกฎเกณฑ์การควบคุมความประพฤติของชนในกลุ่ม มีภาษาพูดเป็นของตนเอง แต่ไม่มีตัวอักษรหรือภาษาเขียน ดังนั้นชาวชองจึงไม่ได้บันทึกประวัติศาสตร์และความเป็นมาของตนเองไว้เลย ได้แต่ใช้วิธีการบอกเล่าและปฏิบัติสืบต่อกันมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อชาวชองได้เป็นคนไทยตามพระราชบัญญัติของทางราชการ จึงหันมาพูดภาษาไทย และนับถือพุทธศาสนาตามแบบอย่างคนไทย วิถีชีวิตของชาวชองเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทสังคมและสภาพแวดล้อมปัจจุบัน มีการปรับตัวและรับเอาวัฒนธรรม รวมถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิต เช่น เครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เครื่องมือการประกอบอาชีพ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องมือการสื่อสาร ตลอดจนการจัดระเบียบการปกครองตามรูปแบบของทางราชการ และการพัฒนาหมู่บ้านตามระบบสังคมอุตสาหกรรม ล้วนส่งผลกระทบให้วิถีชีวิตและสังคมของชาวชองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ชาวชองอาศัยอยู่กันมากในแถบตอนเหนือของจังหวัดจันทบุรี บริเวณอำเภอเขาคิชฌกูฏ และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ปัจจุบันการใช้ภาษาชอง ตลอดจนวัฒนธรรมของชาวชองอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญหายเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียภูมิปัญญาท้องถิ่นและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตามชาวชองได้มีความพยายามฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของตนเองตั้งแต่ พ.ศ. 2545 โดยได้มีการสร้างระบบตัวเขียนภาษาชองด้วยตัวอักษรไทย และการสร้างวรรณกรรมหนังสืออ่านภาษาชองระดับต่าง ๆ มีการสอนภาษาชองเป็นหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน และมีการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เพื่อฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมชองสำหรับเป็นแหล่งข้อมูล ทั้งนี้ภาครัฐและเอกชนได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูและเผยแพร่วัฒนธรรมชองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนี้คงอยู่ได้สืบต่อไป


           สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ขอเชิญร่วมงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “กรมศิลปากรขอส่งมอบสระมะโนราคืนให้ชาวลพบุรี”  ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ วันพุธที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๗.๑๕ น. โดยมีวิทยากรได้แก่             - คุณพนมบุตร จันทรโชติ - อธิบดีกรมศิลปากร วิทยากร            - คุณจำเริญ สละชีพ - นายกเทศมนตรีเมืองลพบุรี วิทยากร            - ดร.พรธรรม ธรรมวิมล - ภูมิสถาปนิกชำนาญการพิเศษ สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร วิทยากร            - ผศ.สุรพงษ์ ปนาทกูล - รองประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดลพบุรี วิทยากร            - คุณนงคราญ สุขสม ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี วิทยากร/ผู้ดำเนินรายการ  และเวลา ๑๙.๐๐ น. ชมการแสดงโขน โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ตอน "อสุรผัดตามพ่อ"   ฟรี !!!! รับชมวิดีโอคุณภาพสูงได้ที่  https://youtu.be/wjLgvgnd-2k?si=dpZ93YWP7VSwmwLw


  "กล่าวถึงเมืองศรีสะเกษ" เมื่อถึงเวลาพระ "โพธิสัตว์" จะลงมาจุติเพื่อบำเพ็ญเพียรบารมี ตามธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของพระอินทร์ ที่จะคอยช่วยเหลือจัดการให้บรรลุจุดประสงค์ตามเป้าหมาย โดยพระอินทร์แปลงร่างเป็นพญาช้างเผือกลงมาเหยียบย้ำข้าวในที่นาของหญิงหม้าย นางผู้ที่มีฝีมือในการทอผ้าและสอนวิชาการทอผ้าให้กับหญิงชาวเมืองจนเป็นที่รักใคร ช้างเผือกอินทร์แปลงได้เหยียบย้ำข้าวในที่นาของนางให้เสียหาย และทิ้งรอยเท้ามีน้ำขังไว้ ๑ รอย นางมาเห็นความเสียหายของต้นข้าวในนา นางเสียใจมาก และนางเดินหาสาเหตุที่ทำให้ข้าวในนาเสียหายจนเกิดความเหนื่อยหล้าและกระหายน้ำ นางจึงกินน้ำในแอ่งรอยเท้าพญาช้างเผือกนั้น ต่อมานางตั้งครรภ์ และได้คลอดกุมารน้อย นามว่า "คัทธนกุมาร" พร้อมดาบวิเศษศรีกัญไชยเป็นอาวุธคู่กาย กุมารน้อยเติบโตขึ้นมาด้วยความรักแสนอบอุ่นจากมารดา แต่ว่าเวลาเล่นกับเพื่อนๆมักจะโดนหยอกล้อว่าตนเป็นลูกช้าง พออายุได้ ๗ ปี คัทธนกุมารจึงอยากที่จะเจอพ่อของตน นางจึงพาคัทธนกุมารไปดูรอยเท้าของบิดาจึงรู้บิดาของตนเป็นพญาช้างจึงคิดว่าสักวันถึงเวลาอันควรจะต้องออกติดตามหาบิดาผู้ให้กำเนิดให้เจอจนได้ วันหนึ่งสองแม่ลูกออกหาขุดเผือกขุดมันในป่า มีนางยักษ์ตนหนึ่งเห็นกองไฟที่ทั้งสองจุดไว้ นางยักษ์จึงหมายจะเข้าไปจับมารดาของคัทธนกุมารกิน ขณะนั้นเองกุมารก็กระโดดขึ้นจากหลุมมัน ขึ้นมาช่วยมารดาตน ด้วยบุญญาธิการพร้อมพละกำลังดังพญาช้างสารจึงสามารถปราบนางยักษ์ได้ และหมายจะฆ่านางยักษ์เสีย นางร้องขอชีวิตจากกุมาร และได้มอบคนโฑทิพย์(น้ำในคนโททิพย์ช่วยให้ร่างกายกลายเป็นสาวเป็นหนุม) พร้อมกับนางยักษ์ได้ชี้บอกขุมทองคำให้แก่กุมาร กุมารจึงขุดทองคำและนำไปแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ครั้นพออายุได้ ๑๖ ปี ข่าวนี้เลื่องลือถึงบุญญาธิการและพลังมหาศาลของคัทธนกุมาร เจ้าเมืองศรีสะเกษ พระองค์จึงให้ทหารไปเชิญคัทธนะมาแสดงบุญญาธิการและพลังกำลังให้พระองค์ทอดพระเนตร...คัทธนะได้แสดงพละกำลังด้วยการถอนต้นตาล ๒ ต้น และเหาะขึ้นไปในอากาศพร้อมทั้งร่ายรำลีลาสวยงาม เจ้าเมืองเห็นแล้วจึงเกิดความชอบรักใคร่เอ็นดูและได้พระราชทานตำแหน่งให้เป็น"อุปราชแสนเมือง" จากนั้นคัทธนกุมารจึงรับเอามารดามาอยู่ด้วย และใช้น้ำจากคนโฑทิพย์เนรมิตมารดาให้เป็นสาวสวย ถวายเป็นพระชายาเจ้าเมืองศรีสะเกษ...จากนั้นอีก ๓ ปี คัทธนะจึงขอมารดาและเจ้าเมืองศรีสะเกษออกเดินทางตามหาพระบิดาผู้ให้กำเนิดพร้อมอาวุธคู่กายและคนโฑทิพย์ ตามเรื่องราว"คัทธนกุมารชาดก" (ภาพเล่าเรื่องจิตรกรรมฝาผนังมุขทิศเหนือด้านทิศตะวันตก วัดภูมินทร์ อำเมือง จังหวัดน่าน) เรียบเรียง : นางสาวกรอุมา นุตะศรินทร์ นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการพิเศษรับชมวีดีโอ : กำเนิด "คัทธนกุมาร"เครดิต : กลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี กรมศิลปากร


black ribbon.