ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

        ศูนย์หนังสือกรมศิลปากรขอแนะนำน่าอ่าน หนังสือ “มหาเวสสันดรชาดก คาถาพัน และ นิบาตชาดก” ฉบับสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช 2566 เป็นหนังสือที่นำเสนอเรื่องมหาเวสสันดรชาดก นิทานชาดกที่ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของพระเวสสันตรโพธิสัตว์ อันเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างสรรค์วรรณคดีไทยหลายเรื่อง ประกอบด้วย คาถาพัน คือเวสสันตรชาดกในมหานิบาตชาดกที่แต่งเป็นคาถาหรือร้อยกรองภาษาบาลีในพระไตรปิฎก (ตรวจสอบจากฉบับกรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่พุทธศักราช 2514) และ นิบาตชาดก คืออรรถกถาเวสสันตรชาดกที่พระภิกษุและคฤหัสถ์ผู้รู้ภาษาบาลีแปลและเรียบเรียงเป็นร้อยแก้วภาษาไทย ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรวจสอบจากหนังสือ “นิบาตชาดก เล่ม 22 เวสสันตรชาดก ในมหานิบาต” ฉบับพุทธศักราช 2474 พร้อมทั้งนำพระบรมราชาธิบายเรื่องนิบาตชาดก พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารวมพิมพ์ไว้ด้วย หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจเรื่องชาดกและวรรณคดีพุทธศาสนาต่อไป        จำหน่ายราคาเล่ม 400 บาท ผู้สนใจสามารถซื้อได้ที่ร้านหนังสือกรมศิลปากร (อาคารเทเวศร์) หรือสั่งซื้อหนังสือทางออนไลน์ https://bookshop.finearts.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ศูนย์หนังสือกรมศิลปากร (ในวันและเวลาราชการ) *(ออกแบบภาพประกอบ ณภัทร เตชพาหพงษ์)  



ผู้แต่ง : ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเชียงใหม่ ปีที่พิมพ์ : 2539 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.      เชียงใหม่มีอายุยืนยาวนานมาถึง 700 ปี ในปีพ.ศ. 2539 เป็นปีที่มีความหมายสำหรับชาวเชียงใหม่ ที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมือง โดยเฉพาะเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามหลายสิ่งหลายประการที่ได้นิยมนับถือปละปฏิบัติสืบสานกันต่อมา ในด้านวัฒนธรรมประเพณีท่านที่มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ พระสงฆ์องค์เจ้า ได้รวบรวมจัดทำคู่มือเป็นหนังสือรูปเล่มอยู่จำนวนไม่น้อย ที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเป็นแบบปฏิบัติในด้านประเพณีต่างๆ ของบ้านเมืองไว้เป็นมรดกตกทอดสืบสานต่อไปยังลูกหลาน ในวาระที่บ้านเมืองมีอายุได้ถึง 700 ปีในครั้งนี้ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเชียงใหม่จึงได้รวบรวมเรียบเรียงประเพณีที่ดีงามต่างๆ ของท้องถิ่น และยังมีความจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตประจำวันขึ้นในเวลาที่เป็นมงคล



โบราณสถานนอกกำแพงเมืองทิศตะวันออก ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดตระพังช้าง   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองบริเวณห่างจากมุมกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก  เฉียงเหนือประมาณ ๓๐๐ เมตร   และฝั่งตะวันออกของห้วยแม่ลำพันบริเวณที่เป็นคันดินยกพื้นสูง ที่เรียกว่าคันน้ำอ่างเก็บน้ำโบราณหมาย  เลข ๒ ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๓๕ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๒ ลิปดา ๕๙ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถาน ไม่ทราบรูปร่าง มีแนวก่ออิฐและร่องรอยของชิ้นส่วนกระเบื้องมุงหลังคา เนินโบราณสถานแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เมตร ทางทิศตะวันออกของโบราณสถาน มีสระน้ำใหญ่ขนาดกว้าง ๕๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร อยู่ เรียกว่า ตะพังช้าง เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานกลุ่มนี้   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา     เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ขุดแต่ง พ.ศ.2556 ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดโบสถ์   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยทางด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากมุมกำแพงเมืองด้าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และอยู่ในเขต อ่างเก็บน้ำโบราณหมายเลข ๒ ใกล้กับคันดินกั้นน้ำ บริเวณมุมอ่างเก็บน้ำด้านทิศ ตะวันออกเฉียงใต้  ในเขตตำบลเมืองนา อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถานที่อยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำโบราณ โดยมีร่องรอยแนวศิลาแลงเป็นผนังกั้นดินอยู่โดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพื้นที่กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร บนเนินดินเป็นซากโบรานสถานยังไม่ได้ขุดแต่งและบูรณะ มีร่องร่อยของการเรียงอิฐ และเสาศิลาแลงกลม ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นอุโบสถกลางน้ำ ตามชื่อที่เรียก   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา     เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบูรณะ ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดปากท่อ   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองเก่าสุโขทัยด้านทิศตะวันออก โดยห่างจากมุมกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ออกมาทางทิศตะวันออกประมาณ ๑.๖ กิโลเมตร และอยู่ติดกับมุมด้านนอกของอ่างเก็บน้ำโบราณหมายเลข ๒ ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยห่างประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๒๘ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๑ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถาน ไม่ทราบรูปร่าง มีร่องรอยของแนวอิฐและเสาศิลาแลงกลมปรากฏอยู่ เส้นผ่าศูนย์กลางของโบราณสถานนี้ประมาณ ๒๗ เมตร โบราณสถานนี้มีร่องรอยของคูน้ำล้อมรอบบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๒๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร คูน้ำตื้นเขินไปมากแล้ว ขนาดความกว้างของคูประมาณ ๗-๘ เมตร   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ขุดแต่ง พ.ศ.2556 ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดอีฝ้าย   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากวัดหญ้ากร่อนไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๕๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๒๐ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๐ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถานมีแนวเรียงอิฐและเสาศิลาแลงกลม ไม่ทราบรูปร่างแน่ชัด มีขนาดของเนินดินกว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๕ เมตร   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ขุดแต่ง พ.ศ. 2555 ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดหญ้ากร่อน   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๔๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากห้วยแม่ลำพันไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑๕๐ เมตร  ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๑๕ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๐ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                      สุโขทัย   ลักษณะและสภาพ                            เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่โดยรอบเนินที่ตั้งมีคูน้ำล้อมรอบอยู่ทั้ง ๔ ด้าน กลุ่มโบราณสถานวัดหญ้ากร่อนนี้ประกอบด้วย โบราณสถานดังต่อไปนี้ ๑.      ฐานวิหาร ๕ ห้อง ก่ออิฐ และมีเสาทำด้วยศิลาแลงกลม ขนาดกว้างประมาณ ๘ เมตร ยาว ๑๘ เมตร ตั้งอยู่กลางเนิน ๒.      ฐานเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ขนาด ๑๒ x ๑๒ เมตร ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่ด้านหลัง หรือทิศตะวันตกของวิหาร ๓.      ฐานเจดีย์รายก่ออิฐ จำนวน ๔ องค์ ตั้งอยู่เรียงรายทั่วไป ๔.      ฐานวิหารเล็กก่ออิฐ เสาทำด้วยศิลาแลง ขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างกลางของวิหาร ๕ ห้อง กับเจดีย์ประธานทรงกลม ๕.      ฐานศาลาก่ออิฐ ทำด้วยศิลาแลงกลม ขนาด ๔ เมตร ยาว ๕ เมตร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารใหญ่ ๖.      คูน้ำที่ล้อมรอบกลุ่มโบราณสถานทั้งหมดไว้มีขนาดกว้างประมาณ ๖ เมตร ล้อมรอบพื้นที่ที่ตั้งโบราณสถานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดกว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา     เล่ม ๔๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่    ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ขุดแต่งและบูรณะ พ.ศ. ๒๕๑๕



 อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรน้อมใจปลูกดอกไม้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดีและถวายความอาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ทำโครงการปลูกต้นไม้มงคลจำนวน ๒๕๐ ต้น ดาวเรือง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ต้น และปอเทือง จำนวน ๓๐ ไร่ ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร รวมทั้งปล่อยพันธุ์ปลา ๕๐,๐๐๐ ตัวลงคูเมืองกำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ และเป็นการสนองนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่ชวนคนไทยร่วมกันปลูกดอกดาวเรืองหรือดอกไม้สีเหลืองให้บานสะพรั่งทั่วแผ่นดินในห้วงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ ขณะนี้ดอกปอเทืองเริ่มออกดอกสีเหลืองมาตั้งแต่ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ และคาดว่าจะบานสะพรั่งในช่วงวันพระราชพิธี และบานต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ส่วนดอกดาวเรืองจะเอาออกมาประดับสถานที่ในช่วงใกล้วันพระราชพิธี  โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร สถานีพัฒนาที่ดินกำแพงเพชร สถานีวิจัยประมงน้ำจืดจังหวัดกำแพงเพชร ภาคเอกชน และประชาชนในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาเที่ยวชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ทุ่งปอเทืองได้ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเขตภายในกำแพงเมืองใกล้ประตูผี นอกจากจะได้ถ่ายภาพที่สวยงามกับทุ่งปอเทืองแล้ว ยังสามารถเที่ยวชมโบราณสถาน กำแพงเมือง ป้อม ประตูเมืองโบราณกำแพงเพชรได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทางอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรขอความกรุณาเพียงอย่าเหยียบย่ำทำให้ต้นปอเทืองเสียหาย และช่วยกันรักษาความสะอาดพื้นที่ เพื่อถนอมให้ต้นปอเทืองสวยงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งการถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันเปรียบประดุจ"พ่อ" ผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรา  ที่ไหนๆก็มีปอเทือง ที่ไหนๆก็มีโบราณสถาน แต่ที่นี่มีปอเทืองอยู่กับโบราณสถาน คือผลพลอยได้จากการแสดงออกถึงความรักและอาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ การท่องเที่ยวและการถ่ายภาพสวยงาม...แท้จริงเพื่อคลายความทุกข์โศกและเยียวยาจิตใจของพวกเราชาวไทยมิให้เศร้าโศกจนสุดทน ผลที่ได้ตามมาคือการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อเตรียมฟื้นคืนผืนป่าตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ มาแล้วอย่าลืมเลยไปเที่ยวโบราณสถานสำคัญในเขตอรัญญิก และเขตวัดพระแก้ว วัดพระธาตุ กลางเมืองกำแพงเพชร มีค่าใช้จ่ายเขตละ ๒๐ บาทสำหรับคนไทย และเขตละ ๑๕๐ บาทสำหรับชาวต่างชาติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ๐๙๕-๓๐๗-๘๒๑๑ , ๐๕๕-๘๕๔-๗๓๖ , ๐๕๕-๘๕๔-๗๓๗




วันพุธที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. คณะผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยว จังหวัดสุรินทร์ จำนวน ๔ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมี นางสาวอรุณี แซ่เล้า หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม


พระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ กับจังหวัดชัยนาท                  ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นต้นมา  พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมพสกนิกรทั่วภูมิภาคแม้แต่ในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ  ทรงตรากตรำพระวรกายเข้าไปแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือพสกนิกร เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขเป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วไป สมดังพระปฐมบรมราชโองการ ที่พระราชทานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “….เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม…”             ซึ่งพระองค์ได้ทรงถือปฏิบัติตามพระราชปณิธานดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอตลอดมาจนบังเกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองและพสกนิกรเป็นอเนกอนันต์              พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร  ตำบลชัยนาท  อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท และได้เสด็จประทับแรม ณ เขื่อนเจ้าพระยา  ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๙๘ เสด็จทอดพระเนตรความก้าวหน้างานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา 




***บรรณานุกรม*** หนังสือหายาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.  ประชุม : พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ที่ทรงบริหารราชการแผ่นดิน ภาคที่ ๓  (ตอน ๒) ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๓๔ ถึง พุทธศักราช ๒๔๕๓.  พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๓.


    ชื่อผู้แต่ง         พระภัทรศีลสังวร ชื่อเรื่อง           สระ เอะ เอ ในคำพูดภาษาไทใต้ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์ข่าวพาณิชย์ ปีที่พิมพ์            ๒๕๐๙ จำนวนหน้า       ๗๖                         หนังสือ  สระ เอะ เอ ในคำพูดภาษาไทใต้ เล่มนี้ พระภัทรศีลสังวร พิมพ์แจกเนื่องในการได้รับการทรงเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชศีสังวร เป็นการรวบรวมคำภาษาไทใต้ ซึ่งกำลังทำพจนานุกรม  ที่เป็นสระเอะ สระเอ มาให้ความหมาย คำแปล แจกเพื่อสนองความเคารพนับถือต่อคนที่มีมุทิตาจิต  


black ribbon.