ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,757 รายการ

วันพุธที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางนงคราญ สุขสม ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี พร้อมด้วยคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้าง เดินทางมาตรวจรับงานบูรณะเจดีย์ วัดเชียงงา ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี งวดสุดท้าย ซึ่งการบูรณะเจดีย์วัดเชียงงาได้แล้วเสร็จเรียบร้อย ตามประวัติความเป็นมาของวัด ระบุว่า กลุ่มชาวพวน ซึ่งอพยพมาจากเมืองเชียงขวางในช่วงสมัยหลังรัชกาลเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) มีจิตศรัทธาร่วมกันก่อตั้งวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ และเรียกชื่อ“วัดเชียงงา” ตามชื่อของหมู่บ้านที่ตั้งตามชื่อเดิมในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เจดีย์วัดเชียงงา ก่อสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๕ เป็นอุทเทสิกเจดีย์สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยจำลองแบบมาจากธาตุฝุ่น พระธาตุสำคัญประจำเมืองคูนหรือเมืองเชียงขวางของชาวพวน เพื่อสักการะบูชา และความเป็นสิริมงคลของชุมชน ลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆัง ศิลปะรัตนโกสินทร์ผสมผสานกับศิลปะลาวและศิลปะมอญ-พม่า มีขนาดความสูง ๒๙.๒๐ เมตร ส่วนฐานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด ๑๔.๒๘ x๑๔.๒๘ เมตร ชั้นล่างสุดเป็นฐานบัวลูกแก้วที่มีท้องไม้ยืดสูง มีการเจาะเป็นช่องโค้งด้านละ ๒ ช่อง เข้าไปยังห้องคูหาใต้ฐานเจดีย์ซึ่งเชื่อมต่อกันโดยรอบ ฐานเจดีย์ชั้นที่สองทำเป็นฐานสิงห์อยู่ในผังเพิ่มมุมไม้ยี่สิบ ตรงกึ่งกลางด้านมีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูป หลังคาซุ้มเป็นรูปเจดีย์ขนาดเล็กตกแต่งด้วยลายปูนปั้น มีราวบันไดนาครับ ทั้ง ๔ ทิศ ตรงมุมของฐานเจดีย์ชั้นที่สองประดับด้วยรูปสิงโตจีนปูนปั้น ถัดเหนือขึ้นไปเป็นชุดฐานบัวลูกแก้ว มีบัวคว่ำ บัวหงายเอนลาด และลูกแก้วขนาดใหญ่อยู่ในผังเพิ่มมุมไม้ยี่สิบซ้อนลดหลั่นกัน ๒ ชั้น รองรับบัวกลุ่ม และองค์ระฆังขนาดเล็กประดับด้วยรัดอกตกแต่งลายเฟื่องอุบะ ลายดอกไม้ ๘ กลีบและลายใบโพธิ์ปูนปั้น เหนือรัดอกขึ้นไปมีรูปยักษ์ยืนถือดอกบัว และบัวคอเสื้อประดับที่ไหล่ระฆัง ไม่มีบัลลังก์ ส่วนยอดประกอบด้วย ปล้องไฉนจำนวน ๙ ชั้น ตกแต่งด้วยลายกลีบบัว และลายดอกเบญจมาศ มีปัทมบาทคั่นระหว่างปล้องไฉนกับปลียอดแบบปลียาว มีบัวลูกแก้วคั่น ส่วนยอดบนสุดประดับฉัตรโลหะผสมฉลุลาย สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ตรวจสอบพบว่าเจดีย์วัดเชียงงาอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จากปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม วัสดุที่ในการก่อสร้าง และอายุของตัวโบราณสถานเอง จึงเสนอของบประมาณรายจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการบูรณปฎิสังขรณ์โบราณสถานในวัดหรือศาสนสถานจากกรมศิลปากร มาดำเนินการบูรณะซ่อมแซมองค์เจดีย์ บูรณะซ่อมแซมกำแพงแก้ว ปรับปรุงพื้นที่ด้านนอกกำแพงแก้ว และจัดทำป้ายข้อมูลประวัติความสำคัญ โดยได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากพระอธิการบุญฤทธิ์ อนามโย เจ้าอาวาสวัดเชียงงา และนางสาวนพวรรณ ป้อมสูง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงงา เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทำให้เจดีย์วัดเชียงงามีความมั่นคงแข็งแรงและงดงาม เป็นปูชนียสถานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของท้องถิ่นและของจังหวัดลพบุรีต่อไป เรียบเรียงโดย : นายเดชา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี


อยู่ในระหว่างดำเนินการจัดพิมพ์


ประติมากรรมดินเผารูปราชยลักษมี พบจากเมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง           ประติมากรรมดินเผารูปราชยลักษมี สูงประมาณ ๙.๕ เซนติเมตร ด้านหน้าเป็นรูปพระลักษมี เกล้าพระศก ทรงกุณฑลทรงกลม พระกรขวาโอบลำตัวสิงห์ที่หมอบอยู่ด้านข้าง สิงห์มีแผงคอม้วนคล้ายลายกระหนก ตาโปน จมูกใหญ่ แยกเขี้ยวยิงฟันคล้ายประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ ที่พบในเมืองโบราณอู่ทอง ด้านหลังประติมากรรมรูปราชยลักษมี ตกแต่งด้วยลวดลายคล้ายเปลวไฟซ้อนกัน รองรับด้วยฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัว กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) มีผู้สันนิษฐานว่า อาจใช้เป็นฝาจุกภาชนะ หรือประดิษฐานเพื่อการเคารพบูชา หรือใช้เป็นเครื่องรางสำหรับติดตัวพ่อค้าหรือนักเดินทาง            ราชยลักษมี เป็นรูปแบบหนึ่งของพระศรี - ลักษมี ซึ่งมักปรากฏคู่กับสิงห์ ในศิลปะอินเดียพบรูปราชยลักษมีปรากฏบนเหรียญตราในลักษณะของพระลักษมี คือ ทรงถือดอกบัว บ่วงบาศหรือตะกร้าแห่งพืชผล นั่งบนหลังสิงห์หรือย่างพระบาทข้ามตัวสิงห์ ส่วนเหรียญอีกด้านเป็นรูปของกษัตริย์ หมายถึงโชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์และเป็นเครื่องยืนยันถึงสิทธิในการเป็นกษัตริย์ ไม่พบการสร้างรูปราชยลักษมีเป็นประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็ก ดังนั้นประติมากรรมราชยลักษมีที่เมืองโบราณอู่ทองนี้ จึงเป็นรูปแบบเฉพาะที่เกิดขึ้นในศิลปะทวารวดี โดยมีการคลี่คลายจากศิลปะอินเดียที่เป็นต้นแบบ โดยการลดทอนรายละเอียดบางประการออกไป ได้แก่ ไม่ทรงถือสิ่งของ และเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งบนหลังสิงห์หรือย่างพระบาทข้ามตัวสิงห์ มาเป็นการนั่งโอบสิงห์            อนึ่ง นอกจากประติมากรรมรูปราชยลักษมีชิ้นนี้แล้ว ในประเทศไทยยังมีการพบประติมากรรมรูปราชยลักษมีอีกอย่างน้อย ๒ ชิ้น ได้แก่ ประติมากรรมดินเผารูปราชยลักษมีประกอบกับประติมากรรมรูปคชลักษมี พบที่เมืองโบราณอู่ทอง ๑ ชิ้น และใบเสมารูปราชยลักษมีจากเมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ๑ ชิ้น ทั้งนี้ยังไม่มีหลักฐานการค้นพบเหรียญตรารูปราชยลักษมีคู่กับกษัตริย์ตามอย่างอินเดีย ดังนั้นประติมากรรมรูปราชยลักษมีเหล่านี้ จึงไม่น่าจะมีความหมายเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ตามคติที่ปรากฏในอินเดีย แต่น่าจะสร้างขึ้นเป็นรูปเคารพ สัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ เช่นเดียวกับคติการสร้างรูปคชลักษมี ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของพระลักษมี และพบได้ทั่วไปตามเมืองโบราณในสมัยทวารวดี ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน----------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง----------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. รูปแบบและความเชื่อของงานศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระศรี-ลักษมีที่พบใน ประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐.



       เหรา หนึ่งสัตว์หิมพานต์ประดับงานศิลปกรรมไทย      เหรา (อ่านว่า เห-รา) เป็นสัตว์หิมพานต์ประเภทหนึ่ง มีประวัติว่า เหรา เป็นลูกของพญานาค และมีแม่คือมังกร ดังความที่ปรากฏในบทดอกสร้อย บทหนึ่ง กล่าวว่า   ๏ เจ้าเอยเหรา  รักแก้วข้าเหราเอ๋ย บิดานั้นนาคา มารดานั้นเป็นมังกร มีตีนทั้งสี่ หน้ามีครีบหลังมีหงอน เป็นทั้งนาคทั้งมังกร เรียกชื่อว่าเหราเอย ฯ        กล่าวกันว่าเหรามีลักษณะคือ ส่วนหัวและตัวเป็นนาค มีเท้าและหนวดเป็นมังกร และมีอีกชื่อหนึ่งว่า “เหราพต” อย่างไรก็ตามเอกสารบางฉบับกล่าวว่า ลักษณะของเหราในศิลปะไทยนั้นไม่ปรากฏ เขา หนวด และเครา อย่างมังกรจีน แต่กลับมีฟันหรือเขี้ยวคล้ายจระเข้ ดังนั้นเหราที่ปรากฏในงานศิลปกรรมไทยจึงน่าจะเป็นการผสมรูปแบบระหว่าง จระเข้ (ส่วนหัวและเท้า) กับนาค (ลำตัวและหาง) มากกว่า        ตัวเหรานั้นเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏชื่อเรือลำหนึ่งในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคสมัยสมเด็จพระนารายณ์ นามว่า เรือเหรา ปัจจุบันตัวเหรายังปรากฏในรูปแบบงานประติมากรรมประดับสถาปัตยกรรม เช่น ประติมากรรมเหราบริเวณราวบันได ประติมากรรมเหราประดับชั้นหลังคาส่วนปลายของสันตะเข้ ส่วนประกอบของซุ้มหน้าบัน บริเวณปลายของรวยระกา ที่เรียกว่า “รวยระกาเหรา”        สำหรับที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มีตัวอย่างงานศิลปกรรมที่ปรากฏรูปจำหลัก “เหรา” ได้แก่    แผงพระพิมพ์ไม้      แผงพระพิมพ์ไม้ จำหลักลาย ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ จัดแสดงอยู่ที่ มุขเด็จในหมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นงานจำหลักไม้รูปเหราคายนาคที่ส่วนปลายรวยระกาของกรอบหน้าบัน ตู้พระธรรมขาหมูลงรักประดับมุก      ตู้พระธรรมขาหมูลงรักประดับมุก ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๓ จัดแสดงอยู่ที่ มุขหน้าพระที่นั่งพรหมเมศธาดา ในหมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ฝาตู้ด้านซ้ายมีงานประดับมุกรูปเหรา พระวอ      พระวอ ศิลปะธนบุรี-รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ จัดแสดงอยู่ที่ พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร ในหมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นงานไม้จำหลักรูปเหราคายนาค ส่วนปลายรวยระกาของชั้นหลังคาพระวอ  เขนง       เขนง (เครื่องเป่าบอกอาณัติสัญญาณในการศึก หรือภาชนะใส่ดินปืน) งาช้างจำหลักลายเหรา ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ จัดแสดงอยู่ที่ พระที่นั่งบูรพาพิมุข ในหมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ลักษณะเป็นงาช้างจำหลักรูปเหราปรากฏส่วนหัว ลำตัวและเท้าของเหรา   อ้างอิง กรมศิลปากร. สมุดภาพสัตว์หิมพานต์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๖๑. สมคิด จิระทัศนกุล. อภิธานศัพท์ช่างสถาปัตยกรรมไทย เล่ม ๔ องค์ประกอบ “ส่วนหลังคา”. กรุงเทพฯ: คณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๙. สมใจ นิ่มเล็ก. สรรพสัตว์ ในงานสถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๗.    


ชื่อเรื่อง                                ปฐมสมฺโพธิกถา (ปถมสมโพธิ์พุทธปูชา-ธาตุวิภชนปริวตฺต) สพ.บ.                                  352/28ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           36 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           พระพุทธเจ้า                                           วรรณกรรมพุทธศาสนา บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี       


องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี เรื่อง ตราอาร์มเมืองสิงห์บุรี


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (ปุคฺคลปญฺญตฺติ-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.48/1-7ก  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


กมฺมฏฺฐาน (พฺรกมฺมฎฺฐานเผด็จ)  ชบ.บ.92/1-2  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ประวัติศาสตร์แห่งการแรกนาขวัญ            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนา ไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือนตอนพระราชพิธีเดือนหก ความตอนหนึ่งว่า "...การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ลงทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทําเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทํานา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปรกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือน้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วงเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกําลัง จึงได้ต้องแส่หาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปรกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุด..." แรกนาขวัญในหัวเมืองภาคใต้           นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีหัวเมืองซึ่งประกอบพิธีแรกนาด้วยเช่นกัน เมืองเหล่านี้ล้วนเป็นเมืองเก่าแก่ และมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องมาแต่โบราณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนาในหัวเมืองไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน(พระราชพิธีเดือนหก)ตอนหนึ่งว่า “...หัวเมืองซึ่งมีการแรกนา มีของหลวงพระราชทานเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ คือกรุงเก่าเมือง ๑ เพชรบุรีเมือง ๑ แต่เมืองซึ่งเขาทําแรกนามาแต่เดิม ไม่มีของหลวงพระราชทาน คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา ๒ เมืองนี้เป็นเมืองมีพราหมณ์ๆ เป็นธุระในการพิธี แต่ผู้ว่าราชการเมืองไม่ได้ลงแรกนาเอง มอบให้หลวงนาขุนนาเป็นผู้แรกนาแทนตัว เมืองสุพรรณบุรีอีกเมืองหนึ่งก็ว่ามีแรกนา ไม่ได้เกี่ยวข้องในการหลวงเหมือนกัน แต่ในปีนี้ได้จัดให้มีการแรกนาขึ้นเป็นการหลวงอีกเมืองหนึ่ง...” แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนัง           สำหรับงานจิตรกรรมฝาผนัง ภาพของพิธีแรกนาขวัญจะปรากฏอยู่ในส่วนของภาพพุทธประวัติ ตอน “วัปปมงคล” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ประกอบพิธีแรกนาขวัญ ส่วนเจ้าชาย สิทธัตถะราชกุมารนั้นโปรดให้ลาดพระแท่นบรรทมที่ใต้ต้นหว้าใหญ่ แต่พระราชกุมารกลับนั่งทำสมาธิจนได้ ปฐมฌาน และเกิดเหตุมหัศจรรย์เงาต้นหว้าซึ่งพระราชกุมารประทับอยู่นั้นไม่เคลื่อนที่แม้เวลาจะล่วงเลยไป เพียงใดก็ตาม จนเป็นเหตุให้พระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) พระราชกุมาร เป็นครั้งที่ ๒ ดังปรากฏความในพรปฐมสมโพธิกถา กปิลวัตถุคมนปริวัตต์ ปริเฉทที่ ๑๗ ความว่า “...ในสมัยนั้นสมเด็จกรุงสุทโธทนมหาราชพระพุทธบิดา ได้ทรงทัศนาพระปาฏิหารเปนมหัศจรรย์ จึงถวายอภิวันทนาการแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค กาลในวันพระองค์ประสูติ์นั้นนำพระองค์มา เพื่อจะให้วันทนาพระกาลเทวิลดาบส ก็กระทำพระปาฏิหารขึ้นยืนเหยียบพระบาทอยู่ณเบื้องบนชฎาแห่ง พระมหาชฎิล ครั้งนั้นข้าพระองค์ก็ถวายอภิวันทนา พระบาทยุคลเปนปฐมวันทนา แลกาลเมื่อวันกระทำวัปปมงคลแรกนาขวัญก็นำพระองค์ไปบันทมในร่มไม้หว้า ได้ทัศนาฉายาไม้นั้นมิได้ชายไปตามตวัน ข้าพระองค์ก็ถวายบังคมเปนทุติยวันทนาวารคำรบ ๒ แลกาลบัดนี้ได้เห็นประปาฏิหารอันมิได้เคยทัศนากาลมาแต่ก่อน ข้าพระองค์ก็ถวายอัญชลีกรพระบวรบาทเปนตติยวันทนาวารคำรบ ๓ ในครั้งนี้...”แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนังภาคใต้          ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พุทธประวัติตอนวัปปมงคล ในพื้นที่ภาคใต้พบไม่มากนัก โดยวัดที่พบการเขียนภาพจิตรกรรมตอนนี้ได้แก่ วัดวัง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เขียนภาพโดยหลวงเทพบัณฑิต(สุ่น) กรมการเมืองพัทลุง โดยเขียนภาพขึ้นราวปลายรัชกาลที่ ๓ – ต้นรัชกาลที่ ๔ วัดท้าวโคตร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และวัดพัฒนาราม ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นภาพที่เขียนขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ แรกนาขวัญในผ้าพระบฏในภาคใต้          ผ้าพระบฏ พบที่วัดหัวเตย ตำบลดอนทราย อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นผ้าพระบฏที่เขียนภาพพุทธประวัติ เป็นช่องที่เรียงต่อกันไปนั้น พบว่ามี ๑ ช่อง ซึ่งมีการเขียนภาพเกี่ยวกับพิธีแรกนาขวัญ โดยภาพในช่องดังกล่าวเป็นการเล่าเรื่องพระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร กระทำปาฎิหาริย์เสด็จประทับเหนือเศียรอสิตดาบส และครั้งที่ ๒ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารประทับใต้ต้นหว้า ขณะที่พระเจ้าสุทโธทนะประกอบพิธี แรกนาขวัญ ผ้าพระบฏผืนนี้มีข้อความกำกับระบุว่าเขียนขึ้นในพ.ศ.๒๓๔๕ (ช่วงปลายรัชกาลที่ ๑)คนไถนาวิถีชีวิตท้องถิ่นชาวใต้          นอกจากภาพจิตรกรรมเรื่องแรกนาขวัญอันเนื่องมาจากพุทธประวัติแล้ว ยังภาพกฎภาพ “คนไถนา” ซึ่งสะท้อนภาพวิถีชิวิตของชาวใต้ ดังเช่นภาพคนไถนาที่เพดานอุโบสถวัดฉัททันต์สนาน ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และภาพคนไถนาบนเพดานศาลา ภายในวัดชลธาราสิงเห ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งภาพจิตรกรรมทั้งสองภาพนี้สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นราวกลางสมัยรัชกาลที่ ๘ ถึงช่วงต้นรัชกาลที่ ๙--------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


ชื่อผู้แต่ง         : มหาดไทย,กระทรวง ชื่อเรื่อง           : บันทึกการเดินทางตรวจราชการภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ของ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ครั้งที่พิมพ์       : พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์    : พระนคร สำนักพิมพ์       : โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น ปีที่พิมพ์          : ๒๕๐๗           จำนวนหน้า      : ๒๑๐ หน้า หมายเหตุ         พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์          ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยหรือจะเรียกว่า ของโลกก็ได้ที่ออกตรวจราชการทั่วประเทศ และได้จัดการบำรุงความสุขแก่ประชาชนและให้ความเจริญในเบื้องต้นแก่ทุกท้องที่ที่ ฯพณฯ และคณะได้ไปตรวจ บันทึกนี้เป็นประโยชน์แก่นักปกครองโดยทั่วไป


ชื่อผู้แต่ง                  - ชื่อเรื่อง                   จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีจุลศักราช ๑๒๔๑ ครั้งที่พิมพ์               - สถานที่พิมพ์             กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์               แสงทองการพิมพ์ ปีที่พิมพ์                  2513 จำนวนหน้า              181 หน้า รายละเอียด              หนังสือเล่มนี้ ขอพระบรมราชานุญาตพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระปฏิเวทย์วิศิษฏ์ (สาบ  เลขยานนท์)เป็นจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับที่ปีเถาะ เอกศก ๒๔๒๒


ปราสาทตำหนักไทร อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ #ปราสาทตำหนักไทร ปัจจุบันตั้งอยู่ภายในวัดตำหนักไทร อยู่ห่างจากลำห้วยทา ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักของตำบลบักดอง มาทางด้านทิศตะวันออก เพียง 300 เมตร โดยปรากฏร่องรอยการก่อสร้างและใช้ประโยชน์โบราณสถานในฐานะศาสนสถานต่อเนื่อง ถึง 3 ระยะ ด้วยกัน ดังนี้ #ระยะที่1 กำหนดอายุ อยู่ในช่วง ปลายพุทธศตรวรรษที่ 12 – ต้นพุทธศตวรรษที่ 14 พบร่องรอยของส่วนฐานของปราสาทที่สร้างด้วยอิฐ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดยาวตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ 13.70 เมตร ขนาดกว้างตามแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก 11.70 เมตร พบร่องรอยการก่ออิฐเป็นช่องบันไดทางขึ้นสู่ปราสาท ด้านทิศตะวันออก เเละพบหลักฐานแผ่นหินทรายเป็นอัฒจันทร์วางอยู่ที่ด้านล่าง หลักฐานสำคัญของระยะที่ 1 คือ ฐานทางขึ้นก่อด้วยอิฐ, ฐานรูปเคารพในปราสาทประธาน, บัดยอดปราสาท, และอัฒจันทร์ #ระยะที่2 กำหนดอายุ อยู่ในช่วง ปลายพุทธศตรวรรษที่ 15 – ต้นพุทธศตวรรษที่ 16 มีการสร้างฐานของปราสาทขึ้นใหม่ โดยใช้ศิลาแลงก่อวางเรียงปิดทับ ล้อมรอบฐานอิฐของปราสาทในระยะที่ 1 ฐานเขียงมีรูปแผนผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดด้านละ 10 เมตร ก่อศิลาแลงสูง 3 ชั้น ถัดขึ้นมาเป็นฐานอีกชั้นหนึ่ง ก่อด้วยหินทราย 3 ชั้น แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม ขนาดด้านละ 10 เมตร มีมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ด้าน และก่อวางเรียงหินทรายเป็นช่องบันได ตัวเรือนธาตุก่ออิฐ อยู่ในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม เช่นเดียวกับส่วนฐาน มีขนาดด้านละ 4.2 เมตร มีประตูทางเข้าหลักเฉพาะด้านทิศตะวันออก ด้านอื่นเป็นประตูหลอก ถัดขึ้นไปเป็นเรือนชั้นซ้อน ซึ่งปัจจุบันหลงเหลือเพียง 2 ชั้น จากการขุดศึกษาโบราณสถานปราสาทตำหนักไทร ในปี 2554 เราพบบัวยอดปราสาทด้วย หลักฐานสำคัญของระยะที่ 2 คือ ทับหลังสลักภาพพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ และบัวยอดปราสาท #ระยะที่3 พบหลักฐานการใช้ประโยชน์โดยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของปราสาท โดยมีการนำหินทรายและหินธรรมชาติมาเวียงเป็นแนวทางเดินบนผิวดิน มีความกว้าง 5 เมตร ต่อเนื่องจากด้านหน้าปราสาทไปทางทิศตะวันออก กำหนดอายุ อยู่ในช่วง พุทธศตรวรรษที่ 23 ไฮไลต์สำคัญ ของงปราสาทตำหนักไทร คือ #ภาพสลักคานกรอบประตูเป็นรูปวิษณุอนันตศายินปัทมนาภะ หรือ นารายณ์บรรทมสินธุ์ แวดล้อมด้วยท่อนพวงมาลัยและพรรณพฤกษา กำหนดอายุให้อยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 ร่วมสมัยกับปราสาทประธาน ซึ่งของจริงนำไปเก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา แต่ได้มีการจำลองและติดตั้งไว้ตำแหน่งเดิม เพื่อให้ทุกๆคนได้รับชม เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ เอกสารอ้างอิง                   กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถานขอมในประเทศไทย เล่ม 4. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. 2539. สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา. รายงานข้อมูลโบราณสถาน ปราสาทตำหนักไทร อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ. นครราชสีมา: สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา. อัดสำเนา. 2561.


ชื่อเรื่อง                     สพ.ส.4 เวสสันดรชาดกประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยขาวISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  วรรณคดีลักษณะวัสดุ             130; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    วรรณคดี                          ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดลาวทอง ต.สนามชัย  อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 15 ส.ค.2538 


          สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร และ เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ ขอเชิญชวนผู้ชอบเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เข้าร่วมกิจกรรมการประกวดภาพถ่ายเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย 2565 (Thai Museum Day 2022) กับกิจกรรม Museum Photo Contest ภายใต้แนวคิด The Power of Thai Museums "พลังพิพิธภัณฑ์ไทยที่มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคม ผ่านมุมมองทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การสร้างความยั่งยืน การสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล และการสร้างชุมชนผ่านการศึกษา" ลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 50,000 บาท กติกาการประกวด - ต้องเป็นภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานพิพิธภัณฑ์ไทย - สามารถใช้กล้องดิจิทัล กล้องฟิล์ม หรือสมาร์ทโฟน - ศึกษากติกาการประกวดผ่านทาง Scan QR Code บนโปสเตอร์   *โปรดอ่านกติกาการประกวดภาพถ่ายอย่างละเอียด   รางวัลการประกวด หัวข้อ 1. The Power of Achieving Sustainability : พลังพิพิธภัณฑ์ในการบรรลุความยั่งยืน - ชนะเลิศ เงินรางวัล 10,000 บาท 1 รางวัล - รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 5,000 บาท 1 รางวัล - รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 3,000 บาท 1 รางวัล   หัวข้อ 2. The Power of Innovating on Digitalisation and Accessibility : พลังพิพิธภัณฑ์แห่งการสร้างสรรค์ด้านดิจิทัล - ชนะเลิศ เงินรางวัล 10,000 บาท 1 รางวัล - รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 5,000 บาท 1 รางวัล - รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 3,000 บาท 1 รางวัล   หัวข้อ 3. The Power of Community Building Through Education : พลังพิพิธภัณฑ์ของการสร้างชุมชนผ่านการศึกษา - ชนะเลิศ เงินรางวัล 10,000 บาท 1 รางวัล - รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 5,000 บาท 1 รางวัล - รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 3,000 บาท 1 รางวัล   กำหนดการกิจกรรม - เปิดรับผลงานภาพถ่าย วันที่ 1 – 10 กันยายน 2565  - ส่งผลงานผ่านทางอีเมล nationalmuseumthailand@gmail.com - หมดเขตส่งภาพถ่ายในวันที่ 10 กันยายน 2565 เวลา 18.00 น.‼️ - ประกาศและมอบรางวัลให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลต่างๆ ในงาน Museum Talk ในวันที่ 19 กันยายน 2565   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2164 2511 หรือทางเพจ Facebook : Thai Museum Day 2022


black ribbon.