ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,673 รายการ

        พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญชม “การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 70” โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปีนี้มีผลงานที่นำมาจัดแสดงจำนวน 55 ชิ้น โดยแบ่งเป็นประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และงานสื่อผสม โดยผ่านการตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ         ผู้สนใจสามารถไปชมการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 70” ได้ระหว่างวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 - วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารนิทรรศการ 4 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ตั้งเเต่ เวลา 09.00 - 16.00 น. เปิดทุกวันพุธ - อาทิตย์ (ปิดให้บริการวันจันทร์ - อังคาร) ค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 240 บาท นักเรียน นักศึกษา ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าชมฟรี----------------------------------------------- The National Gallery of Thailand cordially invite those who interest in contemporary art from significant art competition, to view “The 70th National Exhibition of Art” exhibited at our exhibition building no.4 from 7 to 27 November 2025 This 70th National Exhibition of Art exhibits award winning and selected artworks by an approval of trustworthy judging art committee, consists of 55 pieces of visual art pieces such as painting, sculpture, graphic art and mixed media. The National Gallery of Thailand opens from Wednesday – Sunday between 9.00 am. – 4.00 pm. And closed on Monday – Tuesday  Ticket : 240 Baht


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี "จิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์และบำเพ็ญสาธารณกุศล" พบกับกิจกรรมทำริบบิ้นไว้ทุกข์ ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ตลอดเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘ ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ณ โถงต้อนรับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ตั้งอยู่ที่ ถ.ปราจีนอนุสรณ์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เปิดบริการ วันพุธ - อาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์ - อังคาร) อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ๓๐ บาท ชาวต่างชาติ ๒๐๐ บาท สำหรับพระภิกษุ สามเณร นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุเกิน ๖๐ ปี เข้าชมฟรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๗๒๑ ๑๕๘๖ Facebook Page "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี : Prachinburi National Museum" https://www.facebook.com/prachinburimuseum   


ภาพนิทรรศการ "น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" จัดทำโดย...กรมศิลปากร


วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๑๓.๓๐ น. นักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ ๒-๖ โรงเรียนบ้านขยูงทองยางภิรมย์ ตำบลศรีสุข อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน ๒๕ คน คุณครู ๘ คน เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมีนางสาวอภิญญา สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม


       พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม ขอเชิญทุกท่านร่วมงาน  Night at The Palace ย้อนเวลา ชมวัง 4 ศตวรรษ พระราชวังจันทรเกษม ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เวลา 17.00 น. – 21.00 น. พิเศษ!!! ปีนี้เปิดให้เข้าชมอาคารพลับพลาจตุรมุข ยามค่ำคืน ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 120 บาท ผู้พิการ และชาวไทย ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี เข้าชมฟรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 3525 1586 Facebook พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม : Chantharakasem National Museum  https://www.facebook.com/chantharakasemmuseum


“สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์” พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง-------------------เอกสารอ้างอิง :สำนักงานพระคลังข้างที่. ศิลปาชีพ. ออนไลน์ https://privypurse.or.th/ศิลปาชีพหน่วยราชการในพระองค์. พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน่วยงานในพระองค์ ขอเผยแพร่พระราชประวัติ เพื่อน้อมถวายความอาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้. เผยแพร่เมื่อ 25 ตุลาคม 2568. ออนไลน์. https://www.royaloffice.th/25/10/2025/พระราชประวัติ-12-08-2566/BBC NEWS ไทย. พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง. ออนไลน์ https://www.bbc.com/thai/articles/cq5042zw8zqoอ้างอิงภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี- โสตทัศนจดหมายเหตุ ชุด นายวัชรินทร์ โสไกร ภ สพ สบ 2.3/7 - โสตทัศนจดหมายเหตุ ชุด โครงการประกวดภาพถ่ายเก่า ภ สพ หจช (อ) 1/12 - โสตทัศนจดหมายเหตุ ชุด "สุพรรณรำลึก" ภ หจช พ 4/40NBT Connext. กรมประชาสัมพันธ์ ได้เปิดให้ดาวน์โหลดพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง. ออนไลน์https://drive.google.com/drive/folders/1QjaLj0iU38VDrWEbwQ-O72Y7VK6yZ9vN?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAYnJpZBExM0pIWGdjNUo2UnRWbHpIOQEeLs3z4nFfSDogu_xPEurm9hNIEUmfHyn4AsBQXIHRiaAXG9oi8aiM-EgZF3c_aem_Rujux8VgX-RlHts3QesOSA


George, Joshua.  Let's Learn Counting.  New york: Little Hippo Books, 2018.  123s – Counting Come-to-Life ช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้เลข 1–2–3 ผ่านหน้าหนังสือสีสันสดใสซึ่งกลายเป็นตัวละคร 3D เด็กๆ จะได้พบกับ Professor Little Hippo ฝึกเขียน นับเลข และสนุกไปกับการผจญภัยเพียงดาวน์โหลดแอป Hippo Magic แล้วสแกนสัญลักษณ์เพื่อชมตัวละครมีชีวิต เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1–5 ปี J        G347l ห้องหนูรักการอ่าน


Lambert, Nat.  The Three Little Pigs.  New York: Little Hippo Books, 2018. ลูกหมูสามตัว หนังสือนิทานคลาสสิกที่ผสานเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ผ่านแอป Hippo Magic ทำให้เรื่องราวลูกหมูสามตัวมีชีวิตขึ้นในรูปแบบ 4 มิติ เด็กๆ จะได้สร้างบ้านกับลูกหมูสามตัวต่อสู้กับหมาป่าร้าย และโต้ตอบกับตัวละครขณะอ่าน เสริมจินตนาการ ความสนุก และทักษะการอ่าน เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1–6 ปี J       L222t ห้องหนูรักการอ่าน


Williams, Margery.  The velveteen rabbit.  New York: Little Hippo Books, 2018.  กระต่ายกำมะหยี่ หนังสือนิทานคลาสสิกที่ผสานเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ผ่านแอป Hippo Magic เพลิดเพลินกับประสบการณ์อินเทอร์แอคทีฟ 6 แบบ เช่น ระบายสีของเล่น เล่นดนตรี และดูเพื่อน ๆ เต้นรำ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 2–6 ปี J      W718v ห้องหนูรักการอ่าน


Richards, Benjamin.  Little giraffe's big idea.  New york: Little hippo Books, 2018. ไอเดียสุดบรรเจิดของยีราฟน้อย เรื่องราวของเกรกอรี ยีราฟน้อยผู้พยายามแต่งตัวเป็นสัตว์ตัวอื่นเพื่อหามิตรภาพ เด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องมิตรภาพและการยอมรับ พร้อมสนุกกับกิจกรรมเสมือนจริง เช่น นับเลข ระบายสี และเล่นซ่อนหา ดาวน์โหลดแอป Hippo Magic แล้วสแกนสัญลักษณ์เพื่อดูเรื่องราวมีชีวิตขึ้น เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1–5 ปี J       R511l ห้องหนูรักการอ่าน


Joyce, Melanie.  Who's afraid of the dark?.  United Kingdom: Igloo Books, 2019. ตอนเด็กๆ กลางคืนอาจดูน่ากลัวและกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเงาและเสียงประหลาดจากสิ่งมีชีวิตที่แอบซ่อนอยู่ในที่ลับ แต่ลิตเติ้ลฟ็อกซ์ก็พบว่าไม่จำเป็นต้องกลัวความมืดเลย เรื่องราวแสนสุขที่สลัวๆ เรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านตัวน้อยทุกคนได้เห็นถึงความสนุกสนานหลังพระอาทิตย์ตกดิน และมนต์เสน่ห์แห่งแสงจันทร์ยามค่ำคืน เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1–5 ปี J         J89w ห้องหนูรักการอ่าน




วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568 นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “เทศกาลเที่ยวพิมาย 2569” ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยมีนายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานในพิธี


อนุสาวรีย์ช้างเผือก ตั้งอยู่ทิศเหนือของแนวกำแพงเมืองเชียงใหม่ ประมาณ ๕๐๐ เมตร อยู่บริเวณข่วงช้าง ด้านหน้าสถานีขนส่งเชียงใหม่แห่งที่ ๑ หรือที่คนเชียงใหม่เรียกว่า สถานีขนส่งช้างเผือก สำหรับความเป็นมาในการสร้างครั้งแรกอยู่ในรัชสมัยพระเจ้าแสนเมืองมาพระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๗ โอรสของพระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา พระองค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย กล่าวถึง พระยาไสสือไท หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ โอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งราชวงศ์พระร่วง พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย ได้มีราชสาสน์มาขอให้พระเจ้าแสนเมืองมาไปช่วยให้พ้นจากอำนาจของอยุธยาพระเจ้าแสนเมืองมาทรงยกกองทัพลงไปช่วยกษัตริย์สุโขทัยตามที่ทรงขอร้องมา เมื่อกองทัพไปถึงสุโขทัยแล้วก็รับสั่งให้ตั้งค่ายพักพลอยู่นอกเมือง และในคืนหนึ่งกองทัพสุโขทัยได้ยกกำลังออกมาโจมตีทหารเชียงใหม่จนแตกพ่ายพระเจ้าแสนเมืองมาพลัดเหล่าข้าราชบริพาร ทรงเสด็จหนีมาทางทับสลิด และทรงพบบุคคลสองคนชื่ออ้ายออบกับอ้ายยี่ระ ทั้งสองผลัดเปลี่ยนกันแบกพระเจ้าแสนเมืองมาจนถึงเมืองเชียงใหม่ได้อย่างปลอดภัย พระเจ้าแสนเมืองมา จึงโปรดฯ ให้ชุบเลี้ยงทั้งสองให้เป็นเสนาระดับนายพวก และให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางด้านใต้ของเชียงโฉม ส่วนบริเวณด้านตะวันออกของที่อยู่ของบุคคลทั้งสอง ก็โปรดฯ ให้สร้างรูปช้างเผือกไว้ และแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลช้างหลวง ตำแหน่งช้างซ้ายและช้างขวา พร้อมให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทิศตะวันออกเฉียงได้ของเวียงเชียงโฉม และได้สร้างรูปปั้นช้างเผือก ๒ เชือก ไว้ด้านซ้าย และด้านขวา หันหน้าทางด้านทิศเหนือมีทางเดินระหว่างกลางของถนนเข้าประตูช้างเผือก จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (๔๓) กล่าวว่า “ต โต ป รำ ถัดแต่นั้นไปหน้า เจ้าเมืองสุโขทัย ผิดพระยาบรมไตรจักรเมืองอโยธิยาเอาเมืองมาพึ่งเจ้าแสนเมืองมา เจ้าแสนเมืองมายกรี้พลไปว่าจะปล้นเอาเมืองสุโขทัย ตั้งทัพอยู่นอกเวียง เจ้าแสนเมืองมาเท่าอยู่บ่ออกค้ำศึก อันจักแต่งแปลงเอาเมืองท่านเจ้าเมืองสุโขทัยไปเฝ้าก็เท่าใช้นางเฒ่าแก่กับเรือนสืบคำออกมาจาเจ้าเมืองสุโขทัยหันบ่หล้างจักรบพระยาใต้ชนะยามดึก เจ้าเมืองสุโขทัยแผล (แปร) ยอพลศึกเข้ารบเจ้าแสนเมืองมา หมู่ชุมแตกพ่ายหนี เจ้าแสนเมืองมา พลัดช้างม้าหมู่ชุม ออกหนีมาทางทับสลิด เท่าพบขาสองคน ผู้หนึ่งชื่อว่าอ้ายออบ ผู้หนึ่งชื่อว่าอ้ายยี่ระเปลี่ยนกันแบกเจ้าแสนเมืองมา มาต่อเท้าเมืองเชียงใหม่ เจ้าแสนเมืองมาเลี้ยงขาทั้งสอง หื้อเป็นพวกซ้ายขวา ขาตั้งบ้านอยู่หนใต้เชียงโฉม ฟากทางเบื้องวันออกขาหื้อแปล๋งรูปช้างเผือกสองตัวไว้ซ้ายขวา เที่ยวเข้าออกตามหว่างกลางรูปช้างนั้นมาต่อเท้าบัดนี้ หากเป็นโบราณมาฉันนี้ จึงรีดรูปช้างสองตัวนั้นบ่ได้เพื่ออั้นแล” ต่อมาในสมัยสมัยของพระเจ้าติโลกราชพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา พระองค์ที่ ๙ หลังจากสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงแล้วเสร็จ ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคตก่อพญาช้างเผือก ๒ เชือก บริเวณหัวเวียง พร้อมสวาดธิยายมนต์ทั้งหลายใส่และบรรจุหัวใจพญาช้างเผือกไว้ภายในด้วย และในหนังสือตำนานเชียงใหม่ปางเดิม (๓๓) กล่าวว่า “...หมื่นด้ำพร้าคตก่อมหาเจติยหลวงเจ้าหลังนี้นานได้ ๑๘ ปี จิ่งบัวรมวลแล้วแล หมื่นด้ำพร้าคตก็ไปก่อพระยาช้างเผือก ๒ ตัว หัวเวียงแล้ว ก็ไปก่อพระยาราชสีห์ ๒ ตัว หัวเวียงแล้ว หมื่นด้ำพร้าคตก็สวาดทิพมนต์ศาสตรเพท ในหัวใจพระยาช้างเผือกแลและพระยาราสีห์...” จากประวัติศาสตร์พญาช้างเผือกทั้งสองเชือกนี้ ถือว่าเป็นเสื้อเมืองหรืออารักษ์ประจำเมืองที่มีเตชะฤทธิ์มาก เมื่อครั้งสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง มาครองเมืองเชียงใหม่เมื่อพ.ศ. ๒๐๘๙ ทรงทราบถึงอิทธิฤทธิ์ของช้างเสื้อเมือง จึงสั่งให้หมอช้างลองแก้ไขด้วยพิธีกรรมและอาคมต่างๆ แต่ก็ไม่อาจสามารถเอาชนะได้ ซึ่งในตำนานเชียงใหม่ปางเดิม (๓๕) กล่าวว่า “ท่านผ้าขาวเหยเมื่อพระยาล้านช้างมากินเมือง พระยาล้านช้างว่าเมืองลูกนี้เขาเท่ามีแต่เสนาบ่ดาย เรามาเอาจักดาบ่ได้เหตุว่าเสื้อเมืองเขาเป็นช้างเผือกเพื่ออั้นแล พระยาล้านช้างก็หื้อหมอช้างสวาธิยายมนต์ช้างแล้ว ก็หื้อขึ้นขี่ช้างเข้าชนพระยาช้างเผือกตัวใต้แล้ว ก็ซ้ำชนพระยาช้างเผือกตัวเหนือเล่าหั้นแล พระยาล้านช้างก็อยู่บ่ได้ ก็ลวดพ่ายหนีไปเพื่ออั้นแล คือเพื่อว่าเตชะพระยาช้างเผือกนั้นแล อันนี้ก็เป็นฤทธีแห่งพระยาช้างเผือกสองตัวหัวเวียงแล” เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๓ เดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ วันเสาร์ ในสมัยพระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงเชียงใหม่พระองค์แรก แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดคน โปรดให้ก่อรูปช้างเผือก ๒ เชือก เนื่องจากข้างเผือกได้ชำรุดทรุดโทรมลงมากตามกาลเวลา โดยมีขนาดโตใกล้เคียงกับช้างตัวจริงพร้อมสร้างซุ้มโค้งช้างครอบไว้มองเข้าไปทางด้านหัวช้าง มีกำแพงล้อมรอบบริเวณทั้ง ๔ ทิศ และมีประตูเข้า-ออก ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง ช้างเผือกที่หันหน้าทางด้านทิศเหนือชื่อ “ปราบจักรวาล” อีกเชือกหนึ่งหันไปทิศตะวันตกชื่อว่า “ปราบเมือง มารเมืองยักษ์” ซึ่งในหนังสือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (๑๐๗) กล่าวว่า “...แล้วถึงเดือน ๗ ออก ๑๑ ค่ำ วัน ๗ ได้ก่อรูปช้างเผือกสองตัวไว้ทางหัวเวียง ตัวเบ่นหน้าไปหนเหนือ ชื่อปราบจักรวาล ตัวเบ่นหน้าไปวันตก ชื่อปราบเมืองมาร เมืองยักษ์…” เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๓ เดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ วันเสาร์ ในสมัยพระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงเชียงใหม่พระองค์แรก แห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดคน โปรดให้ก่อรูปช้างเผือก ๒ เชือก เนื่องจากข้างเผือกได้ชำรุดทรุดโทรมลงมากตามกาลเวลา โดยมีขนาดโตใกล้เคียงกับช้างตัวจริงพร้อมสร้างซุ้มโค้งช้างครอบไว้มองเข้าไปทางด้านหัวช้าง มีกำแพงล้อมรอบบริเวณทั้ง ๔ ทิศ และมีประตูเข้า-ออก ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง ช้างเผือกที่หันหน้าทางด้านทิศเหนือชื่อ “ปราบจักรวาล” อีกเชือกหนึ่งหันไปทิศตะวันตกชื่อว่า “ปราบเมือง มารเมืองยักษ์” ซึ่งในหนังสือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (๑๐๗) กล่าวว่า “...แล้วถึงเดือน ๗ ออก ๑๑ ค่ำ วัน ๗ ได้ก่อรูปช้างเผือกสองตัวไว้ทางหัวเวียง ตัวเบ่นหน้าไปหนเหนือ ชื่อปราบจักรวาล ตัวเบ่นหน้าไปวันตก ชื่อปราบเมืองมาร เมืองยักษ์…” จากข้อมูลตำนานต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการสร้างรูปช้างเผือก ๒ เชือก บริเวณทางทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่หลายครั้ง ครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา ซึ่งเป็นยุคสมัยเดียวกับการเริ่มสร้างพระธาตุเจดีย์หลวง หลังจากนั้นในรัชสมัยของพระญาติโลกราช ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคตเป็นนายช่างใหญ่บูรณปฏิสังขรณ์ และเสริมฐานพระเจดีย์หลวงใหญ่กว่าเดิม และสร้างช้างเผือก ๘ เชือก รอบฐานพระธาตุเจดีย์หลวง จากนั้นสร้างช้างเผือก ๒ เชือก และสิงห์ ๒ ตัว ทางด้านทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่ด้วย ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงเชียงใหม่พระองค์แรก ช้างเผือกทั้ง ๒ เชือก ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก จึงได้ทำการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง สำหรับชาวเชียงใหม่ และชาวชุมชนย่านช้างเผือกได้ให้ความเคารพอนุสาวรีย์ช้างเผือกโดยมีความเชื่อว่าเป็นอารักษ์ หรือเสื้อบ้าน เรียกว่า “เจ้าพ่อช้างเผือก” อนุสาวรีย์ช้างเผือก จึงเป็นสัญลักษณ์คู้บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ เพื่อระลึกถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ คุณงามความดี และความเสียสละของบรรพบุรุษที่สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง :บุญเสริม สาตราภัย.  เสด็จลานนา เล่ม ๑.  พิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ: อักษราพิพัฒน์, ๒๕๓๒. ประชากิจกรจักร, พระยา (แช่ม บุนนาค).  พงศาวดารโยนก.  กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖. พระรัตนปัญญาเถระ.  ชินกาลมาลีปกรณ์.  แปลโดย แสง มนวิทูร.  พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๑. วรชาติ มีชูบท.  ย้อนอดีตล้านนา ตอน รวมเรื่องน่ารู้จากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่.  พิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐. วิลักษณ์ ศรีป่าซาง.  “ช้างเผือก.”  สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ.  ๔. (๒๕๔๒): ๑๘๖๒-๑๘๖๕. สมหมาย เปรมจิตต์ และคนอื่นๆ.  ตำนานเชียงใหม่ปางเดิม.  เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๖. สำนักนายกรัฐมนตรี. คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ ๒๕๑๔.  ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่.  พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔.


black ribbon.