ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
ชื่อเรื่อง : พระราชพิธีสิบสองเดือน เล่ม ๓ชื่อผู้แต่ง : จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2506สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภา จำนวนหน้า : 226 หน้า สาระสังเขป : พระราชพิธีสิบสองเดือน เล่ม ๓ มีเนื้อหาเกี่ยวกับพิธีเดือน ๙ จนถึงเดือน ๑๑ ว่าด้วยเหตุที่ทำพิธี เรื่องรูปพระ ประเพณีทำบุญ เทศนา สวดมนต์ เป็นต้น และอีกหลายพิธีในช่วงเดือน ๙ ไปจนถึงเดือน ๑๑
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลาประมาณ ๐๓.๓๐ น. ตามเวลาในประเทศไทย ทับหลังปราสาทหนองหงส์และปราสาทเขาโล้น ถึงท่าอากาศยานอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ รอการเดินทางครั้งสุดท้ายสู่ประเทศไทย
- โบราณสถานวัดตระพังทองหลาง -
.
โบราณสถานวัดตระพังทองหลางหรือโบราณสถานร้าง ต.อ.๑๓ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักหรือประตูเมืองสุโขทัยด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๑ กิโลเมตร และอยู่ทางตอนใต้ของวัดต้นมะขามทางทิศใต้ของถนนจรดวิถีถ่อง ออกไปประมาณ ๓๐๐ เมตร บริเวณใกล้กันนี้มีวัดซึ่งมีพระสงฆ์ปัจจุบันจำพรรษาอยู่ด้วย
.
วัดนี้ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารว่าสร้างขึ้นในสมัยใด เป็นวัดขนาดกลาง แต่มีความสำคัญมากในแง่ของสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ประกอบด้วยโบราณสถานที่สำคัญคือ มณฑปประกอบวิหาร เจดีย์ราย มีคูน้ำล้อมรอบ และอุโบสถ(โบสถ์)อยู่ทางตะวันออก วัดนี้ไม่มีเจดีย์ประธาน แต่ใช้มณฑปทำหน้าที่เสมือนเป็นเจดีย์ประธาน อันเป็นลักษณะเฉพาะแบบหนึ่งของการสร้างวัดที่สุโขทัย
.
มณฑปก่อด้วยอิฐ เป็นอาคารในผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ แต่ปัจจุบันชำรุดมากแล้ว ด้านทิศตะวันออกเป็นซุ้มประตู อีกสามด้านเป็นผนังที่ประดับด้วยปูนปั้น เป็นเรื่องตามพุทธประวัติ สภาพชำรุดแต่จากหลักฐานที่บันทึกเป็นภาพถ่ายเก่าทำให้ทราบเรื่องราวได้ว่า
.
- ผนังด้านเหนือ เป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าทรงทรมานช้างนาฬาคีรี โดยปั้นรูปพระพุทธองค์ประทับยืนเคียงข้างด้วยอัครสาวกคือ พระอานนท์ ที่ปลายพระบาทของพระพุทธเจ้ามีร่องรอยให้ทราบว่าเป็นหัวเข่าช้าง ซึ่งคุกเข่ายอมแพ้พระพุทธเจ้า
.
- ผนังด้านใต้ เป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรคชั้นดาวดึงส์ ภายหลังเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา ปั้นรูปพระพุทธเจ้าในท่าลีลา (เดิน) มีพระอินทร์ พระพรหม และเหล่าทวยเทพตามส่งเสด็จ ได้มีการถอดพิมพ์ภาพปูนปั้นนี้ขณะที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์กว่า จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง สุโขทัย
.
- ผนังด้านตะวันตก เป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าโปรดเทศนาสั่งสอนพวกศากยวงศ์ที่เมืองกบิลพัสดุ์ ขณะทรงสั่งสอนทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เป็นรูปรัศมีเปลวไฟล้อมรอบพระองค์ และมีรูปบรรดาพระญาติแวดล้อมอยู่ภายนอกรูปรัศมีนั้น
.
บรรดาภาพปูนปั้นเหล่านี้แสดงถึงลักษณะศิลปะสุโขทัยที่เจริญสูงสุด หรือที่เรียกว่ายุคทองของศิลปะสุโขทัย ซึ่งอายุอยู่ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐
องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี
เรื่อง เมืองพระรถ
เมืองพระรถตั้งอยู่ในเขตหมู่ 1 ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2478 ลักษณะเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ พื้นที่ภายในตัวเมืองและนอกเมืองพบร่องรอยของแหล่งชุมชน ค้นพบโบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ เนินพระธาตุ และโบราณวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ พระพนัสบดี
ที่มา : โบราณสถานสำคัญในเขตจังหวัดชลบุรี : เอกสารประกอบการอบรมทบทวนอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม (อส.มศ) จังหวัดชลบุรี วันพุธที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๑ ณ วัดตาลล้อม ต.เหมือง อ.เมือง จ.ชลบุรี. (2551). ปราจีนบุรี : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี
ภาพประกอบ : พนัสนิคม เมืองพระรถ.(2533). ชลบุรี : กมลศิลป์การพิมพ์.
#หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #เมืองพระรถ #เนินพระธาตุ #พระพนัสบดี #โบราณสถาน #ชลบุรี
องค์ความรู้มรดกศิลปวัฒนธรรม ตอนที่ ๓ "ขอม คือเขมรหรือไม่ใช่เขมร"
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ศานติ ภักดีคำ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์
และคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับจากการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่สองเมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๐ แล้ว อีกสองปีต่อมา คือในพุทธศักราช ๒๔๕๒ ตรงกับรัตนโกสินทรศก ๑๒๘ ทางราชสำนักสยามได้รับแจ้งจากทางสถานทูตเยอรมัน ณ กรุงเบอร์ลิน ว่าดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการแห่งบรันซวิก มีความคิดจะเดินทางเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กรุงเทพฯ ปรากฏเอกสารกระทรวงการต่างประเทศ ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ดังนี้
“ที่ ๑๓๒/๕๐๒๕ ศาลาว่าการต่างประเทศ
วันที่ ๑๓ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
ทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ
ด้วยได้รับโทรเลขพระยาศรีธรรมสาส์น ฉบับ ๑ ลงวันวานนี้ ว่าดุกโยฮันอัลเบรชต์ รีเยนตเมืองบรันสวิกคิดจะเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเยี่ยมเยียนตอบแทน จึงขอให้พระยาศรีธรรมสาส์นถามเข้ามาว่า จะเข้ามาราวปลายเดือนมกราคมจะเปนที่พอพระราชหฤทัยหรือไม่ ถ้าเปนที่พอพระราชหฤทัยแล้วจะได้ออกจากเมืองเยนัวณวันที่ ๓๐ ธันวาคมมายังเมืองสิงคโปร์แล้วเลยตรงมากรุงเทพฯ ทีเดียว หม่อมฉันได้ถวายสำเนาคำแปลโทรเลขพระยาศรีธรรมสาส์นมาด้วยแล้ว
ขอได้โปรดนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
เทวะวงษวโรประการ”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสตอบกลับมาความว่า
“ที่ ๓๔/๗๗๒ พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันที่ ๑๓ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
ถึงกรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ
ได้รับหนังสือเธอที่ ๑๓๒/๕๐๒๕ ลงวันที่ ๑๓ เดือนนี้ ถึงกรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ส่งสำเนาโทรเลขพระยาศรีธรรมศาส์น ว่าดุกโยฮันอัลเบรชต์ ริเยนต์ เมืองบรันสวิก คิดจะเข้ามากรุงเทพฯ ราวปลายเดือนมกราคมนั้น ได้ทราบแล้ว ให้เธอตอบโทรเลขพระยาศรีธรรมศาส์นว่า จะมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับในปลายเดือนธันวาคมต่อมกราคมนั้น
สยามินทร์”
ต่อมาทางดยุคฯ ได้แจ้งแก่ทางการสยามว่า จะเลื่อนกำหนดการมาในราวปลายเดือนมกราคม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสตอบรับว่า
“ที่ ๓๖/๘๐๔ พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันที่ ๑๗ สิงหาคม รัตนดกสินทรศก ๑๒๘
ถึงกรมหลวงเทวะวงษ์วโประการ
ได้รับหนังสือเธอที่ ๓๒/๕๑๙๒ ลงวันนี้ ส่งสำเนาโทรเลขมีไปมากับพระยาศรีธรรมสาส์น เรื่องดุ๊กโยฮันอัลเบรชต์จะเข้ามากรุงเทพฯ เธอจะโทรเลขตอบไปว่าจะรับตามกำหนดของดุ๊กนั้น ได้ทราบแล้วเห็นจะแก่เขาไม่ได้ เลื่อนตามเวลาฤกษ์ข้างเขาจะดีกว่า ถ้าเขามาปลายเดือนมกราคม น่าจะต้องกันกับเวลาฉลองพระปรางค์วัดอรุณ เมื่อตอนจวนกลับก็ไม่ขัดข้องอันใด
สยามินทร์”
หลังจากนั้น ทางราชสำนักบรันซวิก ได้ตอบกลับผ่านทางสถานราชทูตสยามกรุงเบอร์ลิน มีความว่า
“ที่ ๓๕/๕๑๖ สถานราชทูตสยามกรุงเบอร์ลิน
วันที่ ๒๖ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาศรีธรรมศาสน อรรคราชทูตสยาม ณ กรุงเบอร์ลิน ขอพระราชกราบทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานมีใบบอฉบับที่ ๓๓/๔๘๗ ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ร,ศก ๑๒๘ ทูลเกล้าฯ ถวายสำเนาหนังสือมีไปมากับแฮร์ฟอนแรนต์เซาว์ตำแหน่งมาร์ชัลแห่งเมืองบรานสวิก เรื่องดุ๊กโยฮันอาลเบรสจะเสด็จเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในปลายเดือนมกราคมน่านั้น
ต่อมาฟอนแรนต์เซาว์มีหนังสือตอบมายังข้าพระพุทธเจ้าลงวันที่ ๒๐ เดือนนี้ ความว่าดุ๊กโยฮันอาลเบรส มีพระไทยยินดีเปนอันมากที่จะทรงพระกรุณารับรองดุ๊ก ข้าพระพุทธเจ้าได้คัดสำเนาหนังสือที่อ้างนี้ผนึกมาทูลเกล้าฯ ถวายด้วยแล้ว
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาศรีธรรมศาส์น”
ในระหว่างนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ร่างโปรแกรมการับเสด็จดยุคฯ เอาไว้ ซึ่งในโปรแกรมฉบับร่างนั้น ยังไม่ปราฏว่ามีการเสด็จมายังเมืองเพชรบุรี หากแต่เป็นการเสด็จไปยังหวัเมืองฝ่ายเหนือ ตามทางรถไฟสายเหนือที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนั้น ได้แก่ ปากน้ำโพ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ลับแล ปางต้นผึ้ง เขาพรึง ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นป่าและเทือกเขาสูง และในเวลาต่อมาดุ๊กมีความประสงค์จะเลื่อนกำหนดการเข้ามากรุงเทพฯ ออกไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะให้ดยุคฯ คงมาตามกำหนดเดิมด้วยมีพระราชประสงค์ให้เข้ามาทันงานประจำวัดเบญมบพิตร และทรงได้รับโทรเลขจากดยุคโยอันอัลเบิร์ตมีเข้ามา ทำให้ทรงเหตุที่ดยุคฯ จะเลื่อนกำหนดการออกไปนั้น ดังมีพระราชหัตถเลขาถึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ ดังนี้
“สวนดุสิต วันที่ ๙ พ.ย. รัตนโกสินทรศก
ถึงกรมหลวงเทววงษ
เรื่องโยฮันอัลเบรชขอผัดนั้น ได้ความแล้วเปนการขลึกใหญ่มิใช่เล่น ฉันได้รับโทรเลขค่ำวันนี้เอง ว่าจะแต่งงานกับเจ้าหญิงอลิซาเบทสโตลเบิกในเดือนธันวาคม แล้วจะพากันเข้ามาขอให้รับด้วย... การที่รับฝรั่งกึกกักอยู่นั้น เราใช้ผู้ชายทั้งนั้นพอซักพอซ้อม คราวนี้จะร้อนถึงเลดีทั้งหลายแลคนใช้ เมื่อมันเปนเช่นนี้จะทำยังไร ฉันไม่รู้ที่จะตอบ ได้ส่งโทรเลขมาให้ดูจะตอบว่ากระไร
สยามินทร์”
ในเวลาต่อมา ได้มีโทรเลขจากราชสำนักบรันซวิกผ่านมายังสถานอรรคราชทูตสยาม ณ กรุงเบอร์ลิน ยืนยันว่า ดยุคฯ จะเสด็จเข้ามายังกรุงเทพฯ ตามกำหนดการเดิม ดังปรากฏในสำเนาจดหมายของกรมราชเลขานุการ ความว่า
“ที่ ๑๐๙/๑๐๒๒ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ
ได้รับลายพระหัถที่ ๒๒๘/๗๙๕๐ ลงวันที่ ๑๖ เดือนนี้ ว่าพระยาศรีธรรมศาส์นมีโทรเลขตอบยืนยันเรื่องดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์จะมาถึงกรุงเทพ า วันที่ ๒๗ มกราคมตามกำหนดเดิม ประทานสำเนาโทรเลขที่ทรงมีไปมามาด้วย นั้น ได้นำกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว
สมมตอมรพันธุ์”
ปลายเดือนพฤศจิกายนศกนั้น มีลายพระหัตถ์จากพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชส่งถึงเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ มีใจความว่า
ศาลายุทธนาธิการ
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ร,ศ, ๑๒๘
กราบทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทราบฝ่าพระบาท
โปรแกรมย่อรับดุ๊กโยฮันอัลเบรกตที่ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ใต้ฝ่าพระบาทฉบับก่อนนั้น ครั้นเมื่อดุ๊กโยฮันอัลเบรกตจะมีเจ้าหญิงมาด้วย จึงต้องเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ส่งโปรแกรมใหม่นี้มาถวาย ได้ถวายมากับจดหมายนี้ด้วยแล้ว โปรแกรมนี้เปนส่วนฉบับย่อไม่ใช่บับเลอียด เพื่อจะได้ประทานให้ทูตทราบ
กับมีพระบรมราชโองการให้กราบทูลกำชับเรื่องซึ่งมีการเต้นรำที่กระทรวงการต่างประเทศวันที่ ๓๑ มกราคม ที่จะได้ทรงตระเตรียมนั้นด้วย ตามซึ่งได้เพิ่มขึ้นในโปรแกรมใหม่นี้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
จิรประวัติวรเดช”
“โปรแกรมย่อรับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์” ในลายพระหัตถ์ข้างต้น ได้แสดงข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับรับเสด็จ ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต กล่าวคือ ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่าดยุคฯ จะทรงนำพระชายาองค์ใหม่ที่เพิ่งอภิเษกสมรสมาเยือนสยามด้วย จึงโปรดให้มีการปรับโปรแกรมใหม่ ซึ่งจากลายพระหัตถ์ข้างต้น สันนิษฐานว่าพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช จะทรงเป็นผู้ทำกำหนดการขึ้นใหม่ โดยกำหนดการฉบับใหม่นี้ มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่จัดให้ดยุคฯ เสด็จ จากเดิมที่เสด็จขึ้นไปตามเส้นทางรถไฟสายเหนือที่กำลังสร้างอยู่ในขณะนั้น ให้เสด็จมาประพาสเมืองเพชรบุรีเมืองเดียว เป็นเวลา ๔ วัน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เป็นผู้จัดการรับเสด็จ มีการเตรียมการรับเสด็จในสถานที่ต่างๆ ตามโปรแกรม นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีพระราชวังบางปะอิน กรุงเก่า และพระนครคีรี เมืองเพชรบุรี
ภาพประกอบ
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช) พระราชโอรสพระหนึ่งในรัชกาลที่ ๕ ทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศเดนมาร์ก รับราชการในกระทรวงกลาโหม ในรัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นเสนาบดีและจอมพล เป็นต้นราชสกุล จิรประวัติ
ทรงเป็นผู้มีส่วนในการร่างกำหนดการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ตมาเยือนสยาม ใน ร.ศ. ๑๒๘
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจัดตั้งทวีปัญญาสโมสร ขึ้น ณ พระราชวังสราญรมย์ ซึ่งเป็นสโมสรแรกในราชสำนักเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามัคคี เพิ่มพูนความรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการประพันธ์และการละครอีกด้วย โดยมีสมาชิกเป็นพระราชวงศ์ ข้าราชบริพาร และบุคคลภายนอก ที่ได้รับการรับรองจากกรรมการสภา ซึ่งกรรมการสภาในการดำเนินงานของทวีปัญญาสโมสรชุดแรกนั้น ประกอบด้วย สภานายกและเลขานุการดำรงตำแหน่งโดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ปฏิคมและบรรณารักษ์ดำรงตำแหน่งโดย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครราชสีมา ผู้ช่วยปฏิคมคือ ม.จ.ถูกถวิล ผู้ช่วยบรรณารักษ์คือ ม.จ.พงษ์พิณเทพ เหรัญญิกคือ นายหยวก ผู้ช่วยเลขานุการคือ นายสอาด ที่ปรึกษาคือ พระยาราชวัลภานุสิษฐ กรรมการพิเศษประกอบด้วย ม.จ.วงษ์นิรชร และ ม.จ.อิทธิเทพสรร สำหรับตำแหน่งพนักงานใหญ่แผนกปฏิคมคือ นายชุ่ม ภายหลังมีการเพิ่มตำแหน่งกรรมการอีก ๒ ตำแหน่ง ได้แก่ อุปนายก และสาราณียกร ในส่วนของสมาชิกเข้าใหม่ของทวีปัญญาสโมสรนั้น ต้องเสียเงินค่าสมัคร ๕ บาท และเสียเงิน ค่าบำรุงสโมสรปีละ ๓๖ บาท โดยเก็บทุกครึ่งปี หรือจะเสียค่าบำรุงสโมสรครั้งเดียว ๔๐๐ บาทก็ได้ เมื่อสมาชิกได้ลงนามและเสียค่าบำรุงสโมสรแล้ว จะได้รับโปเจียม คือ เข็มติดอกเสื้อทำด้วยผ้า จากกรรมการ ๑ อัน เพื่อติดมาในวันที่มีการประชุมซึ่งมีทั้งการประชุมสมาชิกทั่วไป และการประชุมใหญ่กับกรรมการสภาตามที่สภานายกเห็นสมควร หากไม่ติดมาจะถูกบันทึกนามไว้ในห้องสมุด ถ้าเกิน ๓ ครั้งจะถูกปรับ ๓๒ อัฐ สำหรับที่ทำการสโมสรนั้น เดิมตั้งอยู่ในพระราชวังสราญรมย์ ภายหลังเริ่มคับแคบจึงได้ย้ายมาตั้งที่ทำการใหม่ ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนกระจก เปิดให้บริการเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ภายในมีห้องสมุดและมีหนังสือพิมพ์ ที่ออกในเมืองไทยและเมืองนอกบางฉบับให้สมาชิกได้อ่าน อีกทั้งยังมีโรงละครขนาด ๑๐๐ ที่นั่ง ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานสราญรมย์ ริมถนนราชินีอีกด้วย ชื่อว่า โรงละครทวีปัญญา นอกจากนี้ภายในทวีปัญญาสโมสรยังมีการเล่นกีฬาในร่ม อาทิ บิลเลียด ปิงปอง หมากรุก และไพ่ฝรั่ง รวมทั้งมีเครื่องกีฬากลางแจ้ง ไว้ให้เล่นด้วย เช่น เทนนิส คริกเก้ต โครเก้ ฮ้อกกี้ ฯลฯ อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริงในโอกาส ต่าง ๆ ที่สำคัญยังใช้เป็นสถานที่ออกหนังสือพิมพ์รายเดือน ซึ่งทรงพระราชทานชื่อว่า ทวีปัญญา ภายหลังด้วยพระราชภาระที่มากขึ้นของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจการของทวีปัญญาสโมสรจึงสิ้นสุดลงโดยปริยายในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ สำหรับเรือนกระจกซึ่งเคยเป็นที่ทำการของทวีปัญญาสโมสรได้ถูกปรับเปลี่ยนใช้สอยเปลี่ยนมือเรื่อยมาและยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในพระราชอุทยานสราญรมย์เช่นเดิมจนถึงปัจจุบัน-------------------------------------------------------------------------เรียบเรียง : นางสาวรวิวรรณ พุฒซ้อน บรรณารักษ์ชำนาญการ กลุ่มบริการทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ -------------------------------------------------------------------------บรรณานุกรม วรชาติ มีชูบท. จดหมายเหตุวชิราวุธ ตอนที่ ๑๒๙ สโมสร สมาคม และชมรม. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔, จาก: http://www.vajiravudh.ac.th/VC_Annals/vc_annal129.htm. ๒๕๕๗. วรชาติ มีชูบท. ราชสำนักรัชกาลที่ ๖. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๑. สารานุกรมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๑ (ก-ม). กรุงเทพฯ: เจริญวิทย์การพิมพ์, ๒๕๒๓. สุนทรพิพิธ, พระยา. พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระนคร: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น, ๒๕๑๔.
จากตัวเมืองจังหวัดราชบุรีไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๓ กิโลเมตร มีเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง ชื่อเขา“สัตนารถ” หรือ “สัตตนารถ” (มาจาก สตฺต + นาถ = สตฺตนาถ > สัตตนารถ อ่านว่า สัด-ตะ-หฺนาด แปลว่า “ที่พึ่งของสัตว์”) หรือที่ชาวเมืองราชบุรีเรียกกันว่า “เขาวัง” เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระราชวังไว้บนเขาลูกนี้
เดิมบนเขาสัตนารถเป็นวัด มีโบสถ์ ศาลา พระเจดีย์องค์หนึ่งและวิหารพุทธไสยาสน์อยู่เชิงเขาด้านตะวันออก ซึ่งเขานี้ปรากฏชื่อในพระราชนิพนธ์ ลิลิตเสด็จไปขัดทัพพม่าเมืองกาญจนบุรี โดยในลิลิตฯ บรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่กรมหมื่นศักดิพลเสพได้เสด็จยกทัพไปขัดทัพพม่าที่เมืองกาญจนบุรี ปี ๒๓๖๓ ขณะประทับอยู่ที่เมืองราชบุรีนั้นเกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้นในค่าย พระองค์จึงทรงนำเหล่าทหารไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองราชบุรี หนึ่งในนั้น คือ พระประทมบนเขาสัตนารถ ซึ่งการเสด็จไปนมัสการพระประทมในครั้งนั้น ยังเรียกเขานี้ว่า เขาสัตนารถและยังมีวิหารครอบพระประทมอยู่ ดังความในลิลิตฯว่า
“...รุ่งขึ้นบ่ายลมตก ชวนกันยกไปบนเขา สัตนารถเนาวิหาร นมัสการพระประทม ปักธงลมอุทิศถวาย ห้อยเรียวปลายจระเข้ ต้องลมเร่ปลิวสะบัด ดูโสมนัสน่าศรัทธา...”
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระราชวังที่เขาลูกนี้ เนื่องจากพระองค์เคยเสด็จประพาสเขาสัตนารถนี้เมื่อปี ๒๔๑๔ และทรงเห็นว่าพอจะเป็นวังได้ จึงทรงคิดขอแลกเปลี่ยนสร้างวัดขึ้นใหม่ ๑ วัดบริเวณริมน้ำให้พระสงฆ์อยู่ได้ เพราะเห็นว่าถ้าวัดจะอยู่บนเขา ไกลบ้านเรือนราษฎร พระสงฆ์ก็ไม่มีใครมาอยู่ จึงทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์งาม วัดร้างซึ่งอยู่ใกล้กับทำเนียบสมุหเทศาภิบาลทางทิศใต้ในขณะนั้น และโปรดให้ชะลอพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ซึ่งเป็นพระพุทธรูปก่อด้วยอิฐจากวัดเดิมมาประดิษฐานด้วย พระราชทานนามวัดว่า “วัดสัตนารถปริวัตร”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์และเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี นายงานเมืองเพชรบุรีซึ่งเคยอำนวยการสร้างพระราชวังบนพระนครคีรี มาดำเนินการสร้างพระราชวังบนเขาสัตนารถ โดยใช้ดินระเบิดทลายยอดเขาเพื่อปรับระดับพื้นให้เรียบต่ำกว่าระดับเดิม ๙ เมตร ทำทางขึ้นเป็น ๒ ทาง ที่เชิงเขาด้านตะวันออกมีโรงทหารรักษาพระองค์ ๑ โรง ส่วนอีกฟากหนึ่งมีโรงรถม้า ตรงทางสองแพร่งมีกระโจมสำหรับทหารยามรักษาการณ์ ต่อขึ้นไปตรงทางลัดมีโรงทหารมหาดเล็กสร้างเป็นแถวยาวหลังหนึ่ง เหนือขึ้นไปเป็นทิมดาบตำรวจอยู่ตรงหน้าท้องพระโรง ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ต่อจากท้องพระโรงเข้าไปเป็นพระที่นั่งเป็นอาคารชั้นเดียว มีสองหลังเรียงกันตามแนวยาว หลังหน้าเป็นท้องพระโรง หลังในเป็นที่ประทับ ที่มุมพระที่นั่งทั้งสองมีห้องแบ่งย่อยออกไปจำนวน ๘ ห้อง พระที่นั่งทั้งสองหลังนี้เชื่อมติดต่อกัน โดยมีทางเดินเชื่อมถึงกันตลอด
พระราชวังบนเขาสัตนารถนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวมิได้พระราชทานนามให้ พระองค์เคยเสด็จประทับและใช้เป็นสถานที่รับราชทูตโปรตุเกสที่เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์น เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยครั้งนั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ได้กราบบังคมทูลขอให้เสด็จออกรับราชทูตโปรตุเกสที่พระราชวังแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นเกียรติยศเหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จออกรับเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศสที่เมืองลพบุรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า พระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่นี้ พอที่จะรับแขกเมืองได้ เนื่องจากมีท้องพระโรงที่ใหญ่โตพอสมควร จึงโปรดเกล้าฯให้เตรียมรับราชทูตโปรตุเกส เหมือนรับรองราชทูตที่กรุงเทพฯ ทุกประการ ตามความในพระราชนิพนธ์ ระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคฯเมื่อปี ๒๔๒๐ ดังนี้
“...เรามาเห็นที่ก็เห็นว่าสมควรพอจะรับแขกเมืองได้ ดูเหมือนจะกว้างกว่าท้องพระโรง ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้ารับเซฟเวลเลีย เดอโชมอนด์ แต่ก่อนเสียอีก แล้วเมืองโปรตุคอลนี้ ก็เป็นพระราชไมตรีกับกรุงสยามช้านาน ...ครั้งนี้รับโปรตุเกสที่เมืองราชบุรีก็เห็นพอจะได้เป็นการดีอยู่ จึงได้ตระเตรียมการที่จะรับให้ได้ เต็มตำราทุกอย่าง มิให้ขาดเหลือ ตามแบบอย่างเช่นรับที่กรุงเทพฯ...”
พระราชวังที่เมืองราชบุรีแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประทับเพียงครั้งเดียว หลังจากเสด็จประทับรับราชทูตโปรตุเกสแล้วก็มิได้เสด็จประทับอีกเลย เนื่องจากทรงมีที่ประทับที่อื่น ๆ เช่น พระราชวังบางปะอิน อีกทั้งพระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาก็มิได้เสด็จประทับ ดังหลักฐานใน “สมุดราชบุรี ปี ๒๔๖๘” ที่ระบุว่า พระราชวังชำรุดทรุดโทรมมาก และมิได้ใช้เป็นที่ประทับอีกแล้ว พระราชวังจึงถูกทิ้งให้รกร้าง มีสภาพเป็นป่ารกชัฏมิได้มีการซ่อมแซม จนกระทั่งพระครูภาวนานิเทศได้เดินทางมาปฏิบัติธุดงควัตร ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมพร้อมกับบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี ๒๔๗๓ และตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า “วัดเขาวัง” สิ่งก่อสร้างสำคัญเมื่อครั้งเป็นพระราชวัง ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ กระโจมทหารรักษาการณ์ โรงทหารมหาดเล็ก ทิมดาบตำรวจ และตึกท้องพระโรง สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่ายิ่งต่อการศึกษา เรียนรู้ และทำให้ชาวเมืองราชบุรีเกิดภาคภูมิใจว่า จังหวัดราชบุรีก็มีพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเขา
เรียบเรียงโดย ปราจิน เครือจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
เอกสารอ้างอิง
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ,พระเจ้าบรมวงศ์เธอ.ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๖ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณ พิพรรฒธนากร,๒๔๖๖. พระราชนิพนธ์ระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๓๙ (พ.ศ.๒๔๒๐) พระบวรราชนิพนธ์ เล่ม ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๕ (กรุงเทพฯ:สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์,กรมศิลปากร,๒๕๔๗) แหล่งโบราณคดีและโบราณสถานจังหวัดราชบุรี ฝ่ายวิชาการ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ ๑ ราชบุรี. สมุดราชบุรี ๒๔๖๘, กรุงเทพฯ : สมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น - ไทย ด้วยความร่วมมือของสถาบันจักรวาลวิทยา, ๒๕๕๐. ข้อมูลออนไลน์ https ://dhamtara.com