ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.126/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 73 (257-266) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ก สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.15/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง รวมที่มาแห่งพุทธศาสนสุภาษิตผู้แต่ง ธวัช เฟื่องประภัสสร์.ครั้งที่พิมพ์ -ปีที่พิมพ์ ๒๔๙๘ สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์จำนวนหน้า ๙๖ หน้า
หนังสือ รวมที่มาแห่งพุทธศาสนสุภาษิต เล่มนี้ รวบรวมพุทธศาสนสุภาษิต เพื่อสะดวกแก่การค้นหา และท่องจำ เหมาะแก่นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจ เพื่อใช้ในการค้นคว้า ท่องจำ และประกอบการเขียนเรียงความ
โบราณสถานปรางค์กู่ เป็นศาสนสถานประจำโรงพยาบาล หรือ อโรคยศาล สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยภาพสลักหน้าบันที่พบจากปรางค์กู่ มีทั้งสิ้น 2 จุด ได้แก่ 1. หน้าบันเหนือทับหลังปราสาทประธานด้านทิศตะวันออก เเละ 2. หน้าบันเหนือทับหลังบรรณาลัยหรือวิหาร ด้านทิศตะวันตก หน้าบันเหนือทับหลังปราสาทประธานประตูด้านตะวันออก ประกอบด้วยหินทรายที่วางเรียงเป็นส่วนหน้าบัน สลักภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 9 กร ประทับยืน มีสาวก 9 องค์ (คน) นั่งพนมมืออยู่ด้านล่าง หน้าบัน สลักภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 กร ประทับยืน สภาพชำรุดแตกหัก คงเหลือสภาพไม่ครบส่วน ท่อนล่างส่วนเท้าและขาขาดหายไป พระหัตถ์ซึ่งสภาพสมบูรณ์นั้นจะมี 4 กร พระหัตถ์ขวาบนถือลูกประคำ พระหัตถ์ขวาล่างถือดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายบนถือคัมภีร์ และพระหัตถ์ซ้ายล่างถือ ก้อนดิน (แท่งทรงกระบอก) ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะพระหัตถ์ซ้ายบน ด้านขวาและด้านซ้ายของพระโพธิสัตว์ คงเหลือภาพของบุคคลยืนอยู่ด้านละ 1 องค์ (คน) ไม่ชัดเจนว่าเป็นบุคคล พระโพธิสัตว์หรือเทพองค์ใด ด้านล่างของภาพ ใต้แท่นฐานที่พระโพธิสัตว์ประทับยืน มีภาพบุคคลในท่านั่งพนมมือเรียงกัน 9 คน ที่กึ่งกลางภาพเป็นบุคคลนั่งในท่าขัดสมาธิ หันลำตัวตรงออกทางด้านหน้า ส่วนเศียรชำรุดขาดหายไป ด้านวามือและด้านซ้ายมือ มีบุคคลนั่งด้านละ 4 คน ในลักษณะหันเข่าด้านข้างเข้าสู่ด้านใน แต่ส่วนลำตัวและเศียรหันตรงออกด้านหน้า ในภาพรวมน่าจะหมายถึงเหล่าสาวกหรือผู้ที่ให้การนับถือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นั่งถวายการเคารพ ในบรรดาพระโพธิสัตว์องค์สำคัญๆ ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ปรากฏว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ มีผู้เคารพเลื่อมใสมากที่สุด พระปฏิมาของพระองค์ พระนามว่าอวโลกิเตศวร หมายความว่า ผู้เป็นใหญ่ในการทัศนาโลก คือ พระองค์ทรงไว้ซึ่งความกรุณาอันไพศาล ไม่มีขอบเขต ทรงคอยสอดส่องดูแลปลดเปลื้องทุกข์ของสรรพสัตว์เสมอ เป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญของพุทธศาสนามหายานที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุด พระองค์เป็นตัวแทนของกรุณาบารมีและเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์และเข้าถึงพระโพธิญาณ ความเสียสละที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงในจักรวาล นับเป็นการแสดงความรักของพระองค์ที่มีต่อสรรพชีวิตทั้งหลาย จนกล่าวได้ว่าพระองค์คือ “ที่สุดแห่งกรุณาบารมี” การอธิบายคุณลักษณะของพระอวโลกิเตศวร เป็นอุบายโกศลวิธี ชักจูงคนให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธามั่นคงในพระโพธิสัตว์ แท้จริงคุณลักษณะของพระอวโลกิเตศวร คือพระปัญญาคุณ พระสันติคุณ และพระกรุณาคุณ ผู้ใดสามารถอัญเชิญพระอวโลกิเตศวรให้เข้ามาประทับอยู่ในดวงจิตได้ ด้วยการหมั่นนึกภาวนารำลึกถึงเสมอ ก็ต้องปรับปรุงกายวาจาใจของตนให้ประกอบด้วยปัญญาคุณ สันติคุณ กรุณาคุณ ดุจองค์พระโพธิสัตว์ เมื่อเป็นดังนี้ ภัยต่างๆ จะบังเกิดแก่ผู้นั้น ย่อมไม่มีทางจะเป็นไปได้ หรือแม้ว่าจะเกิดมีขึ้นก็หาทำให้ผู้นั้นต้องหวั่นไหวเดือดร้อนไม่ เพราะดวงจิตผู้นั้น ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระอวโลกิเตศวรแล้วนั้นเอง ฉะนั้นผู้ที่เคารพบูชาพระโพธิสัตว์องค์นี้ ย่อมสุดแล้วแต่วุฒิปัญญาและฐานะของผู้นั้น จะบูชาพระองค์ในฐานะเป็นพระเจ้า คอยประทานอะไรต่อมิอะไรให้ ตามคำอ้อนวอนขอร้องของเราหรือจะบูชา ด้วยการเข้าถึงแก่นแห่งธรรมะในพระองค์ ทั้งนี้ การสร้างอาโรคยศาล ที่มีเป้าหมายในการสร้างขึ้นเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนในชุมชน ภายใต้คติความเชื่อในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งยอมรับนับถือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรว่า ทรงเป็น ที่สุดแห่งกรุณาบารมี จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่า ส่วนหน้าบันที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของปราสาทประธานจึงสลักภาพของพระองค์ไว้ ---------------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา---------------------------------------------------------
มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๒๖ พฤษภาคม ๒๓๖๗ วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ วรฤทธิราชมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชวโรรส กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ วรฤทธิราชมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชวโรรส กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าสุประดิษฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย (ธิดาพระอินทอำไพ หรือพระอินทรอภัย คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทัศไภย พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ) ประสูติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๓๖๗ ทรงมีพระเชษฐาพระองค์หนึ่งคือ หม่อมเจ้านภวงษ์ (ภายหลังเป็น พระองค์เจ้านภวงษ์ฯ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส)
กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร เมื่อยังเป็นหม่อมเจ้าสุประดิษฐ ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดอุปการะ และรับใช้ใกล้ชิดติดพระองค์ เสมือนพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์หนึ่งของพระองค์ มีเรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าพระราชทานสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพในคราวหนึ่ง ขณะเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี ความว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๓ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ เคยหนีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาซ่อนอยู่ที่เขาย้อยคราวหนึ่ง ถึงต้องเสด็จไปขอร้องให้เสนาบดีติดตามกลับมา ด้วยเหตุว่าในคราวที่หม่อมเจ้านภวงษ์ผนวชพระ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (แต่เมื่อยังทรงผนวช) มีประสงค์จะให้ศึกษาพระธรรมวินัยเสียก่อน แต่หม่อมเจ้านภวงษ์ไม่สมัครใจศึกษา จึงหนีลาสิกขาบทมาหลบซ่อนพระองค์อยู่เขาย้อย เมืองเพชรบุรี ในเรื่องนี้หม่อมเจ้าปิยภักดีนารถยังทรงเล่าประทานสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า หม่อมเจ้าสุประดิษฐก็ทรงลาสิกขาบทด้วยเหตุอย่างเดียวกัน
ในรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ วรฤทธิราชมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชวโรรส ภายหลังทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร เมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๖ ด้วยทรงพระราชดำริว่าเป็นธรรมเนียมสืบมา ที่พระเจ้าแผ่นดินจะสถาปนาพระเจ้าลูกเธอที่มีวัยวุฒิ ให้ว่าราชกิจอันสมควร และให้เป็น “ที่คำนับแลเปนที่พำนักนับถือแห่งพระเจ้าลูกยาเธอพระองค น้อยๆ ลงมา แลพระเจ้าหลานเธอทั้งปวง” ได้ทรงกำกับราชการกรมพระคลังมหาสมบัติ และได้เสด็จไปดูงานต่างประเทศกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผช่วง) ถึงเมืองสิงคโปร์ และปีนัง นับเป็นครั้งแรกที่เจ้านายเสด็จออกนอกพระราชอาณาจักร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๐๕ พระชันษา ๓๘ ปี เป็นต้นราชสกุล สุประดิษฐ
ภาพ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ วรฤทธิราชมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชวโรรส
องค์ความรู้ของกลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร เรื่อง มัทนะพาธา หรือ ตำนานแห่งดอกกุหลาบจัดทำโดยนางสาววกุล มิตรพระพันธ์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
วันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ โดยมีคณะผู้บริหารกรมศิลปากร ร่วมลงนามถวายพระพร ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ ตึกกรมศิลปากร
สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔
ไม้ขายาว ๕๐.๕ เซนติเมตร ไม้ขวางยาว ๔๔ เซนติเมตร
สมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานเมื่อ ปีชวด พ.ศ.๒๔๔๓
กากะเยีย คือ อุปกรณ์สำหรับวางคัมภีร์ใบลาน โดยทั่วไปทำจากไม้กลึง ๘ ชิ้น ร้อยเชือกหรือด้ายร้อยไม้ทั้ง ๘ อัน ให้เรียงไขว้กัน เมื่อกางออกจะทรงเหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยม เป็นขาตั้ง ๔ ชิ้น และชิ้นที่ขวางด้านบน ๔ ชั้น ไม้ชุดยาว ๔ อัน ทำหน้าที่เป็นขาตั้ง ไขว้กัน ส่วนเส้นเชือกซึ่งร้อยอยู่ที่ปลายไม้นั้น จะขึงตึงขนานไปกับไม้ชุดสั้นทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งใช้รองรับใบลาน สำหรับกากะเยียอันนี้ กลึงจากงาช้างทั้งหมด แต่ละชิ้นใช้งาช้างต่อกัน ๓ ส่วน ปลายแต่ละไม้กลึงตกแต่งเป็นหัวเม็ด
การใช้กากะเยียลักษณะเป็นไม้ ๘ ชิ้นไขว้กัน ปรากฎมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๔ หรือ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว ที่ภาพสลักที่พนักกำแพงแก้วฐานประทักษิณชั้นที่ ๑ ของโบราณสถานบุโรพุทโธ ในชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทย จากศิลาจารึกวัดเขมา เมืองสุโขทัย ระบุพ.ศ. ๒๐๗๙ ในด้านที่ ๑ กล่าวถึงเจ้าเทพรูจีพร้อมสัตบุรุษได้บำเพ็ญกุศล ตอนหนึ่งความว่า “กากะเยียผืนหนึ่งค่าหกบาท อำแดงกอนซื้อไว้รองพระธรรมคัมภีร์...” ซึ่งระบุชัดว่า “กากะเยีย” มีหน้าที่สำหรับใช้รองคัมภีร์ใบลานโดยเฉพาะ และมีลักษณะนามเป็น “ผืน”
สำหรับประวัติของกากะเยียงานี้ จากพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ราชเลขาธิการในพระองค์ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓) ว่าด้วยสิ่งของที่มีผู้ถวายในการตั้งหอพุทธศาสน์สังคหะ วัดเบญจมบพิตร ความตอนหนึ่งว่า
“ของที่ได้วันนี้คือ กรมหมื่นวชิรญาณ ให้...กากะเยียงาเปนของกรมสมเด็จพระปรมานุชิต พระปิฎกโกศล องค์ไหนไม่รู้ ให้ลูกชายใหญ่ [สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร] เมื่อบวชเณร เมื่อลูกชายใหญ่จะสึกได้มอบถวายกรมหมื่นวชิรญาณไว้...”
ภายหลังเมื่อยุบรวมหอพุทธศาสน์สังคหะกับหอพระมณเฑียรธรรม ตั้งหอพระสมุดสำหรับพระนครแล้ว วัตถุบางส่วนจึงได้นำมาเก็บรักษา ณ หอมิวเซียม หรือปัจจุบันก็คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ที่มาข้อมูล
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. ประมวลเอกสารสำคัญเนื่องในการสถาปนา วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. กรุงเทพฯ : วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม, ๒๕๓๘.
อุไร คำมีภา, “กากะเยีย อุปกรณ์สำหรับรองรับคัมภีร์ใบลาน” เพจหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียติ ร.๙ นครราชสีมา (ออนไลน์)
ชื่อเรื่อง จุนฺทสูกริกสูตฺต (จุนทสูกริกสูตร)สพ.บ. 282/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า : กว้าง 5.7 ซ.ม. ยาว 56.5 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง ตำราโหราศาสตร์ (เกณฑ์วันกระทำโชคยามอายุเดือน)
สพ.บ. 333/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 62 หน้า กว้าง 4.8 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา โหราศาสตร์
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
28 ธันวาคม
วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
วันคล้ายวันปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310
เลขทะเบียน : นพ.บ.160/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 96 (27-34) ผูก 7 (2565)หัวเรื่อง : ปริวารปาลิ(ปาลีปริวาน) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม