ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชมการแสดงนาฏศิลป์และดนตรี “เสาร์สนุก” วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ภายในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
รายการแสดงประกอบด้วย
๑. Solo Trumpet โดยนายศศิศ จิตรรังสรรค์
- George Enescu -Légende for Trumpet and Piano
- Herbert LClarke : Carnival of Venice
๒. Solo Tuba โดยนายมานิตย์ บูชาชนก
- A.Lebedev : Concerto in One Movement (Concerto No.1)
๓. การบรรเลงเดี่ยวซออู้ เพลงสุดสงวน สามชั้น
๔. รำฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน
๕. การแสดงชุดนางสำมนักขาวิลาวัณย์
'ชมฟรี' ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-นครกัณฑ์) อย.บ. 423/13ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดกบทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ทองทึบ รักทึบ ลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ ๒ และคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในโอกาสที่เสด็จเยือนประเทศไทย(รหัสเอกสาร ฉ/ร/๑๗๔)
#องค์ความรู้อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรมกรสังคโลกที่พบจากการดำเนินการทางโบราณคดีที่วัดตะแบกคู่ เมืองกำแพงเพชร..จากการดำเนินการทางโบราณคดี ณ วัดตะแบกคู่ โดยอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ในปีพุทธศักราช 2558 นั้น ได้พบหลักฐานเป็นชิ้นส่วนประติมากรรมมกรสังคโลก สภาพค่อนข้างสมบูรณ์จำนวน 2 ชิ้น ลักษณะเขียนลวดลายด้วยสีน้ำตาลเข้มบนพื้นสีขาวนวล แจกแจงขนาดดังนี้ .ชิ้นที่ 1 มีขนาดส่วนฐานกว้าง 16 เซนติเมตร ยาว 23 เซนติเมตร และสูง 53 เซนติเมตร .ชิ้นที่ 2 มีขนาดส่วนฐานกว้าง 18 เซนติเมตร ยาว 23 เซนติเมตร และสูง 78 เซนติเมตร..มกร เป็นคำในภาษาสันสกฤต อ่านว่า มะ-กะ-ระ หรือ มะ-กอน เป็นสัตว์ในเทพนิยายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณ ลักษณะคล้ายสัตว์น้ำ มีสองเท้า หรือสี่เท้า ส่วนปากคล้ายจระเข้ มีงวงเหมือนช้าง ส่วนหางคล้ายปลาซึ่งบางครั้งพบส่วนของปลายหางม้วนเป็นลายก้านขด สันนิษฐานว่าเป็นคติที่เกิดขึ้นในอินเดีย ราวพุทธศตวรรษที่ 3-6 พบลักษณะเป็นสัตว์ที่มีส่วนหัวเป็นช้าง ส่วนลำตัวและหางเป็นปลา หรือเป็นมกรที่มีส่วนหัวเป็นรูปจระเข้ประดับที่โบราณสถานสาญจี และภารหุต ในเวลาต่อมามักพบการสร้างมกรมีลักษณะคล้ายส่วนของสัตว์หลากหลายชนิดมากขึ้นอันล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ที่มีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น อาทิเช่น สิงโต นาค มังกร แพะ และกวาง.รูปแบบและลวดลายของมกรสังคโลก ศิลปะสุโขทัย สันนิษฐานว่าเกิดจากการสร้างสรรค์โดยการนำลักษณะของรูปแบบศิลปะเขมรที่ปรากฏในเมืองโบราณสุโขทัย และอิทธิพลรูปแบบศิลปะจีนมาผสมผสานกัน โดยมกรจากแหล่งเตาเมืองสุโขทัย มักมีลักษณะหน้าตาคล้ายนาค บางครั้งส่วนหัวคล้ายสิงห์ มีหงอน งวง เขา และหู มักพบในลักษณะอ้าปาก มีเขี้ยว เห็นฟันชัดเจน และเครายาว บางชิ้นมีการคาบก้อนลักษณะกลมไว้ในปาก (คาบแก้ว) ลำตัวเป็นเกล็ด มีขาหน้าสองขา มีลวดลายเครื่องประดับส่วนคอ ส่วนน่องจนถึงกรงเล็บ ส่วนใหญ่จะทำเป็นลำตัวทอดยาวอยู่บนฐานปลายมน ด้านล่างเจาะเป็นรูรูปวงกลม ภายในลำตัวกลวง สันนิษฐานว่าใช้ประกอบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม ได้แก่ เป็นส่วนประกอบเครื่องบนหลังคา และประดับบันไดทางเข้าโบราณสถาน.มกรมีเทคนิคการปั้นและการตกแต่งลวดลายเป็นรูปแบบเฉพาะ คือ ปั้นลำตัวแยกจากส่วนหัว ขึ้นรูปด้วยมือ แล้วตกแต่งด้วยการปั้นแปะเพิ่ม ขูดขีดทำให้เกิดร่องหรือลวดลาย ส่วนหัวค่อนข้างหนาและหนักกว่าส่วนลำตัว ลำตัวกลวงและมีรู เพื่อใช้เป็นส่วนยึดติดกับโครงสร้างอื่น ๆ ทาน้ำดินสีขาว และเขียนลวดลายต่าง ๆด้วยสีน้ำตาลหรือสีดำ เช่น ลายลูกประคำ ลายกระจัง ลายกระหนก เป็นต้น จากนั้นเคลือบด้วยน้ำเคลือบสีขาวนวล ..จากการดำเนินการทางโบราณคดีที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรมักพบชิ้นส่วนมกรสังคโลกหลายแห่ง โดยพบประติมากรรมมกรสังคโลกลักษณะเกือบสมบูรณ์ ได้แก่ วัดอาวาสใหญ่ และวัดฆ้องชัย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร.จากข้อมูลดังกล่าวสันนิษฐานว่ามกรที่พบจากการดำเนินการทางโบราณคดีที่วัดตะแบกคู่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์จากแหล่งเตาเมืองสุโขทัย สำหรับใช้เป็นเครื่องประกอบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม เช่น เป็นส่วนประกอบเครื่องบนหลังคา หรือประดับบันไดทางเข้าโบราณสถาน และน่าจะมีอายุร่วมสมัยกับมกรที่พบในโบราณสถานใกล้เคียงอันได้แก่ วัดอาวาสใหญ่ และวัดฆ้องชัย คืออายุประมาณราวพุทธศตวรรษที่ 20-21.การประดับพุทธศาสนสถานด้วยผลิตภัณฑ์จากแหล่งเตาเมืองสุโขทัยในเมืองกำแพงเพชรเป็นการแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ทางหนึ่งถึงการเป็นเมืองร่วมสมัยและการรับอิทธิพลทั้งความเชื่อและรูปแบบศิลปกรรมเมืองกำแพงเพชรจากอาณาจักรสุโขทัย..เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร, นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร, (กรุงเทพฯ :บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด, 2557),ธงชัย สาโค. สังคโลกเตาทุเรียงเมืองสุโขทัย ข้อมูลใหม่จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2564.สมิทธิ ศิริภัทร และมยุรี วีระประเสริฐ. ทับหลัง การศึกษาเปรียบเทียบทับหลังที่พบในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2532.อนันต์ ชูโชติ และดำรงฤทธิ์ สมบูรณ์สิริ. รายงานการขุดแต่งโบราณสถานวัดฆ้องชัย ปีงบประมาณ 2525-2526. กำแพงเพชร: อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, มป.ป.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ขอเชิญรับฟังการบรรยายพิเศษโครงการเผยแพร่ความรู้ประวัติศาสตร์ โบราณคดี พิพิธภัณฑสถานวิทยา และศิลปวัฒนธรรม ประจำปี 2566 ในวันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.30- 16.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
การบรรยายมีหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้
- เวลา 09.30 การบรรยาย เรื่อง พิพิธภัณฑสถาน อะไร อย่างไร โดย นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา.
- เวลา 11.00 การบรรยาย เรื่อง ชมเพลินแหล่งท่องเที่ยวอำเภอสังขะ โดย นางปริญญา สุขใหญ่ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
- เวลา 12.30 เยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดย นายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์
- เวลา 13.30 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หัวข้อ พิพิธภัณฑสถานกับชุมชน โดย คุณนพรัศม์ เมธีวราธนานันท์ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ นางสาวพรธิดา เข็มเพ็ชร์ เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงาน และนายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์
ผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยาย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โทร. 0 4451 3274 หรือทาง Facebook Page : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ กรมศิลปากร
วารสารเครือข่ายกรมศิลปากรเป็นวารสารรายไตรมาสออกทุก ๓ เดือน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช จัดการบรรยายทางวิชาการออนไลน์สาธารณะ ประจำปี พ.ศ.2566 "คนพิพิธภัณฑ์อยากจะเล่า" ครั้งที่ 7 ขอเชิญร่วมฟังเรื่องเล่า ในหัวข้อ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จัดกิจกรรมอย่างไรให้มีความน่าสนใจ" เล่าเรื่องโดย นางสาวธีรนาฎ มีนุ่น ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป
ผู้สนใจสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง facebook live : Thalang National Museum พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
เหรียญรูปปูรณฆฏะและศรีวัตสะ สมัยทวารวดี
เหรียญรูปปูรณฆฏะและศรีวัตสะ จัดแสดงอาคารจัดแสดง ๒ ชั้น ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
เหรียญเงินกลมแบน เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕ เซนติเมตร มีรูปสัญลักษณ์มงคลทั้ง ๒ ด้าน แต่ละด้านมีรายละเอียด ดังนี้
ด้านที่ ๑ มีรูปปูรณฆฏะขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ตรงกึ่งกลางเหรียญ โดยมีลักษณะเป็นหม้อทรงกลม ป่องกลาง คอคอด ปากกว้างผายออก มีลายพันธุ์พฤกษาห้อยลงมาทั้งสองข้าง ใต้หม้อมีสิ่งรองรับอาจเป็นใบไม้หรือดอกไม้ ขอบด้านนอกตกแต่งด้วยลายจุดกลมโดยรอบ
ด้านที่ ๒ มีรูปศรีวัตสะ และสัญลักษณ์มงคลอื่นๆ ประกอบ โดยมีศรีวัตสะอยู่ตรงกึ่งกลาง ลักษณะเป็นโครงลายเส้น โดยเส้นฐานล่างเป็นเส้นตรง เส้นด้านข้างทั้งสองด้านเชื่อมกับเส้นฐานล่าง ส่วนด้านบนตรงกึ่งกลางมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านในมีรูปวัชระ ลักษณะเป็นอาวุธมีปลายแฉกทั้ง ๒ ด้าน ส่วนบนด้านขวาเป็นรูปพระอาทิตย์ และด้านซ้ายเป็นรูปพระจันทร์ ถัดลงมาด้านขวามีรูปอังกุศ (ขอสับช้าง) ลักษณะเป็นแท่งยาวมีปลายแหลมยื่นออกมาที่ด้านข้าง ส่วนด้านซ้ายสันนิษฐานว่าเป็นภาพจามร (แส้) ลักษณะเป็นแท่งยาวมีพู่ ใต้ศรีวัตสะมีรูปปลาหันไปทางขวา
ลวดลายที่ปรากฏบนเหรียญเป็นสัญลักษณ์มงคลที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์และความอุดมสมบูรณ์ พบเหรียญตราในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ตามแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี แต่มีรายละเอียดสัญลักษณ์มงคลบางประการแตกต่างกันออกไป ได้แก่ เหรียญรูปสังข์และศรีวัตสะ เหรียญรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ เหรียญรูปภัทรบิฐและศรีวัตสะ เหรียญรูปสัตว์และศรีวัตสะ เป็นต้น
นอกจากเหรียญตราชิ้นนี้แล้ว ยังพบเหรียญรูปปูรณฆฏะและศรีวัตสะที่มีรายละเอียดของลวดลายแตกต่างกันบางประการอีกจำนวนหนึ่ง ที่เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม และแหล่งโบราณคดีบ้านพรหมทิน จังหวัดลพบุรี กำหนดอายุเหรียญตราชิ้นนี้ในสมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ หรือประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
เอกสารอ้างอิง
วิภาดา อ่อนวิมล. “เหรียญตราในประเทศไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๖”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑.
ประเพณีการแอ่วสาว ผิดผี และความเชื่อเรื่องผีประจำตระกูล อาณาจักรหลักคำ หรือกฎหมายเมืองน่าน สร้างขึ้นและใช้ในพุทธศักราช ๒๓๙๖ – ๒๔๕๑เพื่อใช้เป็นกฎหมายเฉพาะของเมืองน่าน และเมืองต่างๆ ที่ขึ้นกับเมืองน่าน ในด้านความเชื่อชาวน่านนับถือพุทธศาสนาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามความเชื่อในเรื่องผีก็ยังคงอยู่ในวิถีชีวิตอยู่ไม่น้อย เช่น การนับถือผีปู่ย่าตายาย หรือผีบรรพบุรุษ เมื่อบรรพบุรุษเสียชีวิตไปก็เชื่อว่าวิญญาณของท่านเหล่านั้นยังวนเวียน หรือไปสู่สุคติแล้วบางโอกาสยังมาดูแลเป็นที่พึ่งของลูกหลานอยู่ เช่น ผีเรือน ผีปู่ย่า เป็นต้น รวมถึงผีประจำในชุมชนที่มีฐานะเป็นผีเมืองหรือผีอารักษ์ โดยส่วนใหญ่ผีระดับเมืองมักออกนามเป็นเจ้าหลวง ซึ่งในอดีตเป็นเจ้าเมือง ผู้นำ หรือผู้ปกครอง ที่ได้รับความเคารพนับถือ มีวีรกรรมความกล้าหาญ หรือแม้กระทั่งการตายที่ผิดปกติ บางหมู่บ้านยังมี ใจบ้าน เป็นเสาหลักปักกลางหมู่บ้าน เป็นสิ่งที่คู่กันมากับการตั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าสามารถให้คุณให้โทษ ต้องเคารพบูชาหรือเซ่นไหว้ตามประเพณีในทุกๆปี แอ่ว ในภาษาโบราณแปลว่าเกี้ยวสาว ซึ่งระยะหลังนอกจากเป็นคำกริยาที่แปลว่า เที่ยวไป หรือไปหา เพื่อประสงค์ความสนุกหรือสบาย การแอ่วสาวหรือการไป "จีบผู้หญิง" เป็นกิจกรรมที่พวกบ่าวหรือชายหนุ่มจะไปกันในเวลากลางคืน โดยเริ่มเวลาประมาณตั้งแต่ ๒ ทุ่มขึ้นไป การไปนั้นอาจไปคนเดียว ไป ๒ คน หรือไปเป็นกลุ่ม บางกลุ่มอาจบรรเลงเครื่องดนตรีไปตามทางด้วยเครื่องดนตรีก็มีสะล้อ ซึ่ง ขลุ่ย ในระหว่างที่เดินทางบ่าวอาจจะช้อย (อ่าน "จ๊อย") หรือขับเพลงไปตามทางด้วย การแอ่วสาวเป็นการเสนอตัวของฝ่ายชายให้สาวเป็นผู้เลือกคู่ครอง โดยชายจะขอความรักความเห็นใจจากฝ่ายหญิง การอู้สาวก็คือการพูดจาเกี้ยวหญิง เมื่อหญิงใดอยู่นอกก็แสดงว่าพร้อมที่จะเลือกคู่ ในการไปแอ่วสาวซึ่งอยู่ในหมู่บ้านหรือตำบลที่อยู่ห่างไกลพวกหนุ่มจะพกอาวุธเพื่อป้องกันตัวในระหว่างการเดินทางไปด้วยอาวุธส่วนใหญ่จะเป็นมีดเล็กปลายแหลมที่เรียกว่า มีดซุยหรือไม่ก็เป็นดาบแลว ซึ่งเป็นดาบขนาดกลาง การนำอาวุธติดตัวไปก็เพื่อการป้องกันตัว ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากคนร้ายหรือสัตว์ร้าย ซึ่งเมื่อไปถึงบ้านสาวก่อนจะขึ้นบ้านจะต้องนำอาวุธเหล่านั้นซ่อนไว้ข้างล่าง เช่น ตามโคนไม้ พุ่มหญ้าจะไม่นำขึ้นบ้านสาว เพราะว่าสาวจะไม่ชอบถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแก่สาว ในอาณาจักรหลักคำเมื่อแอ่วสาวผู้ชายห้ามพกอาวุธ ปกปิดหน้าตา ดังข้อความที่ว่า....อัน 1 ด้วยคนทังหลายและร้างบ่าวอันเป็นลูกเจ้าหลานนาย ลูกท้าวหลานขุนไพร่ไทยทังหลาย แอ่วค่ำมาคืนก็ดี แอ่วร้างจาสาวตามปเวณีบ้านเมือง อย่าได้ถือสาตราอาวุธและกระทำตัวบ่หื้อหันหน้า หันตาและบ่หื้อรู้จักตัว พ้อยเอาผ้าปกบังเสีย กระทำฉันนี้บ่แม่นปเพณีบ้านเมือง เหตุบ่รู้จักว่าเป็นผู้ร้ายผู้ดี อย่าหื้อได้กระทำเป็นอันขาด คันว่าบุคคลผู้ใดบ่ฟังยังกระทำจับตัวได้ จักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้เฆี่ยน 30 แส้..การเสียผี.เสียผีหรือใส่ผี คือพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่จัดทำขึ้นเมื่อเกิดการผิดผีขึ้นในครัวเรือน เมื่อทำเรื่องผิดจริยธรรมหรือผิดผี ผิดจารีตประเพณีจึงต้องเซ่นพลีเสียผีตามความผิดที่หนักเบาเพื่อให้ผียกโทษ ทั้งนี้เพราะในเรือนนั้นจะมีผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษของแต่ละตระกูล ผีนี้จะให้คุณให้โทษแก่บุคลคลในเรือน โดยเฉพาะในกรณีที่มีลูกสาวอยู่ในเรือนด้วยนั้นจะต้องระวังไม่ให้มีการผิดผีเกิดขึ้น การผิดผีในกรณีนี้หมายถึงการที่หญิงสาวถูกชายถูกเนื้อต้องตัวทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง ทั้งโดยความยินยอมหรือไม่ยินยอมของหญิงก็ตาม ทั้งฝ่ายชายล่วงล้ำจนถึงธรณีประตูเรือนนอนของฝ่ายหญิง ชายนั้นจะต้องเสียผีทุกกรณี หรือการเสียเงินค่าผี หรือเลี้ยงผีบรรพบุรุษตามประเพณีในกรณีที่ผู้ชายทำผิดผี และฝ่ายหญิงก็พึงพอใจที่จะได้ชายนั้นมาเป็นคู่ครอง หญิงก็จะบอกให้พ่อแม่ของตนไปสัญญาคือบอกกล่าวแก่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายให้ไปเสียผีตามธรรมเนียมและจะได้จัดการแต่งงานกันต่อไปการเสียผีในกรณีนี้เรียกว่า ใส่เอาส่วนการเสียผีอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า ใส่บ่เอา หรือเสียผีไม่เอา ในกรณีที่บ่าวสาวไม่ปลงใจจะแต่งงานกัน แต่เกิดการผิดผีขึ้นแล้ว ฝ่ายชายจะต้องเสียผี การเสียแบบนี้ต้องเสียเงินมากกว่าการใส่เอาและนับเป็นเรื่องที่น่าอาย สาวที่ถูกชายผิดผีแล้วไม่เอาเป็นเมียนั้นจะถูกนินทา บางคนถูกหนุ่มหลอกผิดผีหลายครั้งจนอายถึงกับต้องย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นเพื่อไม่ให้ฝ่ายชายกระทำผิดประเพณีการลักลอบขึ้นบ้านฝ่ายหญิงแล้วมีการได้เสียกันแต่ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ กฎหมายอาณาจักรหลักคำจึงให้ฝ่ายชายจ่ายเงินให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง ไม่ว่าเป็นหญิงชาวบ้านหรือลูกหลานเจ้านายและห้ามต่อรอง อัตราค่าเสียผีเป็นเงินจำนวนมากหรือน้อยนั้น แล้วแต่ผีของฝ่ายสาวกินไก่หรือหมูหรือควาย ดังนี้... คันว่าผู้ญิงมานแล้ว พ้อยบ่เอา หื้อแปงค่าเดือนไฟ 72 น้ำผ่ายากต่อเกิ่ง คันออกดีเป็นแล้ว คันออกบ่ดีตาย หื้อเสียค่าเฝ้า 330 น้ำผ่ายากต่อเกิ่ง ในเนื้อความทังหลายฝูงนั้น คันได้ชำระกันเถิงกว้านหื้อขุนกินยากต่อเกิ่ง คันว่าบ่ได้ชำระ หากยอมกันนอก กว้านด้วยดี หื้อเอายากเกิ่งยากด้วยลายแปงผีนั้น คันว่าผีกระกูลกินควายก็ดี ผีกินหมูก็ดี ผีกินไก่ก็ดี หื้อแปงผีกินควายตัวเดียวหื้อเป็นแล้ว คันว่าผีกระกูลกินหมูก็ดี ผีกินไก่ก็ดี หื้อแปงผีกินหมูตัวเดียวเป็นแล้ว...#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน #ฮาโลวีน #ผิดผี เอกสารอ้างอิงชฎาพร จีนชาวนา. การวิเคราะห์สังคมเมืองน่านจากกฎหมายอาณาจักรหลักคำ (พ.ศ.2395-2451). ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2549.ศรีเลา เกษพรหม. "แอ่วสาว (การไปจีบผู้หญิง)ง)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 15. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.อู้สาว (พูดคุยเกี้ยวสาว)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 15. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542
ชื่อเรื่อง สพ.ส.47 กฎหมายประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยขาวISBN/ISSN -หมวดหมู่ กฏหมายลักษณะวัสดุ 30; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง กฏหมาย ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ประวัติวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 16 ส.ค..2538
พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ แห่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี
..
ภายในห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร ชั้นล่างของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี มีการจัดแสดงพระพุทธรูปยืนปางห้ามพระแก่นจันทน์อยู่ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูปยืนที่หล่อขึ้นจากโลหะผสมประเภทสำริด มีการตกแต่งพระพุทธรูปองค์นี้ด้วยการลงรักปิดทองและประดับกระจก และทำลวดลายบนจีวร ด้วยเทคนิคขึ้นลายด้วยรักกระแหนะ
..
พระพุทธรูปยืนปางห้ามพระแก่นจันทน์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถยืน พระกรขวาทอดลงข้างพระวรกาย พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นมาเสมอพระอุระ แสดงอภัยมุทรา มีการครองจีวรห่มเฉียง โดยจีวรนั้นมีการตกแต่งลวดลายให้เป็นลายดอกพิกุล ด้วยเทคนิคขึ้นลายด้วยรักกระแหนะ ซึ่งเป็นเทคนิคของช่างที่ทำให้ลวดลายของจีวรคมชัด ซึ่งจีวรลายดอกพิกุลนี้เป็นที่เป็นที่นิยมมากในการสร้างพระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทร์เลยก็ว่าได้
..
พระพุทธรูปยืนองค์นี้ปรากฎอุษณีษะ พระรัศมีหักหายไป และยังมีความชำรุดของผิวพระพุทธรูปด้วยลวดลายบางส่วนแตกหลุดหายไป ตามกาลเวลา พระพุทธรูปยืนองค์นี้ ยืนบนฐานบัวทรงกลม ที่รองรับด้วยฐานแปดเหลี่ยมที่ซ้อนกัน ๔ ชั้น บริเวณฐานพระพุทธรูปชั้นล่างสุด ด้านหน้า ปรากฎจารึกว่า “นายพุ้ม เป็นที่หลวงประชุม คุนแม่ทิมภรรยา ทร่างแต่ปี ๑๑๖” จากจารึกดังกล่าวทำให้ทราบว่าพระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑
..
ความเป็นมาของการสร้างพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ มีอยู่ว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งเมืองสาวัตถีและชาวเมือง
ต่างระลึกถึงพระพุทธองค์ พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงโปรดให้ช่างสลักรูปพระพุทธองค์ด้วยไม้แก่นจันทน์หอมอย่างดี ประดิษฐานไว้บนพระแท่น ในพระราชนิเวศน์เดิมของพระพุทธเจ้า เพื่อไว้ทรงกราบไหว้บูชา ครั้นต่อมาเมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาถึงที่ประทับ พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์นั้นก็เสมือนมีชีวิตจิตใจ จึงได้ลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพพระพุทธองค์ พร้อมกับเคลื่อนองค์ออกจากพระแท่นที่ประทับ แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ยกพระหัตถ์ซ้ายห้ามเอาไว้ พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์จึงกลับขึ้นประทับยังพระแท่นที่ประทับดังเดิม
พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์องค์นี้ เดิมอยู่ที่วัดพระบรมธาตุวรวิหาร โดยพระชัยนาทมุนี (นวม สุทัตโต) เป็นผู้รวบรวมไว้ ภายหลังจึงมอบให้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี เก็บรักษาและจัดแสดงจวบจนถึงปัจจุบัน
ความรู้สึกทั้งหมด
2828
โบราณสถานวัดน้ำรอบ
ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑ บ้านน้ำรอบ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วัดน้ำรอบ เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา พร้อมกันกับวัดถ้ำสิงขร และวัดเขาพระอานนท์ มีตำนานกล่าวว่า ในอดีตมีลูกสาวชาวบ้านน้ำรอบนางหนึ่งได้เป็นพระสนมในพระเจ้าแผ่นดิน พี่ชายมีความปรารถนาที่จะพบน้องสาวจึงบวชเป็นพระไปศึกษาบาลีในเมืองหลวงจนสำเร็จเปรียญ และต่อมาได้รับนิมนต์เข้าไปรับสลากภัตในพระราชวัง ทำให้ได้พบกับพระสนมผู้เป็นน้องสาว พระสนมกราบบังคมทูลให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบ จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้น ๓ วัดคือ วัดถ้ำสิงขร วัดน้ำรอบ และวัดเขาพระอานนท์
สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ อุโบสถ สร้างด้วยไม้ตำเสา เป็นอาคารทรงไทยหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและปีกนกรองรับ ๒ ชั้น หลังคาแอ่นโค้งคล้ายท้องสำเภาผนังโบสถ์เป็นผนังเตี้ย ก่ออิฐฉาบปูนตำ อิฐก่อขึ้นมาจากพื้น ไม่มีฐานบัวรองรับเหมือนโบสถ์ทั่วไป สันนิษฐานว่าของเดิมอาจเป็นไม้ทั้งหลัง
ภายในอุโบสถปรากฏงานศิลปกรรมท้องถิ่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวรัชกาลที่ ๓ นอกจากนี้ยังพบเจดีย์ราย ก่ออิฐอีก ๒ องค์ ตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถทางทิศตะวันออก และฐานเจดีย์ก่ออิฐ ย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก เหลือเพียงส่วนฐานกับตอนล่างขององค์ระฆัง อยู่ทางด้านทิศเหนือของอุโบสถ
ส่วนโบราณวัตถุที่พบ ได้แก่ พระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืนปางห้ามญาติ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร สำริด พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรสำริดลงรักปิดทอง และศิลาจารึก ทำจากหินชนวนเป็นจารึกอักษรไทย ภาษาไทย จารึกใน พ.ศ. ๒๓๙๑ สันนิษฐานว่าเป็นเนื้อความย่อจากเอกสารกัลปนา วัดน้ำรอบ
อายุสมัย : สมัยอยุธยา - สมัยรัตนโกสินทร์
โบราณสถานวัดน้ำรอบ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๔ ตอนพิเศษ ๘๐ ง หน้า ๕ วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๘๑ ตารางวา
จัดทำโดย
นางสาวเพ็ญณิกา เตี้ยพานิช นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพสาขาวิชาการจัดการทางวัฒนธรรม
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
คณะจาก อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ (เวลา 13.30) จำนวน 150 คนวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๓.๓๐ น. คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอบางพลี จ.สมุทรปราการ เข้าศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีนายธิริทธิ์ เรืองทวีทรัพย์ ตำแหน่ง หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ และว่าที่ร้อยตรีรุ่งเรือง ชื่นชม ตำแหน่ง พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญฟังการบรรยายเรื่อง "กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์กับละครร้อง" ภายใต้โครงการเผยแพร่ความรู้ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ฯ ประจำปี 2567 วิทยากรโดย ผศ. ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้ช่วยอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ณ อาคารดำรงราชานุภาพ 2490 ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 08 6891 2548, 08 9545 3194 9 สามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live : National Library of Thailand https://www.facebook.com/NationalLibraryThailand