ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ด้วยเทศบาลนครอุบลราชธานี ฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้จัดทำโครงการอบรมเยาวชน "ฮักบ้าน แพงเมือง สืบสานหม่องเที่ยว" เพื่อให้เยาวชนได้มีความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ ความเป็นมา สถานที่ท่องเที่ยวและการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานี


นิทรรศการ เรื่อง นครไตรตรึงษ์ เมืองโบราณยุคแรกเริ่มในจังหวัดกำแพงเพชร       เข้าชมข้อมูลนิทรรศการเบื้องต้นได้ทีนี่  http://www.finearts.go.th/node/8787


นิทรรศการ เรื่อง นครไตรตรึงษ์ เมืองโบราณยุคแรกเริ่มในจังหวัดกำแพงเพชร       เข้าชมข้อมูลนิทรรศการเบื้องต้นได้ทีนี่  http://www.finearts.go.th/node/8787


กรมศิลปากรจัดสร้างพระคเณศ รุ่น ๑๐๐ ปี กรมศิลปากร   กรมศิลปากรจัดสร้างพระคเณศ (สี่กร ขนาดบูชา)แบบประทับนั่งและประทับยืน รุ่น ๑๐๐ ปี กรมศิลปากร ผู้สนใจสามารถสั่งจองบูชาได้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ พระคเณศเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งศิลปะวิทยาการ” ทรงพระราชนิพนธ์บทละครหลายเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าฮินดู ซึ่งมีเรื่องของพระคเณศรวมอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งในบทละครแต่ละเรื่องนั้นจะมีบทที่เริ่มต้นด้วย การบูชาพระคเณศ ก่อนอยู่เสมอ ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชลัญจกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งเป็นลายรูปพระคเณศต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ “วรรณคดีสโมสร” ใช้ลายพระราชลัญจกรองค์นี้ และปีพุทธศักราช ๒๔๘๐ ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตแบบองค์นั่งและแบบองค์ยืนให้ใช้พระคเณศเป็นดวงตราประจำกรมศิลปากร ดวงพระราชลัญจกรเป็นรูปกลม ศูนย์กลางกว้าง ๓ นิ้ว ๓ อนุกระเบียด (๗ เซนติเมตร) ลายเป็นรูปพระคเณศสี่กร ลายพื้นเป็นลายกระหนกลักษณะคล้ายเมฆประหนึ่งเป็นที่ประทับของพระคเณศ ทรงนาคยัชโยปวีต (สวมสังวาลนาค) พระหัตถ์ขวาเบื้องบนถือวัชระเบื้องล่างถืองาหัก พระหัตถ์ซ้ายเบื้องบน ถือบ่วงบาศเบื้องล่างถือถ้วยใส่ปายสะ (ข้าวชนิดหนึ่งที่หุงเจือด้วยน้ำหรือนํ้านมและนํ้าตาล) ลายรอบด้วยวงกลมมีลวดลายเป็นดวงแก้ว ๗ ดวง อันมีความหมายถึง ศิลปวิทยา ๗ แขนง ที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของกรมศิลปากร ประกอบด้วย ช่างปั้น, จิตรกรรม, ดุริยางคศิลป์, นาฏศิลป์, วาทศิลป์ สถาปัตยกรรม, อักษรศาสตร์ แม้ว่ารูปลักษณ์ของพระคเณศจะสร้างขึ้นโดยถือตามคัมภีร์ประติมานวิทยาของอินเดียแบบดั้งเดิม แต่ก็ยังคงแสดงลักษณะลวดลายแบบไทยอยู่   ในปีอันเป็นศุภมงคล ครบ ๑๐๐ ปี กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๔ กรมศิลปากร จึงถือโอกาสนี้ จัดสร้างพระคเณศ (สี่กร) รุ่น ๑๐๐ ปี กรมศิลปากรขึ้น โดยจัดสร้างด้วยเนื้อโลหะผสมสีเม็ดมะขาม มีด้วยกัน ๒ แบบ คือแบบประทับนั่งขนาดหน้าตักกว้าง ๔ นิ้วครึ่ง ความสูง ๖ นิ้วครึ่ง ราคาจอง ๒,๑๐๐ บาท ราคาหลังจอง ๒,๕๐๐ บาท และแบบประทับยืน ความสูง ๑๐ นิ้วครึ่ง ราคาจอง ๒,๕๐๐ บาท ราคา หลังจอง ๓,๐๐๐ บาท เพื่อให้ชาวศิลปากร และประชาชน ที่นับถือและศรัทธาในองค์พระคเณศ หรือเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ได้มีไว้บูชา


นิทรรศการศิลปะปูนปั้นแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๒   เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะปูนปั้นแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๒ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ โดยมี นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ร่วมพิธีด้วย     กรมศิลปากร วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ สมาคมประติมากรรมไทย และบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จัดการประกวดศิลปะปูนปั้นแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๒ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์สืบสานและพัฒนางานศิลปะปูนปั้น อันเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมไทย แบ่งการประกวด เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ ประเภทการปั้นปูนสด ประเภทการปั้นปูนสำเร็จรูป ทีพีไอ ประเภทผลงานสำเร็จรูป มี ๒ ระดับ ระดับประชาชนและระดับเยาวชน โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด จำนวน ๒๙๓ ชิ้น นิทรรศการนี้จัดแสดงผลงานประติมากรรมจากการประกวดฯ ตั้งแต่วันที่ ๔ - ๓๑ ตุลาคม  ๒๕๕๕ ขอเชิญผู้สนใจเข้าชมได้ที่ห้องนิทรรศการชั่วคราว ๑-๘ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป นเปิดวันพุธ-อาทิตย์ ปิดวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เดิมเป็นอู่หรือโรงเก็บเรือพระราชพิธี อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังและกองทัพเรือ เมื่อคราวเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อู่และเรือพระราชพิธีบางส่วนถูกระเบิดได้รับความเสียหาย และในปี พ.ศ. 2490 สำนักพระราชวังและกองทัพเรือได้มอบให้กรมศิลปากรทำการซ่อมแซมดูแลรักษาบรรดาเรือต่างๆ ที่ใช้ในพระราชพิธีเหล่านี้ เรือพระราชพิธีเป็นเรือที่มีประวัติสำคัญมาแต่โบราณ ที่ยังคงมีความสวยงามในฝีมือช่างอันล้ำเลิศ และทรงคุณค่าในงานศิลปกรรม ประการสำคัญ ยังสามารถนำมาใช้ในการพระราชพิธีต่างๆ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้          กรมศิลปากรเล็งเห็นความสำคัญ จึงได้ขึ้นทะเบียนเรือพระที่นั่งต่างๆ ไว้เป็นมรดกของชาติ พร้อมทั้งยกฐานะของอู่เก็บเรือขึ้นเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เมื่อปี พ.ศ. 2517 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ตั้งอยู่เลขที่ 80/1 ริมคลองบางกอกน้อย ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 เส้นทางเข้าชมพิพิธภัณฑ์มี 2 ทางคือ1. ทางน้ำ ใช้บริการท่องเที่ยวโดยบริษัททัวร์ หรือจ้างเหมาเรือโดยสารทั่วไป2. ทางบก ใช้เส้นทางเชิงสะพานอรุณอัมรินทร์ เส้นทางเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ด้านฝั่งธนบุรี บริเวณซอยวัดดุสิตาราม ประเภทการจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี มีจำนวน 2 อาคาร 1. อาคารสำนักงาน 2. อาคารห้องจัดแสดง จัดแสดงเรือพระราชพิธี จำนวน 2 ลำ จัดแสดงโขนเรือนารายณ์ทรงสุบรรณเก่า ซึ่งเป็นต้นแบบเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ประกอบในพระราชพิธีชลมารค โบราณวัตถุที่จัดแสดง 1.เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โขนเรือเป็นรูปหงส์ เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง (หมายถึง เรือที่เป็นเครื่องประดับยศ เป็นเรือพระที่นั่งชั้นสูง มีโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นใดประทับเป็นแต่บางครั้ง โปรดฯ ให้เป็นเรือทรงผ้าไตรหรือผ้าทรงสะพักพระพุทธรูป หรือพานพุ่มดอกไม้) เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6   2.เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 กรมศิลปากรร่วมกับกองทัพเรือ และสำนักพระราชวังสร้างเรือลำนี้ใหม่ เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเรือพระที่นั่งต่อใหม่นี้ว่า เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9   3.เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช โขนเรือเป็นรูปนาค 7 เศียร เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยปรกติแล้ว เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ หรือผ้าพระกฐินในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค   4.เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งรอง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โขนเรือจำหลักลายปิดทองรูปพญานาคเล็กๆ จำนวนมาก   5.เรืออสุรวายุภักษ์ จัดว่าเป็นเรือรูปสัตว์ โขนเรือสลักเป็นรูปยักษ์ กายเป็นนกสีครามปิดทองประดับกระจก   6.เรือกระบี่ปราบเมืองมาร โขนเรือสลักรูปขุนกระบี่ ปิดทองประดับกระจก ไม่พบหลักฐานที่สร้าง เรือลำนี้ถูกระเบิดได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรได้สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2510   7.เรือครุฑเหินเห็จ ไม่พบหลักฐานที่สร้าง เรือลำนี้ถูกระเบิดได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรจึงนำโขนเรือเดิมมาซ่อมแซมขึ้นใหม่จนถึงปัจจุบัน   8.เรือเอกชัยเหินหาว โขนเรือเขียนลวดลายเป็นรูปจระเข้หรือเหรา เรือลำนี้ได้ถูกระเบิดเสียหายในสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2487 และทำการตกแต่งซ่อมแซมตัวเรือใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2508


  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์   จัดตั้งขึ้นตามโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลป์ พีระศรี  อนุสรณ์ โดยความร่วมมือระหว่างบรรดาลูกศิษย์และผู้ใกล้ชิดศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี  เพื่อรำลึกถึงเกียรติคุณของท่านในฐานะผู้ให้กำเนิดการศึกษาศิลปะสมัยใหม่ ศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย และผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งตรงกับวาระวันคล้ายวันเกิดครบรอบ ๙๒ ปี ของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี โดยฯพณฯ ชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้นให้เกียรติมาเป็นประธาน  จากนั้นจึงมอบหมายให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบและบริหารจัดการ จนกระทั่งได้รับการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ เมื่อพ.ศ.๒๕๓๐ ปัจจุบัน สังกัดสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ในเครือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป  ภายในจัดแสดงนิทรรศการถาวร โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรก ห้องชั้นนอก (บริเวณประตูทางเข้า) จัดแสดงผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ของบรรดาลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด  เช่น นายเฟื้อ หริพิทักษ์ นายประยูร อุลุชาฎะ นายชลูด นิ่มเสมอ นายจำรัส เกียรติก้อง นายเขียน ยิ้มศิริ นายสวัสดิ์ ตันติสุข นายทวี นันทขว้าง เป็นต้น ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานศิลปกรรมในยุคเริ่มแรกของศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย ซึ่งดำเนินรอยตามแนวทางการสร้างสรรค์ศิลปะตามหลักวิชาการที่ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้วางรากฐาน             ส่วนที่สอง ห้องชั้นใน จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งประกอบไปด้วย โต๊ะทำงาน เก้าอี้ เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องมือปั้น ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว โดยจำลองบรรยากาศโต๊ะทำงานดั้งเดิมเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังมีชีวิตอยู่ ตลอดจนแบบร่างอนุสาวรีย์และประติมากรรมชิ้นสำคัญ เช่น แบบร่างพระบรมรูปรัชกาลที่ ๖ แบบร่างพระศรีศากยทศพลญาณ พระประธานพุทธมณฑล และต้นแบบพระเศียรรัชกาลที่ ๘ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหนังสือหายากซึ่งเป็นหนังสือที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี  ใช้สำหรับค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะตะวันตก ให้บริการแก่ผู้มาเยี่ยมชมภายในห้องจัดแสดง






               เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี จัดกิจกรรมสัมมนาใน “โครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๖” เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๖ ให้แก่หน่วยงานราชการในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอ่างทอง รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐในส่วนภูมิภาคกับหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีว่าที่ร้อยตรีสุพีร์พัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนา ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมศรีอู่ทองแกรนด์ จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งนี้ มี่ผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมมากถึง ๒๓๙ คน                  กิจกรรมสัมมนามีหัวข้อน่าสนใจ อาทิ                  "ความสำคัญของงานจดหมายเหตุกับการบริหารราชการแผ่นดิน" บรรยายพิเศษโดย ว่าที่ร้อยตรีสุพีร์พัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี                  "พรบ.จดหมายเหตุ พ.ศ.๒๕๕๖ เพื่อปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมของชาติด้านจดหมายตุ" โดย นางสาวนันทกา พลชัย รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร                   "พรบ.จดหมายเหตุ กับการเก็บรักษาและการส่งมอบเอกสารประวัติศาสตร์ในครอบครอง" โดยนางจุฑาทิพย์ อังศุสิงห์ หัวหน้ากลุ่มบริหารเอกสาร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร                   "สิ่งที่ควรรู้ของ พรบ.จดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๖" โดย นางสาวมาลีภรณ์ คุ้มเกษม หัวหน้ากลุ่มนิติการ กรมศิลปากร                   และ "การทำลายเอกสารราชการตามระเบียบฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง" โดย นางสาวธารทิพย์ ภิรมย์อนุกูล หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี


วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๐ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี จัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติประจำปี ๒๕๖๐ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเรียนรู้และทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ในวันเด็กแห่งชาติ และเพื่อประชาสัมพันธ์ภารกิจหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยภายในงานจัดกิจกรรมการระบายสีและแจกของรางวัล อาทิ อุปกรณ์เครื่องเขียน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ตลอดจนเลี้ยงอาหารและขนมแก่เด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เข้าชมนิทรรศการประมวลภาพถ่าย "ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์" ซึ่งประมวลภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดสุพรรณบุรี ด้วย


          หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี ขอเชิญชวนส่งภาพถ่ายเข้าร่วมประกวดในหัวข้อ "สุพรรณบุรีรำลึก" ชิงรางวัลกว่า ๑๔ รางวัล มูลค่ารวม ๕๐,๐๐๐.-บาท เพื่อรวบรวมภาพถ่ายเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สะท้อนวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประเพณีและวัฒนธรรมของผู้คนในจังหวัดสุพรรณบุรี นำมาเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับให้บริการศึกษาและค้นคว้าต่อไป ทั้งนี้ ผู้ส่งภาพเข้าร่วมประกวดต้องเป็นเจ้าของภาพต้นฉบับ ภาพดั้งเดิม หรือภาพทำสำเนาซึ่งเจ้าของภาพต้นฉบับยินยอมให้ส่งเข้าร่วมประกวด หรือสามารถระบุที่มาของภาพได้ชัดเจน           ดาวโหลดรายละเอียดได้ที่นี่ (โปรดคลิก) หากท่านมีข้อสงสัยกรุณาติดต่อหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี โทรศัพท์ ๐๓๕ ๕๓๕ ๕๐๑ ต่อ ๑๐๑ อีเมล์ suphan_archives@hotmail.com หรือทางเฟซบุ๊ค www.facebook.com/SupanburiNationalArchive ในวันและเวลาราชการ


หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป ในพื้นที่จังหวัด กาญจนบุรี ชัยนาท นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ราชบุรี ลพบุรี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง และอุทัยธานี ส่งมอบภาพประวัติศาสตร์ ภาพพระราชกรณียกิจ และภาพเหตุการณ์ถวายอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบตรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทรธิราช บรมนาถบพิตร โดยสามารถส่งมอบภาพถ่ายหรือไฟล์ภาพถ่ายทุกชนิด พร้อมทั้งให้รายละเอียด อาทิ ชื่อสกุลผู้ถ่าย เบอร์โทรศัพท์ วัน เวลา สถานที่ และคำบรรยายภาพ ได้ ๓ ช่องทาง ดังนี้        ๑) บันทึกเป็นแผ่นซีดีหรือดีวีดีส่งมาที่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี ถนนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ๗๒๐๐๐        ๒) ส่งไฟล์ภาพทางอีเมล์ที่ suphan_archives@hotmail.com        ๓) ส่งไฟล์ภาพทางหน้าเพจหรือกล่องข้อความ www.facebook.com/SupanburiNationalArchive         หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรวบรวมภาพประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญของประเทศครั้งนี้


black ribbon.