ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ

ชื่อเรื่อง                     มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก)ชาตกฏฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์, สักบรรพ)สพ.บ.                       4/2ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               34 หน้า : กว้าง 4 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                     หิมพานต์ภาษา                       บาลี-ไทยอีสานบทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับมอบมาจากนางสุดา วงษ์พันธุ์


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญชมการแสดงงาน “ศิลปกรรมเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 20” จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม นิทรรศการเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 5 - 30 กรกฎาคม 2568 (ปิดวันจันทร์ - อังคาร) เวลา 09.00 - 16.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยมีพิธีมอบรางวัลการประกวด วันที่ 18 กรกฎาคม 2568  ------------------------------------------------------ The 20th National Youth and Juvenile Art Exhibition By Bunditpattanasilpa Institute of Fine Arts 5- 30 July 2025 | 9.00-16.00 At The National Gallery of Thailand The awards ceremony for the competition will be held on July 18, 2025, at the Auditorium Room, The National Gallery of Thailand.


เลขทะเบียน : นพ.บ.699/ข/11ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 5 x 57 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 221 (243-256) ผูก ข11 (2568)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.773/2กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 239 (424-436) ผูก 2ก (2568)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


         พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรมพิเศษ “ตามรอยพระปิยมหาราช เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี” ร่วมย้อนเวลากลับสู่อดีต เนื่องใน "วันพิพิธภัณฑ์ไทย" กับการเดินทางตามรอยเส้นทางประวัติศาสตร์ ชมสถานที่สำคัญบนพระนครคีรี และเมืองเพชรบุรี พร้อมรับฟังเรื่องราวจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ตลอดเส้นทาง ในวันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ตั้งเเต่เวลา 09.00 – 16.00 น. ท่านใดสนใจเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ สามารถลงทะเบียนได้ที่ : https://docs.google.com/forms หรือตาม QR CODE จำกัดผู้เข้าร่วมเพียง 50 คนเท่านั้น หมดเขตรับสมัครในวันที่ 24 สิงหาคม 2568 กำหนดการร่วมเดินทางย้อนอดีตบนเส้นทางประวัติศาสตร์ รอบเช้า – ตามรอยพระปิยมหาราช เสด็จประพาสพระนครคีรี -พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท -ถ้ำเพิง ถ้ำพัง -วัดพระแก้วน้อย -วัดพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) นำชมโดย นายวสันต์ ญาติพัฒ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มจารีตประเพณี สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร รอบบ่าย – ตามรอยฝรั่ง เล่าความหลังเมืองพริบพรี (เพชรบุรี) นั่งรถรางรอบเมือง พร้อมฟังเรื่องเล่าจากบันทึกและจดหมายเหตุชาวต่างประเทศ -พระราชวังศรเพชรปราสาท (บ้านปืน) -วัดมหาธาตุวรวิหาร -วัดเกาะ นำชมโดย นายเชิดพงษ์ สุทธิวงษ์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลเเละเรียบเรียง สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร             เต็มอิ่มทั้งวันกับเรื่องเล่าประวัติศาสตร์โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมภาพอดีตที่ยังมีชีวิต สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี เลขที่ 97 ถนนคีรีรัถยา ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี 76000 โทร. 0 3240 1006, 0 3242 5600 อีเมล: kaowang_petch@hotmail.com เฟซบุ๊ก: พระนครคีรี กรมศิลปากร / Phra Nakhon Khiri, The Fine Arts Department 


เลขทะเบียน  นม.บ.14/4




       กรมศิลปากร ขอแสดงความยินดีกับนางเสริมกิจ ชัยมงคล และนายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล รองอธิบดีกรมศิลปากร ในโอกาสได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 6 ราย ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง และผู้ตรวจราชการกระทรวง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง และสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงให้มีประสิทธิภาพ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568


        กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจำประเทศไทย ขอเชิญชมนิทรรศการศิลปะเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเม็กซิโกและไทย #BuscandoMéxico #ค้นพบเม็กซิโก โดยศิลปินชาวเม็กซิโก ดิเอโก โรดาร์เต (Diego Rodarte) นำภาพเขียนสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดเล็กจำนวน 32 ภาพและภาพเขียนสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดใหญ่ จำนวน 3 ภาพ มาจัดแสดง          ดิเอโก โรดาร์เต ปลานเตร์ (Diego Rodarte Planter, 1984) ศิลปินชาวเม็กซิโก ผู้สนใจศิลปะหลากหลายแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบายสี ในขณะที่ทั่วโลกกําลังเผชิญกับโรคระบาด เฉกเช่นเดียวกับทุกคนทั่วโลก ดิเอโกมีความจําเป็นต้องอยู่บ้าน และได้ใช้ช่วงเวลานี้คิดหาวิธีที่จะเชื่อมต่อตัวเองกับทิวทัศน์ต่างๆ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ งานศิลปะของเขานั้นชวนให้ตั้งคําถามถึงความจริงของภาพบนโลกอินเทอร์เน็ต ทําให้เกิดข้อสงสัยในความถูกต้องของผลงานที่เขาพบ นอกจากนี้เขายังตั้งคําถามถึงการประพันธ์ของพวกเขา โดยใช้แฮชแท็กเป็นเครื่องมือในการค้นหา ดิเอโกได้ให้ความหมายของสถานที่แต่ละแห่งใหม่ โดยที่ไม่เคยลืมจุดเริ่มต้นของเขา นั่นก็คือ การระบายสี          นิทรรศการ #BuscandoMéxico #ค้นพบเม็กซิโก จัดแสดง ณ อาคารนิทรรศการ 6 ตั้งแต่วันที่ 3 - 26 ธันวาคม 2568 เวลา 9.00 -16.00 น. . (ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร) อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 240 บาท นักเรียน นักศึกษา และผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าชมฟรี โดยจะมีพิธีเปิดนิทรรศการวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เวลา 18.30 น. --------------------------------------- December 3 – 26, 2025 at Building 6,  The National Gallery of Thailand opens from Wednesday – Sunday between 9.00 am. – 4.00 pm. And closed on Monday – Tuesday Ticket fee : 240 baht


ผู้แต่ง : ทวี สว่างปัญญางกูร ปีที่พิมพ์ : 2533 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.       พงศาวดารเมืองเชียงตุง หนังสือเล่มนี้ แปลจากพับกระดาสาเก่าของเมืองเชียงตุง อายุ 146 ปี ซึ่งในหน้าแรกระบุชื่อเต็มว่า พับหนังสือพื้นเมืองและจารีตราชประเพณีเขมรัฐตุงคบุรี เอกสารอักษรไทเขินโบราณเรื่องนี้ ยังไม่เคยมีการปริวรรตแปลและตีพิมพ์ในประเทศไทยเลย ที่มีแพร่หลายตามวัดในรัฐเชียงตุง คือ เรื่องตำนานตุงคฤาษี หรือตำนานเมืองเชียงตุงซึ่งได้ค้นพบในเขตพม่าและนำมาตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2527




เว็ปไซต์อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา: www.finearts.go.th/ayutthayahistoricalpark1. ที่ตั้ง        อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา มีเนื้อที่ 1,810 ไร่ ตั้งอยู่ภายในเกาะเมืองอยุธยา เขตเทศบาลเมือง พระนครศรีอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ไม่สุภาพงจากกรุงเทพฯไปทางทิศเหนือ ตามถนนสายเอเซีย ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร       กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา พื้นที่ 3,000 ไร่    2. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์      ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ.1893 นั้น นักวิชาการเชื่อกันว่า บริเวณดังกล่าวได้มีบ้านเมือง ตั้งอยู่ก่อน แล้วเรียกว่า เมืองอโยธยา หรืออโยธยาศรีรามเทพนคร มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออกนอกเกาะเมืองอยุธยา ปรากฏ หลักฐานโบราณสถาน ที่เป็นวัดสำคัญ เช่น วัดมเหยงค์ และวัดอโยธยา เป็นต้น รวมทั้งจากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ กล่าวถึงการก่อสร้าง พระพุทธรูปที่เรียกว่า พระเจ้าพนัญเชิง พระประธานของวัดพนัญเชิง ที่ระบุว่า สร้างขึ้นก่อนที่ พระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี     ด้วยทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาที่มีลักษณะเป็นเกาะเมืองมีแม่น้ำที่สำคัญ 3 สายไหลผ่าน คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน รวมทั้งเป็นชุมทางคมนาคม และเป็นปราการธรรมชาติในการป้องกันข้าศึก ศัตรู กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นราชธานีใหญ่สามารถกุมอำนาจเหนือเมืองใกล้เคียงเป็นเวลานาน      กรุงศรีอยุธยาเติบโตเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเซีย ในพุทธศตวรรษที่ 20-23 มีชาวต่างชาติ ทั้งจากเอเซีย และยุโรป เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส เดินเรือเข้ามา ค้าขาย ซึ่งส่วนมาก มีสัมพันธ์ทางการทูตด้วย บ้างก็ได้รับพระราชทานที่ดินตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน ตั้งสถานีการค้า และศาสนสถาน หมู่บ้านส่วนใหญ่ ของชาวต่างประเทศจะอยู่นอกตัวเมืองมีเฉพาะชาวจีน แขกฮินดู และมุสลิมเพียงบางกลุ่ม ซึ่งมีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับราชสำนักเท่านั้น ที่ได้รับพระราชานุญาตให้สร้างบ้านเรือนอยู่ภายในเมือง      นอกจากนี้ กรุงศรีอยุธยายังมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านการปกครอง กฎหมายการศาล ระบบสังคม การศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ประณีตศิลป์ ภาษาวรรณกรรม และนาฏดุริยางค์ศิลป์ศิลปะ วิทยาการทุกแขนง ที่คนไทยในอาณาจักรอยุธยาสั่งสมไว้นั้น เป็นอารยธรรมที่ กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ยึดถือเป็นแบบแผน สืบทอดและพัฒนา เป็นอารยธรรมตามยุคสมัย หลายอย่างยังคงใช้สืบต่อมาตราบจนทุกวันนี้ 3. โบราณสถานสำคัญ      ด้วยเกาะเมืองอยุธยา ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ทั้งเกาะเมืองมีพื้นที่ประมาณ 4,800 ไร่ ลักษณะ ของเกาะเมืองเป็นไปตามสภาพของแม่น้ำที่กัดเซาะแผ่นดินมีรูปร่างไม่แน่นอน บางครั้งมีผู้สันนิษฐานว่า มีลักษณะคล้ายน้ำเต้า      แต่เดิมกำแพงเมืองเป็นคันดินและมีเสาไม้ระเนียด ต่อมามีการเปลี่ยนเป็นกำแพงอิฐในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ (พ.ศ. 2091-2111) และถูกทำลายในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 รวมทั้งมีการรื้อถอนกำแพงเมืองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อนำอิฐมาใช้ ในการก่อสร้างที่กรุงเทพฯ และป้องกันไม่ให้มีการใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นที่ซ่องสุมผู้คนอีกต่อไป      กรุงศรีอยุธยาเป็นลักษณะของเมืองน้ำ มีการออกแบบแนวคูคลองที่ทั้งใช้ประโยชน์ในการคมนาคม และเป็นการระบายน้ำในหน้า น้ำหลากด้วย ทำให้ผังเมืองอยุธยามีแม่น้ำลำคลองจำนวนมากเป็นเครือข่ายโยงใยกันทั้งนอกเมืองและในเมืองขนานไปกับแนวคูคลอง คือ ถนนที่เป็นทั้งถนนดินและถนน ปูอิฐ โดยมีสะพานสร้างข้ามคลองทั้งสะพานไม้และสะพานก่ออิฐมากกว่า 30 แห่ง โบราณสถาน เท่าที่สำรวจพบแล้วทั้งภายในเมืองและนอกกำแพงเมืองมีมากกว่า 425 แห่ง แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะโบราณสถานที่สำคัญ และอยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาพื้นที่ 1,810 ไร่ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ใจกลางเกาะเมืองและพื้นที่ด้านทิศเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ ของเกาะเมือง มีโบราณสถานที่สำรวจพบแล้วทั้งสิ้น 95 แห่ง ดังนี้      3.1 พระราชวังโบราณหรือพระราชวังหลวง พระราชวังโบราณ เป็นที่อยู่ของพระมหากษัตริย์และเป็นทั้งศูนย์กลางด้านการเมืองและการปกครองในเวลาเดียวกัน เมื่อแรกสร้าง กรุงศรีอยุธยานั้นพระเจ้าอู่ทอง (พ.ศ. 1893-1912) ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดพระศรีสรรเพชญ์      3.2 วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสมัยอยุธยา เดิมเป็นพระราชวังที่ประทับซึ่งสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างขึ้น ต่อมาในรัชกาลสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1991 โปรดให้ย้ายพระราชวังไปสร้างใหม่ทางด้านริมแม่น้ำลพบุรี และอุทิศพระราชวังให้เป็นวัดสำหรับ ประกอบ พิธีต่าง ๆ      3.3 วัดราชบูรณะ เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดให้สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 1967 ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา พระเชษฐาทั้งสองของพระองค์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ลงเนื่องจากการรบแย่งชิง ราชสมบัติ     3.4 วิหารพระมงคลบพิตร พระมงคลบพิตร เป็นพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น เมื่อ พ.ศ. 2499 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้บูรณะวิหาร พระมงคลบพิตรใหม่ทั้งหมดดังที่ปรากฏในปัจจุบัน นอกจากนี้ ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ยังมีโบราณสถานที่ สำคัญแห่งอื่นอีก เช่น วัดพระราม วัดญาณเสน วัดธรรมิกราช วัดวรโพธิ์ วัดวรเชษฐาราม เป็นต้น     อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าโดดเด่น จนได้รับการขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก จากการประชุม ณ กรุงคาร์เรจ ประเทศตูนิเซีย ในปี พ.ศ.2536 ด้วยหลักเกณฑ์ที่ว่า เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากยิ่ง หรือเป็นพยาน หลักฐานแสดงขนบธรรมเนียมประเพณี หรืออารยธรรมซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ หรืออาจสูญหายไปแล้ว 4. การบริการและการท่องเที่ยว      จากกรุงเทพมหานคร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านประตูน้ำพระอินทร์ แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 309 เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (ถนนแจ้งวัฒนะ) หรือ ทางหลวงหมายเลข 302 (ถนนงามวงศ์วาน) เลี้ยวขาวเข้าทางหลวงหมายเลข 306 (ถนนติวานนท์) ข้ามสะพานนนทบุรี ไปจังหวัด ปทุมธานี จากนั้นใช้เส้นทางปทุมธานี - สามโคก - เสนา ทางหลวงหมายเลข 311 เลี้ยวขวาที่อำเภอ เสนา ทางหลวงหมายเลข 3263 เข้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้เส้นทาง กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี ทางหลวงหมายเลข 306 ถึงทางแยกสะพานปทุมธานี เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 3309 ผ่านศูนย์ศิลปาชีพบางไทร เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทางรถไฟ ใช้ขบวนที่เดินทาง สู่ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเขตอำเภอบางปะอิน อำเภอ พระนครศรีอยุธยา และ อำเภอภาชี ทางเรือ ปัจจุบันการเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยทางน้ำ เป็นที่นิยมของ นักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะได้ ชมทัศนียภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ยังเป็นการย้อนให้เห็นถึงประวัติศาตร์สมัย กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และมีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติโดยทางเรือบนแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ บริษัทเรือนำเที่ยวไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา      - บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด              โทร. 02 222-5330, 02 225-3002-3     - เรือโอเรียนเต็ลควีน                              โทร. 02 236-0400-9     - เรือริเวอร์ซันครุ้ยส์                                โทร. 02 266-9125-6     - เรือฮอไรซันครุ้ยส์                                โทร. 02 236-7777 ต่อ 1204-5     - บริษัท เรือเบญจรงค์ จำกัด                   โทร. 0235 211036 การเที่ยวชม      เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 18.00 น.                         อัตราค่าเข้าชม ผู้มีสัญชาติไทย 10 บาท                         ผู้มีสัญชาติอื่น 40 บาท การท่องเที่ยว    สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา 035 245123-4                         สำนักงาน ททท. 035 246076-7 หรือ 1672โรงแรมที่พัก     อยุธยาแกรนด์โฮเต็ล 035 335483                        กรุงศรีริเวอร์ 035 244333                        อโยธยา 035 252249                        อู่ทองอินน์ 035 242236                        บ้านไทยเกสท์เฮ้าส์ 035 242394 ร้านอาหารแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาหลังวัดจีน ส้มตำบึงพระราม ร้านอาจารย์สุกัญญา ตำรวจท่องเที่ยว 035 242352 หรือ 1155 ตำรวจทางหลวง 035 361059 หรือ 1193 สินค้าพื้นเมือง เครื่องหวาย เครื่องจักสาน มีดอรัญญิก ปลาตะเพียนสาน โรตีสายไหม


  วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 กรมศิลปากรถวายเทียนจำนำพรรษา ณ พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ- ยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสมชาย  ณ นครพนม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโบราณคดี เป็นประธานในพิธีนำถวายเทียน และพระสุวิมลธรรมาภรณ์ พระราชาคณะ วัดมหาธาตุยุว- ราชรังสฤษฎิ์ รับการถวายเทียน                        สำหรับวันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ วันเข้าพรรษานั้น เป็นวันที่ให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการเผยแผ่ศาสนาไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้าน ที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่ จำพรรษารวมกันภายในวัด เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วยการเข้าพรรษา ตามปกติการจำพรรษา เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา                      วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร สร้างในสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่าวัดสลัก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อทรงตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี และทรงสร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับและสร้างพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นที่ประทับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสลัก พร้อมกับการก่อสร้างพระราชวังบวรสถานมงคล จากนั้นทรงเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดสลัก เป็น”วัดนิพพานาราม” เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ใช้วัดนิพพานารามเป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกใน พ.ศ. 2331 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดพระศรีสรรเพชญ” และใน พ.ศ. 2346 พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรมหาวิหาร” ตามชื่อวัดในกรุงศรีอยุธยาที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช  ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร บูรณะวัดมหาธาตุฯ และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดมหาธาตุยุวราช รังสฤษฎิ์”   ที่มา : http://www.manager.co.th/Local           http://th.wikipedia.org/wiki




เมื่อวันที่ ๑๒ - ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ได้อบรมโครงการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาสำหรับข้าราชการในสังกัด ณ ห้องประชุมหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ โดยมีนายสุพจน์ พรหมมาโนช ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๘ เชียงใหม่ เป็นประธานฯ


black ribbon.