ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,827 รายการ

สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.2/1-5 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ไทยสถาปนากษัตริย์เขมร ชื่อผู้แต่ง : สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี ปีที่พิมพ์ : 2505 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ธนะการพิมพ์ จำนวนหน้า : 172 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเรื่องไทยสถาปนากษัตริย์เขมร เป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสถาปนาราชบุตรบุญธรรมขึ้นเป็นกษัตริย์เขมรเมื่อปีพุทธศักราช 2337 แล้วต่อมาถึงพุทธศักราช 2406 - 2410 ชนชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งมารบได้ประเทศญวนแล้วบีบบังคับเอาประเทศเขมรเป็นเมืองขึ้น โดยอ้างว่าประเทศเขมรเคยเป็นเมืองขึ้นประเทศญวนมาก่อน บังคับให้กษัตริย์เขมรคือองค์สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษามหาอุปราชทำสัญญากับแม่ทัพใหญ่ของประเทศนั้น องค์สมเด็จพระนโรดมฯ ได้กราบบังคมทูลชี้แจงว่าจำต้องลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2506 เพราะถูกบีบบังคับแต่ยังมีความจงรักภักดีเช่นเดิม และสุดท้ายไทยก็ได้เสียประเทศเขมรไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2410





          วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ตรงกับเวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ของประเทศไทยในวันนี้ ทับหลังทั้ง ๒ รายการ จากปราสาทหนองหงส์และเขาโล้น ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยสายการบิน Korean Air มุ่งหน้าสู่มาตุภูมิประเทศไทย โดยจะพักเปลี่ยนเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน ก่อนมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในวันพรุ่งนี้           กรมศิลปากรขอขอบคุณ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ที่ได้เป็นผู้แทนกรมศิลปากรในการควบคุมดูแลการบรรจุหีบห่อและการขนย้ายในทุกขั้นตอน



องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี เรื่อง ศาลจังหวัดชลบุรี (หลังเก่า) ศาลจังหวัดชลบุรี (หลังเก่า) ตั้งอยู่ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมตะวันตก และมีรูปแบบคล้ายคลึงกับศาลจังหวัดเพชรบุรีและสิงห์บุรี ซึ่งอาจเป็นที่นิยมหรือเป็นแบบมาตรฐานที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารศาล จังหวัดในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มา : โบราณสถานสำคัญในเขตจังหวัดชลบุรี : เอกสารประกอบการอบรมทบทวนอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม (อส.มศ) จังหวัดชลบุรี วันพุธที่ 23 มกราคม 2551 ณ วัดตาลล้อม ต.เหมือง อ.เมือง จ.ชลบุรี. (2551). ปราจีนบุรี : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ภาพประกอบ : ศาลจังหวัดชลบุรี (หลังเก่า).(2558).ค้นหาเมื่อ 30 มกราคม 2564, จาก https://www.facebook.com/Teeneechonburi1/posts/1575128792751353/ รูปภาพศาลเก่า : ศาลจังหวัดชลบุรีหลังเก่า.(2557).ค้นหาเมื่อ 30 มกราคม 2564, จากhttps://www.chonburiindex.com/forum/showthread.php?t=21602 #หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #ศาลจังหวัดชลบุรี(หลังเก่า) #โบราณสถาน #ชลบุรี                


องค์ความรู้มรดกศิลปวัฒนธรรม ตอนที่ ๒ "จากกัมพุชสู่กัมพูชา ที่มาและความหมายในการรับรู้ของเขมร" โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ศานติ ภักดีคำ  อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  และคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย






     หลักศิลาสลักรูปพระรัตนตรัยแบบมหายาน      วัสดุหินทราย      อายุสมัย พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ (๘๐๐ - ๙๐๐ ปีมาแล้ว)      ประวัติ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทาน เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๕  หลักศิลารูปทรงคล้ายใบกลีบบัว สลักภาพบุคคลทั้งสี่ด้าน โดยด้านหน้าสลักรูปพระพุทธรูปสมาธินาคปรก เบื้องล่างบริเวณขนดนาคมีเทพี ๒ กรทรงยืนอยู่บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ด้านหลังหลักศิลาสลักรูปพระโพธิสัตว์ ๘ กร ตอนล่างสลักรูปพระนางปรัชญาปารมิตาภาค ๕ เศียร ๑๐ กร ด้านข้างหลักศิลาทางขวาของพระพุทธรูปสลักรูปพระโพธิ์สัตว์วัชรปาณี ตอนล่างสลักรูปเทพี ๔ กร (สันนิษฐานว่าเป็นพระนางสุชาดา) ด้านข้างหลักศิลาทางซ้ายของพระพุทธรูปสลักรูปพระอวโลกิเตศวร ๔ กร ตอนล่างเป็นรูปเทพี ๒ กร สันนิษฐานว่าเป็นรูปพระนางตารา      โบราณวัตถุชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในวัตถุจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “อารยธรรมวิวัฒน์ ลพบุรี – ศรีรามเทพนคร” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ซึ่งจัดแสดงจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔       โดยภาพสลักรูปบุคคลที่ปรากฏบนหลักศิลาแต่ละด้านนั้น เป็นการสื่อถึงรูปเคารพในศาสนาพุทธนิกายมหายานที่มีความหมายต่างกันออกไป รูปเคารพที่สำคัญ ได้แก่           *พระศากยมุนี ตามความเชื่อในพุทธศาสนามหายานนั้นเป็นพระพุทธเจ้าในร่างมนุษย์ (ภาคนิรมาณกาย) ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ในห้วงเวลาปัจจุบันและดับขันธ์ไปแล้ว          *พระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร หรือพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี เป็นโพธิสัตว์ที่ดูแลโลกมนุษย์ในห้วงเวลาปัจจุบัน (ยุคของพระพุทธเจ้าศากยมุนี) ถือกำเนิดจากพระอมิตาภะ ดังนั้นจึงพบรูปพระอมิตาภะประทับนั่งสมาธิอยู่บนมวยผมของพระอวโลกิเตศวรเสมอ ลักษณะสำคัญของพระองค์คือ การแสดงออกถึงการเป็นนักบวชด้วยการเกล้าพระเกศาขึ้นเป็นมวย พระกรถือดอกบัว ลูกประคำหรือหม้อน้ำ เป็นต้น           *พระนางปรัชญาปารมิตา เป็นเทพีแห่งความรู้และความเฉลียวฉลาด วัตถุสำคัญที่มักปรากฏในพระกรของนางปรัชญาปารมิตาคือดอกบัวและคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร           *พระโพธิสัตว์วัชรปาณี เป็นโพธิสัตว์ที่มีบทบาทถึงการรบกับอสูร และเป็นเทพที่ควบคุมฝน เนื่องจากเครื่องหมายของพระองค์คือ วัชระ หรือ สายฟ้า ในงานประติมากรรมมักสร้างพระโพธิสัตว์วัชรปาณีที่แสดงอาการดุร้าย พระกรถืออาวุธต่าง ๆ โดยมีอาวุธสำคัญคือ วัชระและกระดิ่ง      -ด้านหน้าของหลักศิลาสลักรูปพระพุทธรูปสมาธินาคปรก ซึ่งเป็นรูปแทนของ “พระศากยมุนี” มีพุทธลักษณะคือ พระรัศมีทรงดอกบัวตูม อุษณีษะนูน เม็ดพระศกใหญ่ พระพักตร์สี่เหลี่ยม บริเวณพระนลาฎปรากฏเส้นขอบไรพระศก พระเนตรมองตรง พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์แย้มพระสรวลเล็กน้อย ส่วนพระวรกายไม่ปรากฏการครองจีวร ประทับขัดสมาธิราบบนขนดนาคซ้อนกันสามชั้น เหนือพระเศียรพระพุทธรูปเป็นพังพานนาคเจ็ดเศียร และเศียรนาคประดับลายกนก พระนาคปรกองค์นี้ประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ส่วนเบื้องล่างบริเวณกึ่งกลางขนดนาคสลักรูปเทพี ๒ กรประทับยืนบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย แต่รายละเอียดของส่วนพระพักตร์และวัตถุในพระกรนั้นลบเลือนไปมาก      -ด้านหลังของหลักศิลาสลักรูปพระโพธิสัตว์ ๘ กร ทรงยืนอยู่บนฐานบัวหงาย มีลักษณะสำคัญคือส่วนพระเศียรเกล้าพระเกศาขึ้นเป็นมวย แต่เดิมบริเวณด้านหน้ามวยผมคงจะสลักรูปพระอมิตาภะไว้แต่สภาพปัจจุบันชำรุดสึกกร่อน ส่วนพระกรสองข้างด้านหน้าหันฝ่าพระหัตถ์ออกนอกพระวรกาย อีกหกพระกรทรงถือวัตถุต่าง ๆ แม้สภาพปัจจุบันจะเลือนลางไปค่อนข้างมากแต่ยังพอสังเกตได้ เช่น หม้อน้ำ คัมภีร์ และดอกบัว เป็นต้น ถัดขึ้นไปด้านบนทั้งสองข้างเป็นรูปพระพุทธรูปแสดงอิริยาบถสมาธิอยู่ภายในซุ้ม สันนิษฐานว่าน่าจะสื่อถึงพระอมิตาภะที่แสดงธยานมุทรา (ปางสมาธิ) ส่วนด้านล่างเป็นรูปพระนางปรัชญาปารมิตาภาค ๕ เศียร ๑๐ กร ซึ่งคล้ายกับรูปพระนางปรัชญาปารมิตาบนหลักสถูปศิลาจาก กบาลสเร ยายยิน (Kbal Sre Yeay Yin) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานกีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แม้ว่ารูปพระนางปรัชญาปารมิตาที่ปรากฏส่วนของวัตถุในพระกรจะลบเลือนไปมากแล้ว แต่ยังคงเห็นวัตถุสำคัญในพระกร เช่น ดอกบัว เป็นต้น      -ด้านข้างหลักศิลาทางซ้ายของพระพุทธรูปสลักรูปพระอวโลกิเตศวร ๔ กร มีลักษณะสำคัญคือวัตถุในพระกรทั้งสี่ ได้แก่ พระกรขวาบนถือลูกประคำ พระกรขวาล่างรายละเอียดค่อนข้างเลือนแต่สันนิษฐานว่าเดิมน่าจะถือดอกบัว พระกรซ้ายบนถือคัมภีร์และพระกรซ้ายล่างถือหม้อน้ำ ส่วนตอนล่างเป็นรูปเทพี ๒ กร ทรงยืน พระกรขวายกขึ้นมาแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) พระกรซ้ายถือดอกบัว สันนิษฐานว่าเป็นรูปพระนางตาราซึ่งเป็นชายาของพระอวโลกิเตศวร      -ด้านข้างหลักศิลาทางขวาของพระพุทธรูปสลักรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณี มีลักษณะสำคัญคือสีพระพักตร์ดุร้าย ดวงตามองตรงเบิกโพลง ถือวัชระและกระดิ่ง นุ่งผ้าสั้นมีชายผ้าหน้านางซ้อนกันสองชั้น ตอนล่างสลักรูปสตรี ๔ กร สันนิษฐานว่าเป็นพระนางสุชาดา ชายาของพระโพธิ์สัตว์วัชรปาณี มีลักษณะสำคัญคือ พระกรขวาบนถือดอกบัว พระกรซ้ายบนถือคัมภีร์ ส่วนพระกรทั้งสองข้างด้านหน้าแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) สองพระหัตถ์    ค้นคว้าและเรียบเรียง : นายพนมกร นวเสลา บรรณานุกรม กรมศิลปากร. เทวสตรี คติพุทธ พราหมณ์ และความเชื่อในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๕๘.อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.    




black ribbon.