ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,797 รายการ

  วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 กรมศิลปากรถวายเทียนจำนำพรรษา ณ พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ- ยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสมชาย  ณ นครพนม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโบราณคดี เป็นประธานในพิธีนำถวายเทียน และพระสุวิมลธรรมาภรณ์ พระราชาคณะ วัดมหาธาตุยุว- ราชรังสฤษฎิ์ รับการถวายเทียน                        สำหรับวันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ วันเข้าพรรษานั้น เป็นวันที่ให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการเผยแผ่ศาสนาไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้าน ที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่ จำพรรษารวมกันภายในวัด เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วยการเข้าพรรษา ตามปกติการจำพรรษา เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา                      วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร สร้างในสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่าวัดสลัก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อทรงตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี และทรงสร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับและสร้างพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นที่ประทับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสลัก พร้อมกับการก่อสร้างพระราชวังบวรสถานมงคล จากนั้นทรงเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดสลัก เป็น”วัดนิพพานาราม” เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ใช้วัดนิพพานารามเป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกใน พ.ศ. 2331 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดพระศรีสรรเพชญ” และใน พ.ศ. 2346 พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรมหาวิหาร” ตามชื่อวัดในกรุงศรีอยุธยาที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช  ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร บูรณะวัดมหาธาตุฯ และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดมหาธาตุยุวราช รังสฤษฎิ์”   ที่มา : http://www.manager.co.th/Local           http://th.wikipedia.org/wiki




เมื่อวันที่ ๑๒ - ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ได้อบรมโครงการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาสำหรับข้าราชการในสังกัด ณ ห้องประชุมหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ โดยมีนายสุพจน์ พรหมมาโนช ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๘ เชียงใหม่ เป็นประธานฯ




วันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒เวลา ๑๑.๐๐ น. คณะครูและนักเรียนโรงเรียนแวงน้อยศึกษาอ. แวงน้อย จ. ขอนแก่นจำนวน ๑๐๐ คนเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่นโดยมีนางแพรว ธนภัทรพรชัย เป็นผู้ให้การต้อนรับ


แหล่งเตาเผาบ้านบางปูน           เครื่องปั้นดินเผา แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะของเนื้อดินคือ ๑.เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อดิน หรือ เอิร์ทเทนแวร์ (Earthenware) เผาด้วยไฟในอุณหภูมิ ๘๐๐ –๑๑๕๐ องศาเซลเซียส ๒.เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อหิน หรือ สโตนแวร์ (Stoneware) เผาด้วยไฟในอุณหภูมิ ๑๑๙๐ –๑๓๙๐ องศาเซลเซียส ๓.เครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อกระเบื้อง หรือ พอร์สเลน (Porcelain ware) เผาด้วยไฟในอุณหภูมิ ๑๒๕๐ องศาเซลเซียสเป็นต้นไป           ในประเทศไทยพบหลักฐานการผลิตภาชนะดินเผาขึ้นใช้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีทั้งที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและเพื่อประกอบพิธีกรรม มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับการใช้งาน อาทิ ชาม หม้อ กระปุก ไห เป็นต้น โดยมีขนาดและรูปทรงรวมทั้งมีการประดับตกแต่งหลายรูปแบบ เช่น ทาน้ำดิน ลายขูดขีด ลายเชือกทาบ ลายเขียนสี ภาชนะสามขา เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับความนิยมและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการผลิตของแต่ละท้องถิ่น และได้มีพัฒนาการต่อมาโดยลำดับ ภาชนะดินเผาที่พบมีทั้งที่ผลิตขึ้นเองในท้องถิ่น และนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยภาชนะดินเผาแบบแรกสุดที่พบเป็นแบบเนื้อดิน หรือ เอิร์ทเทนแวร์ ส่วนแบบเคลือบนั้น มีการผลิตขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ เป็นต้นมา           แหล่งเตาเผาบ้านบางปูน เป็นแหล่งเตาผลิตเครื่องปั้นดินเผาอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือราว ๗.๕ กิโลเมตร กระจายอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรีหรือริมแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตกเป็นระยะทางยาวประมาณ ๗ กิโลเมตร อยู่ในเขตตำบลรั้วใหญ่ และบริเวณบ้านบางปูน บ้านโพธิ์พระยา ตำบลพิหารแดง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี           จากการขุดค้นทางโบราณคดี ได้พบร่องรอยของเตาเผาที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาโบราณ โครงเตาเป็นเตากูบที่ก่อด้วยดินเหนียวสร้างซ้อนทับในแนวเดียวกัน จำนวน ๑๐ เตา เป็นเตาแบบระบายความร้อนขึ้น ( Crossdraft Kiln) ขนาดโดยเฉลี่ยของเตายาว ๕-๘ เมตร   กว้าง ๒-๓ เมตร ผนังด้านข้างหนาราว ๒๐ เซนติเมตร แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ห้องบรรจุเชื้อเพลิงสำหรับใส่ฟืนด้านหน้า พื้นลาดเอียงประมาณ ๑๐-๑๕ องศา, ห้องวางภาชนะ เป็นส่วนที่มีพื้นที่มากเนื่องจากต้องนำภาชนะที่ต้องการจะเผามาวาง พื้นเตาส่วนนี้ยกสูงขึ้นจากห้องบรรจุเชื้อเพลิงราว ๖๐ เซนติเมตร, ด้านในสุด เป็นปล่องสำหรับระบายควันไฟออก           จากการศึกษาวิเคราะห์หลักฐานทางด้านโบราณคดีสามารถกำหนดอายุของแหล่งเตาเผาแห่งนี้มีอายุในช่วงก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ หรือประมาณ ๖๐๐ ปีมาแล้ว    ศิลปะของลวดลายที่ปรากฏบนภาชนะได้รับอิทธิพลของศิลปะทวารวดีและศิลปะลพบุรีซึ่งแหล่งผลิตภาชนะดินเผาแห่งนี้ยังคงได้ผลิตภาชนะต่อเนื่องมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑           ภาชนะที่พบที่แหล่งเตาเผาบ้านบางปูนมีทั้งประเภทเนื้อดิน แบบที่เรียกว่า เอิทเทนแวร์(Earthenware) และประเภทเนื้อหิน แบบที่เรียกว่า สโตนแวร์ (Stoneware)  โดยภาชนะประเภทเนื้อดินที่พบมีทั้งชาม, อ่าง และหม้อหรือไหก้นกลม ซึ่งมีการเคลือบน้ำดินสีแดงและเขียนลวดลายเป็นแนวเส้นขนาน  ส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งส่วนใหญ่เป็นไห จะมีตกแต่งลายบริเวณส่วนปาก คอ ก้น ไหล่  ลวดลายที่พบเป็นลายกดประทับภายในแนวเส้นขนานซ้อนกันเป็นแถว คั่นด้วยแนวลายหวี บางทีมีการประดับลายปั้นติดเป็นลายพู่ หรือลายเทพนมในแนวลายคล้ายใบโพธิ์ หรือใบเสมา ส่วนไหใบสำคัญจะประดับด้วยภาพเล่าเรื่อง เช่นภาพบุคคลคล้องช้าง หรือกำลังฝึกช้าง การล่าสัตว์ ภาพบุคคลไถนา ภาพบุคคลขี่ม้ากวัดแกว่งดาย ภาพบุคคลกำลังรบกัน ภาพลายกดประทับเป็นลายช้างเดินเรียงต่อกันเป็นแถวเป็นต้น


วันจันทร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๒เวลา ๑๐.๐๐ น.คณะศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลบ้านดุง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จำนวน ๑๑๘ คนเข้าเยี่ยมชมหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน โดยมีนางสาวอารียา เนียมสอาด เป็นวิทยากรนำชม พร้อมอำนวยความสะดวก


อบรมผู้ใช้งานระบบสัมมนาออนไลน์ ในวันที่ 30 มีนาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 โดยเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเวิร์ค กรุ๊ป จำกัด



เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น ไม่เสียค่าใช้จ่าย



***บรรณานุกรม***  หนังสือหายาก  สถานเอกอัครราชฑูตอินโดเนเซีย.  ประเทศ 3,000 เกาะ  อินโดเนเซีย :  สุมาตรา  ชะวา  กาลิมันตันซูลาเวซี  โมลูกัซ  อิเรียนตะวันตก.  พระนคร : โรงพิมพ์ไทยพิทยา, ๒๕๐๑.


ชื่อผู้แต่ง         หลวงอรรถกัลยาณวิณิช ชื่อเรื่อง          ปาฐกถา  เรื่อง  โภคทรัพย์ของจังหวัดยะลา พิมพ์ครั้งที่       - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       สำนักงานวรรณกรรมและประวัติศาสตร์  กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์          2579 จำนวนหน้า      20  หน้า                     หนังสือ เรื่อง ปาฐกถา  เรื่อง  โภคทรัพย์ของจังหวัดยะลา  จัดพิมพ์เนื่องจากแสดงทางวิทยุกระจายเสียง  ในวันที่  11  พฤษภาคม  247๙  โดยหลวงอรรถกัณ  ยาณวินิจ  ข้าหลวงประจำจังหวัดยะลา  ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเชิญชวนให้ประชาชนใจจังหวัดยะลา  เห็นคุณค่าและความสำคัญในของลักษณะภูมิประเทศ  เพื่อจะสร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคงแก่ชาวจังหวัดยะลา


          วันจันทร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรมร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้า สุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ร่วมลงนามถวายพระพร ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม


เลขทะเบียน : นพ.บ.10/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  52 หน้า  ; 4 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 6 (62-73) ผูก 2หัวเรื่อง : ศัพปาจิตตีย์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


black ribbon.