ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

          ทับหลังสลักภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ศิลปะลพบุรี (ศิลปะเขมรแบบบาแค็ง) กำหนดอายุ พุทธศตวรรษที่ ๑๕ หรือราว ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว สร้างขึ้นด้วยหินทราย ใช้เทคนิคการจำหลักหรือสลักด้วยเครื่องมือโลหะ ขนาด กว้าง ๘๕.๕ ซม. ยาว ๑๗๕ ซม. หนา ๒๐ ซม. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ได้รับมอบจากอำเภอปราสาท และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุของชาติ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๗           ทับหลังในสถาปัตยกรรมขอม หมายถึง แท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางเหนือกรอบประตูสลักลวดลายภาพเล่าเรื่องทางศาสนา วรรณคดีเกี่ยวกับศาสนา ลายพวงมาลัย ลายใบไม้ เป็นต้น ลายที่ปรากฏบนทับหลังนี้สามารถนำมากำหนดอายุสถาปัตยกรรมได้           ทับหลังชิ้นนี้สลักลายเต็มแผ่น องค์ประกอบภาพแบ่งเป็น ๒ ส่วน มีแนวลายกลีบบัวเป็นเส้นแบ่ง ส่วนบนสุดสลักเป็นซ่องซุ้ม ๑๓ ช่อง มีรูปบุคคลประนมมือ ภาพปรากฏเพียงช่วงอก พื้นที่ตรงกลางสลักภาพพระนารายณ์สี่กรประทับนั่งมหาราชสีลาสนะ พระหัตถ์ขวาบนถือสังข์ พระหัตถ์ขวาล่างถือคฑา พระหัตถ์ซ้ายบนถือจักร พระหัตถ์ซ้ายล่างถือภู ทรงสวมชฎามงกุฎ ประทับนั่งบนไหล่ครุฑที่ยืนบนแท่นรูปกลีบบัวมือสองข้างของครุฑยุคหางนาค ๒ ตัวไว้ ลำตัวนาคสลักเป็นลายดอกไม้สี่กลีบทอดโค้งยาวตามแนวทับหลังทั้งสองข้าง นาคมี ๓ เศียรหันหน้าตรง เหนือลำตัวนาคเป็นลายใบไม้เต็มใบ ใต้ลำตัวนาคเป็นลายใบไม้ม้วน ส่วนล่างสุดของทับหลังเป็นลายกลีบบัวมีเกสร ลวดลายที่ปรากฏบนทับหลังมีลักษณะของศิลปะขอมแบบบาแค็ง ได้แก่ ภาพคนโผล่ออกมาจากซุ้ม แนวลายกลีบบัว ครุฑใบหน้าคล้ายมนุษย์แต่มีจะงอยปาก มีปีก มีขาคล้ายขาสิงห์ ลักษณะจะงอยปากเป็นแบบที่ปรากฏมาแต่ศิลปะขอมแบบพะโค           พระนารายณ์ หรือพระวิษณุ ถือเป็น ๑ ใน ๓ ของเทพผู้ยิ่งใหญ่(ตรีมูรติ) ในศาสนาฮินดู ประกอบด้วย พระพรหมเป็นเทพผู้สร้าง พระนารายณ์เป็นเทพผู้รักษา และพระอิศวร(พระศิวะ)เป็นเทพผู้ทำลาย พระนารายณ์เป็นเทพเก่าแก่ของอินเดียตั้งแต่ยุคพระเวท เดิมเป็นหนึ่งในเทพแห่งแสงอาทิตย์ เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์ มีหน้าที่ก้าว ๓ ก้าว หรือที่เรียกว่า ตรีวิกรม คือ เป็นเทพแห่งอาทิตย์ตอนเช้า ตอนเที่ยงและตอนเย็น กลุ่มเทพแห่งแสงอาทิตย์ที่มีอยู่หลายองค์ เช่น สุริยเทพเป็นเทพแห่งแสงอาทิตย์ทั้งปวง สาวิตรีเทพแห่งแสงอาทิตย์สีทองยามเช้าและยามเย็น อุษาเทวีเทพแห่งรุ่งอรุณ เป็นต้น จนต่อมาในสมัยมหาภารตะและยุคปาณะ ความรุ่งเรืองของพระนารายณ์จึงเจริญขึ้นจนถือเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ได้นามว่า พระนารายณ์ หมายถึง ผู้เคลื่อนไหวในน้ำ พระนารายณ์เป็นพระโอรสองค์สุดท้ายในบรรดาโอรส ๑๒ พระองค์ของเทวีอทิติกับท้าวกัศปะเทพบิดร แต่บางตำนานในยุคหลังกล่าวว่าอุบัติขึ้นเอง บ้างก็ว่าพระศิวะสร้างขึ้น สถานที่ประทับของพระนารายณ์เรียกว่า ไวกูณฐ์ มีลักษณะเป็นแผ่นทอง มีวิมานประดับด้วยแก้วอยู่กลางเกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนม บัลลังก์คือ พระยาอนันตนาคราช มีพระยาครุฑเป็นพาหนะ พระมเหสีคือ พระลักษมีหรือพระศรีเป็นเทพีแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร           รูปเคารพของพระนารายณ์ จะทำเป็นเทพที่มีเศียรเดียว มี ๔ กร และทรงถืออาวุธหลายอย่าง อาวุธที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของพระนารายณ์ คือ จักร และสังข์ ซึ่งจะต้องถืออยู่เป็นประจำ ส่วนอีก ๒ กร อาจถืออาวุธอย่างอื่นแตกต่างกันไป เช่น คฑา ตรี ดอกบัว บ่วงบาศ ฯลฯ แต่ละอย่างก็มีประวัติความเป็นมาความหมายต่างกัน ดังนี้           - จักร มีชื่อว่า วัชรนาถ หรือจักรสุทรรศน์ เป็นจักรที่พระเพลิงมอบให้เป็นอาวุธ บางตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นจากรัศมี และความร้อนแรงขององค์สุริยเทพ เป็นเครื่องหมายของดวงอาทิตย์และแทนวงโคจรของดวงอาทิตย์รอบจักรวาล           - สังข์ มีชื่อว่า ปาญจะชันยะ มีประวัติเล่าว่าเดิมเป็นเปลือกหอยสังข์หุ้มกายอสูรชื่อ ปัญจชน ต่อมาได้ถูกพระกฤษณะฆ่าตาย จึงได้นำเปลือกสังข์มาใช้เป็นอาวุธ สังข์เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ชีวิต และความอุดมสมบูรณ์ เป็นอาวุธสำหรับขว้างไปทำลายส่วนที่เป็นหัวใจของศัตรูโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังใช้เป็นเครื่องเป่าเพื่อประกาศการเริ่มต้นของเหตุการณ์อันเป็นมงคล สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้           - คฑา มีชื่อว่า เกาโมทก หรือนันทา เป็นสิ่งที่พระเพลิงมอบให้พร้อมจักรวัชรนาถ ส่วนความหมายของคฑา หมายถึง ผู้คุ้มครอง สร้างระเบียบและลงโทษผู้ทำความชั่วร้ายโดยเฉพาะอสูรต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูของเทพเจ้า           - ดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของโลกและการสร้างโลก อย่างไรก็ตามบางครั้งพระนารายณ์จะถือวัตถุรูปกลมในฝ่ามือแทน คือ ภู หรือแผ่นดิน อันเป็นสัญลักษณ์ของโลกเช่นกัน          พระนารายณ์จะทรงฉลองพระองค์อย่างกษัตริย์ สวมมงกุฎ กลางพระอุระจะมีขน พระอุระเป็นเครื่องหมายศรีวัตสะ อันมีกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทรเป็นอิตถีพลังหรือศักติ โดยวิธีรวมตัวเป็นพระนารายณ์อย่างมหัศจรรย์ คือ แทรกตัวผ่านผิวหนังที่อุระข้างขวาเข้าไปสถิตอยู่ในหัวใจของพระนารายณ์ ตรงรอยแทรกเข้าไปนั้นเหลือปรากฏเป็นกลุ่มขนบนรอยปาน ในการสร้างรูปเคารพพระนารายณ์มักแสดงให้เห็นศรีวัตสะในรูปดอกไม้ ๔ กลีบ ทรงขนมเปียกปูน ส่วนผิวกายจะแตกต่างไปตามยุค ซึ่งยุคในเทพนิกายฮินดูได้แบ่งตามคุณงามความดีของมนุษย์ ดังนี้           ๑. กฤดายุค (กฺริดา-) น. เป็นยุคที่มนุษย์ประกอบไปด้วยคุณงามความดี มีธรรมะสูงสุด คือ เต็ม ๔ ใน ๔ ส่วน และมีอายุยืนยาวที่สุด ยุคนี้มีอายุเท่ากับ ๑,๗๒๘,๐๐๐ ปีของโลกมนุษย์ พระนารายณ์ยุคนี้มีผิวกายสีขาว          ๒. ไตรดายุค (ไตฺร-) น. เป็นยุคที่ความดีและความซื่อสัตย์ของมนุษย์เสื่อมลงเหลือ ๓ ใน ๔ ส่วนเมื่อเทียบกับในสมัยกฤดายุค พระนารายณ์มีผิวกายเป็นสีแดง           ๓. ทวาบรยุค (ทะวาบอระ-) น. เป็นยุคที่ความดีของมนุษย์เหลือเพียงครึ่งเดียว หรือเหลือเพียง ๒ ใน ๔ ส่วน เมื่อเทียบกับในสมัยกฤดายุค พระนารายณ์มีผิวกายเป็นสีเหลือง          ๔. กลียุค (กะลี-) น. เชื่อกันว่าเป็นวาระสุดท้ายของโลกเป็นยุคที่ศีลธรรมเสื่อม เป็นยุคที่ความดีของมนุษย์เหลือเพียง ๑ ใน ๔ ส่วน เมื่อเทียบกับในสมัยกฤดายุค และอายุของมนุษย์ก็สั้นลงโดยไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน ช่วงเวลาที่มีแต่ความรุนแรงเลวร้ายเกิดขึ้น พระนารายณ์ยุคนี้มีผิวกายสีดำ---------------------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา---------------------------------------------------------------------อ้างอิง : ๑. ผาสุข อินทราวุธ, รูปเคารพในศาสนาฮินดู. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๒. ๒. พีรพน พิสณุพงศ์, “วิวัฒนาการมนุษยชาติกับเรื่องนารายณ์อวตาร” ศิลปากรปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๓ (พฤษภาคม – มิถุนายน ๒๕๓๘) หน้า ๑๐๙. ๓. ศิลปากร, กรม, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย : แหล่งรวมมรดกวัฒนธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๓๖. ๔. ศิริพร สุเมธารัตน์, หลักฐานโบราณคดีในเมืองสุรินทร์. อุบลราชธานี : โรงพิมพ์ศิริธรรมออฟเซ็ท, ๒๕๕๐.


เลขทะเบียน: กจ.บ.6/1-7:1ก-7กชื่อเรื่อง: พระอภิธมฺมตฺถสงฺคิณี พระมหาปฏฺฐาน เผด็จ ข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูก จำนวนหน้า: 94 หน้า



          ภาคใต้ของไทยมีการค้นพบเหรียญโบราณที่มีรูปสัญลักษณ์มงคลของอินเดีย ซึ่งสันนิษฐานว่าใช้เป็น “เงินตรา” หรือเป็น “สื่อกลาง” ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนทางการค้าในสมัยโบราณ โดยพบมากบริเวณเมืองท่าและเมืองโบราณสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย เช่น แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งโบราณคดีคลองท่อม จังหวัดกระบี่ และแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก จังหวัดพังงา          สำหรับเหรียญที่นำมากล่าวถึงในองค์ความรู้ชุดนี้ คือ “เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ” พบที่บ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ ลักษณะเป็นเหรียญทรงกลมแบน ทำจากโลหะเงิน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย ๓ เซนติเมตร พบทั้งเหรียญที่มีสภาพสมบูรณ์ และเหรียญที่มีการตัดแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ (สองส่วนและสี่ส่วน) ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการตัดแบ่งเหรียญเพื่อให้เป็นหน่วยย่อยในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปพระอาทิตย์ มีเส้นรอบวงและลายไข่ปลาล้อมรอบ ส่วนด้านหลังของเหรียญเป็นรูปศรีวัตสะ และมีสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลล้อมรอบ ประกอบด้วย ฑมรุ (กลอง ๒ หน้า) สวัสดิกะ พระจันทร์ และพระอาทิตย์          รูปพระอาทิตย์ และศรีวัตสะ เป็นสัญลักษณ์มงคลตามคติความเชื่อของชาวอินเดีย มีการศึกษาพบว่าสัญลักษณ์ที่มักปรากฏบนเหรียญโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ ศรีวัตสะ สังข์ และวัวมีโหนก ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มสัญลักษณ์ของมงคล ๘ ประการ (อัษฏมงคล) และกลุ่มสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ (อัฏฐุตตรสตะมงคล) ของอินเดีย และเป็นสัญลักษณ์ที่เคยปรากฏมาก่อนบนเหรียญและตราประทับของกษัตริย์อินเดียสมัยราชวงศ์สาตวาหนะ (พุทธศตวรรษที่ ๕ - ๘) สมัยราชวงศ์คุปตะ (พุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๑) และสมัยราชวงศ์ปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)          ความหมายของสัญลักษณ์รูป “พระอาทิตย์” (Rising Sun) ที่ปรากฏบนเหรียญ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และความเป็นมงคล ซึ่งการบูชาพระอาทิตย์ในฐานะเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และพืชพันธ์ธัญญาหารมีมาอย่างยาวนานในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอินเดียสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์จะพบมากบนเหรียญประเภทเหรียญตอกลาย (punch-marked coins) ของกษัตริย์อินเดียโบราณ โดยมักปรากฏอยู่ด้านหน้าของเหรียญ ส่วนสัญลักษณ์รูป “ศรีวัตสะ” (Srivatsa) แปลตามรูปศัพท์ว่า “ที่ประทับของศรี” เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศรีหรือลักษมีในรูปคชลักษมีหรืออภิเษกของศรี ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง มีการสันนิษฐานว่ารูปศรีวัตสะที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของเหรียญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบมาจากรูปศรีวัตสะที่ปรากฏบนเหรียญของกษัตริย์อินเดียราชวงศ์ศาสวาหนะ (ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๔-๘) ต่อมาเมื่อรูปศรีวัตสะมาปรากฏบนเหรียญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งผลิตโดยกษัตริย์ท้องถิ่น จึงมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรอบศรีวัตสะทำให้มีรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น สำหรับสัญลักษณ์ที่ล้อมรอบศรีวัตสะ ได้แก่ ฑมรุ (กลอง ๒ หน้า) มีความหมายสื่อถึงการสร้างโลก และเป็นสัญลักษณ์ที่มักปรากฏอยู่ในพระหัตถ์ของพระศิวะ ส่วนสัญลักษณ์รูปสวัสดิกะ ถือเป็นหนึ่งในอัษฏมงคล ในพระราชพิธีราชาภิเษก          จากการศึกษาพบว่า เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ พบที่บ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราชดังกล่าวมานี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับเหรียญเงินรูปพระอาทิตย์ - ศรีวัตสะที่พบแพร่หลายในเมืองโบราณสมัยทวารวดีเกือบทุกแหล่งในทางภาคกลางของไทย เช่น เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม และบ้านเมืองอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เมืองออกแก้ว ประเทศเวียดนาม เมืองไบถาโน เมืองศรีเกษตร และเมืองฮาลิน ประเทศพม่า ส่วนในภาคใต้ของไทยพบเหรียญลักษณะเดียวกันนี้ เช่น แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี          ที่น่าสนใจคือพบว่ามีการค้นพบแม่พิมพ์เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ (และแม่พิมพ์รูปสังข์ – ศรีวัตสะ) ในเมืองโบราณสมัยทวารดีในภาคกลางของประเทศไทย เช่น เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และเมืองจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ จึงมีการสันนิษฐานว่าเหรียญดังกล่าวน่าจะมีการผลิตขึ้นเองในรัฐทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย โดยนำเอาสัญลักษณ์มงคลตามความเชื่อของอินเดีย ซึ่งสื่อความหมายถึงความเป็นมงคล ความอุดมสมบูรณ์ และพระราชอำนาจของกษัตริย์มาใช้ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการผลิตเหรียญสำหรับใช้เป็นเงินตรา เพื่อที่จะควบคุมค่าเงินในการค้าขายกับชุมชนภายนอก          ดังนั้น การค้นพบเหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ ที่บ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างระหว่างผู้คนในชุมชนโบราณภาคใต้ กับรัฐทวารวดีทางภาคกลางของไทย รวมถึงบ้านเมืองอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันเหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ จากบ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ดังกล่าว เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช-----------------------------------------------------------เรียบเรียง/กราฟิก: นภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช-----------------------------------------------------------อ้างอิง ๑.ฉวีวรรณ วิริยะบุศย์. เหรียญกษาปณ์ในประเทศไทย .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๑๖. ๒.ผาสุข อินทราวุธ. ทวารวดี การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสมัย, ๒๕๔๒. ๓.อนันต์ โพธิ์กลิ่นกลับ. “การศึกษาความหมายและรูปแบบของตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี,” วิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิตสาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗. ๔.J.Allan. Catalogue of Coins of Ancient India in the British Museum. New Delhi : Oriental Book Reprint Coration, ๑๙๗๕. ๕.Kiran Thaplyal. Studies in Ancient India Seals . Lucknow : Prem


ชื่อเรื่อง                                ภิกฺขุปาติโมกฺข (ปาติโมกข์)  สพ.บ.                                  365/1กประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           72 หน้า กว้าง 4 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี 


พระราชดำรัสด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ “...ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นพิภพนี้มีอยู่จำกัด ในขณะที่ประชากรของโลกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นมาก รวดเร็ว และคนทั้งหลายก็คิดอยากจะประกอบกิจการต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างเกิดขาดแคลน ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะประเทศนั้น ประเทศนี้ แต่เป็นวิกฤตกาลทั่วโลกที่กำลังเป็นอยู่ ทำให้การดำรงชีวิตยากลำบากขึ้นทุกวัน ภาวะเช่นนี้ก็มิใช่จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว “... หากแต่จะต้องเป็นไปโดยตลอดและจะทวี ความรุนแรงขึ้นต่อไป...” แต่ถ้าทุกฝ่ายเห็นใจกัน มีความรอบรู้และเข้าใจว่าเวลานี้ทั่วโลกเกิดความยากเข็ญเพราะภาวะการเงินปั่นป่วนสั่นสะเทือน เพราะขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ๆ หลายอย่าง แล้วพยายามที่จะอะลุ้มอล่วยกัน ไม่เห็นแต่ประโยชน์ตัวข้างเดียว ต่างฝ่ายต่างตั้งใจที่จะค้ำจุนซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ พอที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสะดวกสบาย...”พระราชดำรัสในพิธีพระราชทานเข็มที่ระลึกแก่ผู้บริจาคโลหิตให้สภากาชาดไทย ประจำปี ๒๕๑๗ ครั้งที่ ๔ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๑๘ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


โพธิปกฺขิยธมฺม (โพธิปกฺขิยธมฺม)  ชบ.บ.49/1-10  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.184/11ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  74 หน้า ; 5.5 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 106 (117-122) ผูก 11 (2565)หัวเรื่อง : ปาจิตฺติยปาลิ มหาริภงฺคปาลิ(พระปาจิตตีย์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอเชิญฟัง การเสวนาออนไลน์ เรื่อง “การอนุรักษ์ภาพร่างจิตรกรรมของ กาลิเลโอ คินี: ความท้าทายใหม่ของนักอนุรักษ์” ผ่านทาง facebook live : The National Gallery of Thailand ในวันเสาร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.          นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ผลงานภาพร่างพระราชพิธีบรมราชา ภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เขียนโดย กาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) เป็นต้นแบบ งานจิตรกรรมภายในโดมพระที่นั่งอนันตสมาคม เก็บรักษาอยู่ภายในคลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำลังดำเนินการอนุรักษ์เพื่อนำมาจัดแสดงนิทรรศการถาวรภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยภาพร่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๖ เขียนขึ้นในช่วง พ.ศ. ๒๔๕๔ – ๒๔๕๖ ใช้เทคนิคสีฝุ่นบนผืนผ้าใบ รูปครึ่งวงกลม มีความกว้าง ๙.๓๔ เมตร สูง ๕.๘๐ เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่ และมีอายุกว่า ๑๐๐ ปี นับเป็นความท้าทายในการดำเนินการอนุรักษ์ กรมศิลปากรจึงจัดการเสวนา เรื่อง “การอนุรักษ์ภาพร่างจิตรกรรมของ กาลิเลโอ คินี: ความท้าทายใหม่ของนักอนุรักษ์” เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้และความเป็นมาของโบราณวัตถุชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์งานทัศนศิลป์ของไทย รวมถึงขั้นตอนเทคนิคและวิธีการในการอนุรักษ์ ร่วมเสวนา โดย นายเสน่ห์ มหาผล นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญ (วิทยาศาสตร์การอนุรักษ์) นางพูลศรี จีบแก้ว ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ (วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์) นางสาวโสภิต ปัญญาขันธ์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ           กาลิเลโอ คินี เป็นศิลปินชาวอิตาเลียนผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงโด่งดังจากการนำศิลปะ แบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) มาประยุกต์ใช้กับการเขียนภาพและการออกแบบตกแต่งภายใน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทอดพระเนตรและโปรดปรานผลงานของคินี เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ กาลิเลโอ คินี จึงได้รับการว่าจ้างให้มารับหน้าที่เขียนภาพจิตรกรรมบนโดมพระที่นั่ง อนันตสมาคม          ผู้สนใจร่วมรับฟังการเสวนาออนไลน์ได้ทาง facebook live ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป The National Gallery of Thailand ในวันเสาร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๒๒๒๔


เรื่อง “พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร จากวัดท่าปลา เหนือเขื่อนสิริกิติ์”--- พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์นี้ ได้จากโบสถ์วัดท่าปลา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ในรายงานการสำรวจและขุดค้นโบราณวัตถุสถานเหนือเขื่อนสิริกิติ์ กล่าวว่า “ภายในโบสถ์มีพระประธานหน้าตักกว้าง ๑.๘๐ เมตร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นพระหัตถ์ถือตาลปัตร ด้านขวาของพระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร....”--- สืบเนื่องจากในปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ กรมศิลปากรได้รับแจ้งว่า พระอุโบสถและวิหารวัดจริม วัดท่าปลา และวัดนาโฮ่ง อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์จะถูกน้ำท่วมเมื่อเปิดใช้งานเขื่อนสิริกิติ์ ตามกำหนดที่จะทำการปิดกั้นกระแสน้ำ ในประมาณกลางปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ จึงขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจตรวจค้นโบราณวัตถุที่อาจถูกฝังอยู่ใต้พระอุโบสถและพระวิหาร  ในพื้นที่ดังกล่าว  ในระยะแรกหน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย (ในขณะนั้น) ได้เริ่มสำรวจและขุดค้น วัดทั้งสามแห่งดังกล่าวมา ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๓ - ๑๑ มกราคม ๒๕๑๔  ต่อมาพบว่ามีวัดที่ควรดำเนินการขุดค้นอีก ๓ แห่ง ได้แก่ วัดท่าแฝก วัดหาดลั้ง และวัดห้วยอ้อย จึงดำเนินการขุดค้นในระยะที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑๙  - ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔  และหลังจากการขุดค้น จึงได้มีการสำรวจถ่ายภาพและทำแผนผังวัดอื่นๆ ในเขตพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มเติมอีก ๑๒ แห่ง ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔  ครอบคลุมพื้นที่ ๔ ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าปลา ตำบลจริม ตำบลหาดหล้า และตำบลท่าแฝก--- วัดท่าปลาในอดีตตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำน่าน มีสิ่งก่อสร้างสำคัญ คือ อุโบสถ ๑ หลัง ลักษณะเป็นอาคารทรงเตี้ย เสา ๘ ต้น ๓ ห้อง หลังคาชั้นเดียว มุงด้วยสังกะสี มีลดหลังคายื่นตรงส่วนหน้าของตัวโบสถ์  มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก ขนาดกว้าง ๑.๘๕ เมตร สูง ๑.๘๕ เมตร ผนังโบสถ์ก่ออิฐ ถือปูน มีหน้าต่างและลูกกรงไม้ จำนวน ๔ ช่อง มีเสมารอบโบสถ์ทั้ง ๘ ทิศ  จากการขุดค้นภายในโบสถ์ที่ใต้แท่นฐานพระประธาน พบเงินตรา เช่น เงินพดด้วง เงินเหรียญต่างๆ และขุดพบลูกนิมิต ๔ ลูก วางซ้อนกันอยู่กลางพระอุโบสถ--- พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ศิลปะอยุธยา กำหนดอายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ทำจากไม้ ลงรักปิดทอง ขนาดกว้าง ๔๖ เซนติเมตร สูง ๑๖๘ เซนติเมตร  องค์พระพุทธรูปประทับยืน ยื่นพระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรไว้ทางด้านหน้า พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่งเป็นสัน พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระนาสิกโด่ง ขมวดพระเกศาเป็นเม็ดเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระอังสาผาย บั้นพระองค์เล็ก ครองจีวรห่มคลุม  แลเห็นแนวเส้นรัดประคดและชายพับขอบสบงขนาดใหญ่ทางด้านหน้า--- ปางอุ้มบาตร เป็นชื่อเรียกลักษณะของพระพุทธรูป ในท่ายืน และพระหัตถ์ทั้งสองประคองถือบาตร และพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรยังเป็น ๑ ในพระพุทธรูปประจำวันเกิด วันพุธ (กลางวัน) อีกด้วย   --- ความเป็นมาตามพุทธประวัติของพระพุทธรูปปางนี้ คือ เมื่อพระพุทธเจ้าได้สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์  เหาะขึ้นไปในอากาศต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลาย เพื่อให้พระญาติผู้ใหญ่ได้เห็น และละทิฐิถวายบังคมแล้วจึงได้ตรัสเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก ครั้นแล้วพระญาติทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับโดยไม่มีใครทูลอาราธนาฉันพระกระยาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่า พระองค์เป็นราชโอรสและพระสงฆ์ก็เป็นศิษย์ คงต้องฉันภัตตาหารที่จัดเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระพุทธองค์กลับพาพระภิกษุสงฆ์สาวกเสด็จจาริกไป ตามถนนหลวงในเมืองเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้) อันเป็นกิจของสงฆ์ และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้มีโอกาสชมพระพุทธจริยาวัตรขณะทรงอุ้มบาตรโปรดสัตว์ ประชาชนจึงต่างแซ่ซ้องอภิวาทอย่างสุดซึ้ง แต่พระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็เข้าใจผิดและโกรธพระพุทธองค์หาว่าออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงอธิบายว่าการออกบิณฑบาตเป็นการไปโปรดสัตว์  มิใช่การขอทาน จึงเป็นที่เข้าใจกันในที่สุด --- ปัจจุบัน พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร จากวัดท่าปลา เหนือเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์องค์นี้ ได้จัดแสดง ณ ห้องนิทรรศการชั้นบนของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน อ้างอิง- กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่างๆ. นครปฐม: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๘.- พัชรินทร์ ศุขประมูล และคณะ. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านและจังหวัดน่าน. กรมศิลปากร, ๒๕๔๗. - สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่างๆ. กรมศิลปากร, ๒๕๓๕.- หน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย. รายงานการสำรวจและขุดค้นโบราณวัตถุสถานเหนือเขื่อนสิริกิติ์.เอกสารอัดสำเนา, ๒๕๑๔.




ชื่อผู้แต่ง          พัฒนาการแห่งชาติ, กระทรวง ชื่อเรื่อง            อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์     พระนคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์ของสมาคมสังคมศาสตร์ แห่งประเทศไทย ปีที่พิมพ์           ๒๕๐๗ จำนวนหน้า        ๓๑๖ หน้า หมายเหตุ          พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ๑๗ มีนาคม ๒๕๐๗                        หนังสือเล่มนี้ รวบรวมข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กรมทรัพยากรธรณี,กรมสหกรณ์ที่ดิน,กรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ,กรมพลังงานแห่งชาติ,กรมพัฒนาที่ดิน,กรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์,กรมวิเทศสหกรณ์, กรมชลประทาน และกรมทางหลวง  



ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 36 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 62 (ต่อ) - 63) เรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ต่อ) และเรื่องกรุงเก่า ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2512 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 336 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 36 ภาคที่ 62 (ต่อ) กล่าวถึงเรื่องการเจริญไมตรีกับฝรั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 (ต่อ) ประกอบด้วยการต้อนรับฮารีปากส์ ทูตอังกฤษ, อเมริกัน และฝรั่งเศสแต่งตั้งทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2399, โปรตุเกสแต่งตั้งทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2401, ฮอลันดานำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีเข้ามาเปลี่ยน เมื่อ พ.ศ. 2404 และ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 63 กล่าวถึง เรื่องกรุงเก่า ในส่วนของการแก้คดีพระเจ้าปราสาททอง คำสนองพระราชกระทู้ เป็นต้น



black ribbon.