ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.45/1-3  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ก/1-15  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (มทฺรี-นครกัณฑ์)  ชบ.บ.106ข/1-13  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.346/1คห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 28 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 134  (370-377) ผูก 1ค (2565)หัวเรื่อง : นิพฺพานสุตฺต (นิพพานสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


                     พบที่เจดีย์หมายเลข ๑๕ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี           พระพิมพ์ปางสมาธิ ศิลปะศรีวิชัย พบที่เจดีย์หมายเลข ๑๕ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง            ​พระพิมพ์ดินดิบรูปทรงคล้ายหยดน้ำ ขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร สูง ๕.๑ เซนติเมตร แสดงภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเพชรบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย พระพักตร์ค่อนข้างกลม เม็ดพระศกหรือขมวดพระเกศาใหญ่ พระอุษณีษะหรือพระเกตุมาลานูน เบื้องหลังพระเศียรปรากฏประภามณฑลหรือรัศมีโดยรอบ พระวรกายอวบอิ่ม พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็กคอด ครองจีวรห่มเฉียง ไม่ปรากฏชายจีวรบนพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันบนพระเพลาในปางสมาธิ ประทับบนบัลลังก์ที่มีพนักพิง ด้านขวาของพระพุทธองค์มีสถูปขนาดเล็ก  ส่วนล่างของพระพิมพ์ ใต้ฐานบัว มีจารึก ๑ บรรทัด  กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ (ประมาณ ๑,๑๐๐ - ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว)           รูปแบบพระพิมพ์ชิ้นนี้สัมพันธ์กับศิลปะชวาภาคกลางในประเทศอินโดนีเซียและศิลปะอินเดียแบบปาละ คงสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และเป็นหลักฐานที่น่าจะแสดงถึงอิทธิพลศิลปะศรีวิชัยที่พบในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากพระพิมพ์มีขนาดเล็ก ประกอบกับการดำเนินงานทางโบราณคดีในเมืองโบราณอู่ทอง นอกจากพระพิมพ์นี้แล้ว ยังไม่เคยพบพระพิมพ์รูปแบบเดียวกันนี้ อาจเป็นไปได้ว่า พระพิมพ์องค์นี้เป็นการนำติดตัวเข้ามาของคนจากดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย เข้ามายังเมืองโบราณอู่ทอง ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนชาวพุทธนิกายมหายานจากรัฐศรีวิชัย ก็เป็นได้          อนึ่ง หลักฐานทางศิลปกรรมศิลปะศรีวิชัย และแสดงถึงความเชื่อในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่พบจากเมืองโบราณอู่ทอง นอกเหนือจากพระพิมพ์องค์นี้ ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และแสดงถึงการผสมผสานระหว่างการนับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาร และมหายาน ในเมืองโบราณอู่ทอง สมัยทวารวดี   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร,  โบราณคดีเมืองอู่ทอง, นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


ชื่อผู้แต่ง             - ชื่อเรื่อง              ประมวลพระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ดในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งที่พิมพ์          - สถานที่พิมพ์        พระนคร สำนักพิมพ์          โรงพิมพ์การรถไฟ ปีที่พิมพ์              ๒๕๐๘ จำนวนหน้า          ๑๙๒  หน้า หมายเหตุ            พิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ม.ล.ประจวบ  กล้วยไม้ (จมื่นเทพสุรินทร์)                          พระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ดที่นำมารวมพิมพ์ในเล่มนี้ ได้เคยตีพิมพ์ในหนังสือต่างๆ เป็นเรื่องในแนวต่างๆ กัน มีทั้งเรื่องการศึกษาราชประเพณี ขนบธรรมเนียม ศิลป และเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บางเรื่องก็คัดจากต้นพระราชหัตถเลขา เรื่องต่างๆ นอกจากจะให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ยังเป็นเครื่องชี้ให้เห็นพระราชอุตสาหะ และพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่ามิได้ทรงสมารถแต่เฉพาะในด้านปกครองประเทศด้านเดียว แต่ยังทรงสนพระทัยศึกษาค้นคว้าวิชาในแขนงอื่นๆอีกมาก แล้วยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชนิพนธ์เรื่องราวเหล่านั้นขึ้นไว้ให้เป็นมรดกอำนวยความรู้แก่ประชาชนคนไทยในสมัยต่อมาอีกด้วย



ภาชนะดินเผาบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟ พบที่โบราณสถานวัดพระนอน.จากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่ผ่านมาพบหลักฐานทางโบราณคดีประเภทภาชนะดินเผาบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟในบริเวณเมืองกำแพงเพชรอันได้แก่ วัดพระแก้ว วัดพระธาตุ วัดพระนอน วัดมณฑป วัดดงมูลเหล็ก วัดหมาผี และวัดกรุสี่ห้อง โดยพบโบราณวัตถุภายในภาชนะซึ่งคาดว่าเป็นของอุทิศให้กับผู้เสียชีวิตรวมอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น วัตถุลักษณะคล้ายกระดูกทำรูปกลีบดอกไม้สีแดงจากการขุดแต่งวัดมณฑป บางภาชนะพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ร่วมกับหอยเบี้ย เงินพดด้วงและแหวนทองคำจากการขุดแต่งวัดดงมูลเหล็ก และพบคันฉ่องสำริดร่วมในไหบรรจุกระดูกภายในบริเวณวัดพระธาตุ.คำว่า “อุทิศ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง ให้ ยกให้ เช่น อุทิศส่วนบุญให้กับผู้ตายตามประเพณี.ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ มีเหตุการณ์ฝนตกหนักที่ชะหน้าดินบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้ของวัดพระนอน ทำให้พบหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นใหม่ ได้แก่ ภาชนะดินเผาบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟ ปรากฏโบราณวัตถุร่วมภายในภาชนะคือ คันฉ่องสำริดจำนวน ๑ ชิ้น และ ชิ้นส่วนโลหะ ๑ ชิ้น แจกแจงรายละเอียดการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีดังนี้.ภาภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง มีลักษณะคอยาว ปากผายออก ส่วนลำตัวป่องแล้วลาดสอบลงไปบรรจบกับส่วนฐาน ก้นมีลักษณะแบนเรียบ ภายนอกพบร่องรอยของแป้นหมุนปะปนกับร่องรอยการกดด้วยนิ้วมือและทำการเคลือบสีน้ำตาลบริเวณส่วนปากจนถึงส่วนกลางของลำตัว ขอบของน้ำเคลือบไม่เรียบเสมอกัน บริเวณไหล่พบการปั้นแปะรูปทรงก้อนกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๕ เซนติเมตร จำนวนสองตำแหน่ง มีลักษณะสมบูรณ์หนึ่งตำแหน่ง และหลุดหายไปหนึ่งตำแหน่งโดยจุดปั้นแปะทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน พบรูเจาะรูปสี่เหลี่ยมขนาด ๑.๓ เซนติเมตร โดยขอบบนของรูดังกล่าวอยู่ในแนวรอยต่อของน้ำเคลือบภาชนะ ผิวภาชนะด้านนอกมีสีเทาลักษณะสีมีความไม่สม่ำเสมอกันตลอดทั้งใบ คาดว่าเกิดจากสีของดินที่นำมาขึ้นรูปภาชนะ และอุณหภูมิในการเผาภาชนะ ด้านในภาชนะมีการเคลือบสีน้ำตาลบริเวณส่วนปากถึงส่วนกลางของคอภาชนะ มีร่องรอยการย้อยลงของน้ำเคลือบ ภายในพบร่องรอยการกดด้วยนิ้วมือชัดเจนตลอดทั้งภาชนะ ผิวภาชนะด้านในมีสีเทา ด้านตัดของเนื้อดินมีสีเทาบริเวณขอบ และมีสีน้ำตาลบริเวณตรงกลาง เนื้อดินค่อนข้างหยาบ ปะปนด้วยหินขนาดเล็ก คาดว่าเกิดจากการเผาภาชนะไม่สุกโดยสมบูรณ์ .ภาชนะดินเผาใบนี้มีน้ำหนัก ๑,๑๘๘ กรัม ความสูง ๒๒.๘ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนขอบปาก ๑๓.๒ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนคอ ๙ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนลำตัว ๑๖.๔ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนก้น ๑๐.๓ เซนติเมตร และหนา ๐.๖ เซนติเมตร.ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟที่พบในภาชนะมีจำนวนทั้งหมด ๑๒๑ ชิ้น น้ำหนัก ๑๘๑.๓ กรัม โดยพบร่องรอยการเผาไฟและร่องรอยโลหะเหลวบนผิวชิ้นส่วนกระดูกบางชิ้น ทำการจำแนกประเภทตามหลักกายวิภาคศาสตร์ของกระดูกมนุษย์ด้วยตาเปล่า (gross analysis) เป็นจำนวน ๑๐ ประเภท ดังนี้๑. กะโหลกศีรษะ (skull) จำนวน ๒๘ ชิ้น ได้แก่ - แผ่นกะโหลกศีรษะ (cranial) จำนวน ๘ ชิ้น น้ำหนัก ๑๕ กรัม - กระดูกขมับ (temporal) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๓ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์  - กรามล่าง (mandible) ด้านขวา จำนวน ๒ ชิ้น น้ำหนัก ๔ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์  - กรามล่าง (mandible) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๒ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์  - ฟัน (teeth) สภาพไม่สมบูรณ์ จำนวน ๑๖ ชิ้น น้ำหนักรวม ๓.๓ กรัม เป็นฟันตัด (incisor) จำนวน ๑ ซี่ ฟันกรามล่าง (mandibular molar) จำนวน ๒ ซี่ ฟันกราม (molar) จำนวน ๔ ซี่ ที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ จำนวน ๒ ซี่ และรากฟัน จำนวน ๖ ซี่๒. กระดูกซี่โครง (ribs) จำนวน ๙ ชิ้น น้ำหนัก ๒๐ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์๓. กระดูกไหปลาร้า (clavicle) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๓ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๔. กระดูกสะบัก (scapula) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๔ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๕. กระดูกปลายแขนท่อนนอก (radius) จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๓ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๖. กระดูกหน้าแข้ง (tibia) ด้านขวา จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๒๗ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๗. กระดูกนิ้ว (phalanx) จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๑ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๘. กระดูกยาวไม่สามารถระบุชิ้นส่วนได้ (long bones) จำนวน ๑๖ ชิ้น น้ำหนัก ๗๖ กรัม๙. กระดูกที่ไม่สามารถระบุชิ้นส่วนได้ (unidentified) จำนวน ๑๐ ชิ้น น้ำหนัก ๑๐ กรัม๑๐. เศษชิ้นส่วนกระดูก (fragments) จำนวน ๕๓ ชิ้น น้ำหนัก ๑๐ กรัม.โบราณวัตถุร่วมภายในภาชนะคือ คันฉ่องจำนวน ๑ ชิ้น และ ชิ้นส่วนโลหะ ๑ ชิ้น ดังนี้.คันฉ่อง แผ่นโลหะทรงกลม บาง ด้านหน้ามีสีดำมันวาว ด้านหลังมีสีอ่อนกว่าด้านหน้าเล็กน้อยและด้าน ด้านตัดมีลักษณะโค้งไปทางด้านหน้าเล็กน้อย พบร่องรอยสนิมสีเขียวบริเวณผิววัตถุทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และมีผิวสีน้ำตาลบริเวณที่มีร่องรอยสนิมดังกล่าว มีน้ำหนัก ๒๔ กรัม เส้นผ่านศูนย์กลาง ๗.๔-๗.๖ เซนติเมตร และมีความหนา ๐.๑ เซนติเมตรชิ้นส่วนโลหะ.ชิ้นส่วนโลหะลักษณะทรงกระบอก ไม่สามารถวิเคราะห์และสันนิษฐานรูปทรงของโบราณวัตถุได้ มีลักษณะลีบแบน ปรากฏร่องรอยสนิมสีน้ำตาลคล้ายฟองอากาศอยู่บริเวณโดยรอบ ชิ้นส่วนโลหะมีน้ำหนัก ๓ กรัม ขนาดกว้าง ๑.๒ เซนติเมตร ยาว ๓.๘ เซนติเมตร หนา ๐.๐๑ เซนติเมตร และสูง ๐.๔-๐.๙ เซนติเมตร ________________________________________เอกสารอ้างอิงพิทยา ดำเด่นงาม. “รายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะโบราณสถาน เมืองเก่ากำแพงเพชร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร”. ใน รายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะโบราณวัตถุสถาน เมืองเก่ากำแพงเพชร เมืองศรีสัชนาลัย พ.ศ.๒๕๐๘ – ๒๕๑๒. คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถาน จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดกำแพงเพชร. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๑๔.สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถาน วัดพระแก้ว จังหวัดกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๔.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดดงมูลเหล็ก อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เขตในกำแพงเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร งบกลาง ปีงบประมาณ ๒๕๔๙. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๕๐.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง. รายงานการขุดแต่งวัดกรุสี่ห้อง ในเขตอรัญญิก เมืองกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :โครงการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งโบราณสถานจังหวัดกำแพงเพชร, ๒๕๔๓.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง. รายงานการขุดแต่งวัดมณฑปในเขตอรัญญิก เมืองกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๓.ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดพระธาตุจังหวัดกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๔.ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดพระนอนจังหวัดกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๕.ห้างหุ้นส่วนจำกัดเหมลักษณ์ก่อสร้าง. รายงานการบูรณะโบราณสถานเมืองกำแพงเพชร วัดหมาผี(น.๑๖) วัดรามรณรงค์(น.๔๐) วัดนาคเจ็ดเศียร(น.๑๓) วัดมะเคล็ด(น.๒๖) วัดสระแก้ว(น.๓๒). กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๐.อนุวัตร คงจันทร์. โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชร รายงานการขุดแต่งโบราณสถาน วัดดงมูลเหล็ก ปีงบประมาณ ๒๕๒๕-๒๕๒๙. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๒๗.White TD, Black MT, Folkens PA. Human osteology. ๓ed: Academic Press; ๒๐๑๑.


องค์ความรู้ : อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เรื่อง : เรื่องราวของ “โค” ที่ปราสาทพนมรุ้ง           ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู โค หรือ วัว นับว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีโคนนทิเป็นเทพพาหนะของพระศิวะเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ดังนั้นที่ปราสาทพนมรุ้งซึ่งเป็นเทวลัยที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ จึงพบประติมากรรม และภาพสลักเกี่ยวกับ โค หรือ วัว สอดแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของเทวลัยอันยิ่งใหญ่แห่งนี้            ภาพเกี่ยวกับโคที่เด่นชัดที่สุดของปราสาทพนมรุ้งจุดแรก คือ ประติมากรรมโคนนทิ ซึ่งถูกพบระหว่างการบูรณะปราสาทพนมรุ้ง ประติมากรรมดังกล่าวถูกสลักจากหินทราย เป็นรูปโคนั่งหมอบอยู่บนฐานเตี้ย ขนาดกว้าง ๘๒ เซนติเมตร ยาว ๑๑๒ เซนติเมตร และสูง ๗๒ เซนติเมตร นั่งหมอบพับขาทั้ง ๔ ข้างไปทางด้านขวา บนหลังมีโหนกนูนขึ้นมา แต่ส่วนหัวหักหายไป ก่อนจะมีการซ่อมขึ้นใหม่ให้สมบูรณ์ภายหลัง ปัจจุบันประติมากรรมโคนนทิของปราสาทพนมรุ้งเก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย และได้มีการจำลองไว้ที่ปราสาทพนมรุ้ง ตั้งอยู่ภายในมณฑปด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน และหันหน้าไปยังศิวลึงค์ที่เป็นประธานของเทวาลัย หรือก็คือสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูนั่นเอง           ทั้งนี้บริเวณหน้าบันด้านทิศใต้ของมณฑปปราสาทประธานปรากฏภาพสลัก อุมามเหศวร เป็นภาพสลักของพระศิวะและพระอุมา (พระชายา) ประทับร่วมกันบนหลังโคนนทิ การปรากฏคู่กันของทั้ง ๒ พระองค์มีความหมายถึง การประทานความสุข ความอุดมสมบูรณ์ การสร้างและก่อเกิดสรรพชีวิตต่างๆ บนโลก ปัจจุบันภาพสลักดังกล่าวอยู่สภาพชำรุด แต่ยังสามารถมองเห็นภาพ โคนนทิ ซึ่งประดับเครื่องทรงงดงาม และแวดล้อมด้วยบริวารถือเครื่องสูงได้อย่างชัดเจน           ภาพสลักเกี่ยวกับโคที่ปราสาทพนมรุ้งภาพสุดท้ายเป็นภาพ โยคีรีดนมวัว ปรากฏอยู่บริเวณหน้าบันชั้นลดมุขด้านทิศเหนือของปราสาทประธาน เป็นภาพแสดงเหตุการณ์ โยคีกำลังจับโคไว้เพื่อไม่ให้ดิ้น ส่วนโยคีอีกตนกำลังรีดนมวัวอยู่ ด้านบนจะเห็นโยคีอีกตนกำลังห้อยโหนบนต้นไม้ และยังปรากฏสุนัขตัวหนึ่งกำลังทำท่ากระโจนหาวัวในภาพอีกด้วย           เป็นที่น่าสนใจว่าวัวที่เปรียบเสมือนเทพพาหนะของพระศิวะ ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นอกจากได้รับการบูชาสักการะแล้ว ยังถือเป็นสัตว์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของทั้งโยคีที่บำเพ็ญตน และผู้คนในสมัยโบราณเป็นอย่างมาก หากนักท่องเที่ยวท่านใดมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมปราสาทพนมรุ้ง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ อย่าลืมสังเกตประติมากรรมหรือภาพสลักต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้การท่องเที่ยวมีอรรถรส และเพิ่มความสนุกเพลิดเพลินในการชมโบราณสถานแห่งนี้ได้มากยิ่งขึ้น เรียบเรียงโดย นายพงศธร ดาวกระจาย ผู้ช่วยนักโบราณคดี อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เอกสารอ้างอิง: กมลวรรณ นิธินันทน์. ภาพสลักโยคี ณ ปราสาทพนมรุ้ง. นครราชสีมา: กรมศิลปากร, ๒๕๖๓. พิสิฐ เจริญวงศ์ และคณะ. ปราสาทพนมรุ้ง. พิมพ์ครั้งที่ ๖. บุรีรัมย์: สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๕๑. สมบูรณ์ บุณยเวทย์. “บันทึกประสบการณ์ครั้งเริ่มบูรณะปราสาทหินพิมายและปราสาทหินพนมรุ้ง.” ศิลปากร. ๔๑, ๕ (กันยายน-ตุลาคม, ๒๕๔๑): ๖๘-๙๑.  


วันมหิดล 24 กันยายน วันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (กรมหลวงสงขลานครินทร์) พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" ด้วยพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้น ได้เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์ อีกทั้งได้ทรงพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการผลิตแพทย์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์ และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศในกาลต่อมา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้ขนานนามวันสำคัญนี้ว่า "วันมหิดล" เพื่อเป็นการถวายสักการะ และน้อมรำลึกต่อพระองค์ท่าน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2434 และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2472 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชอัยกาในพระบาทสมเด็จพระ วชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงศึกษา วิชาทหารเรือ ที่เยอรมนี แล้วเสด็จกลับมารับราชการทหารเรือ ต่อมาทรงมีอาการประชวรไม่สามารถรับราชการหนักได้ ประกอบกับทรงสนพระทัยด้านการแพทย์ จึงทรงอุตสาหะเสด็จไปศึกษาวิชาสาธารณสุขและวิชาการแพทย์ ณ สหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุข และปริญญาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อเสด็จกลับมาเมืองไทย พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณ๊ยกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากมาย ได้แก่ ทรงเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ทรงช่วยเหลือในการขยายกิจการของโรงพยาบาลศิริราช ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จัดสร้างตึกคนไข้และจัดหาที่พักสำหรับพยาบาล ทรงบริจาคทรัพย์เป็นทุนให้นักศึกษาแพทย์และพยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศ ประทานเงินเพื่อจัดหาเครื่องมือแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลติดต่อกับมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ สาขาเอเชียบูรพา ในการปรับปรุงและวางมาตรฐานการศึกษา และทรงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งการแพทย์และการสาธารณสุขไทย” ในปี พ.ศ. 2493 มีการสร้างพระราชานุสาวรีย์ขึ้น โดยประดิษฐานไว้ ณ ใจกลางโรงพยาบาลศิริราช เพื่อน้อมเกล้าถวายความกตัญญูกตเวที ด้วย สำนึกในพระเมตตาคุณของพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทย ได้มอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี เป็นผู้ควบคุมงาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดพระราชานุสาวรีย์เมื่อวันที 24 เมษายน พ.ศ. 2493 ทุกวันที่ 24 กันยายน กำหนดให้เป็นวันมหิดล มีกิจกรรมที่สำคัญ ณ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จฯ พระบรมราชชนก ภายในโรงพยาบาลศิริราช คือ พิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระรูป พร้อมทั้งอ่านคำสดุดีพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นประจำทุกปี


พัฒนาการทางโบราณคดีและประวัติศาตร์ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ขอบคุณ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าสงขลาเป็นปลายทางแรกของสยามที่เมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าเดินทางมาถึง อย่างไรก็ตาม พบหลักฐานว่ากาแฟเป็นที่รู้จักในเมืองสงขลามาอย่างยาวนานกว่านั้น... พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ขอเสิร์ฟเครื่องดื่มแห่งการเรียนรู้ เนื่องในนิทรรศการพิเศษ "จากอาระเบียสู่สงขลา : การเดินทางของกาแฟ" (ตอนที่ 2)   ................................................................................... Producer & Script Writer : Thiranad Meenoon  Editor & Animator : Pakamas Leeskul  Narrator : Jerdja Rujirat Music : Warm Feeling By Frumhere, Kevatta .................................................................................... เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : การปรากฏตัวในฐานะพืชเศรษฐกิจ กาแฟปรากฏตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการด้วยการนำพาของมหาอำนาจยุโรปในฐานะ “พืชเศรษฐกิจ” อันมุ่งหวังเป็นฐานการผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดโลก โดยกาแฟต้นแรกหยั่งรากลงบนเกาะชวาในปี 1690 จากนั้นการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์เริ่มกระจายไปทั่วภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งร้านกาแฟในระยะแรกเปิดให้บริการชาวตะวันตกที่อาศัยในดินแดนอาณานิคม กระทั่งล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 จึงเริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มคนท้องถิ่นและกระจายตัวไปทั่วภูมิภาค   สยาม : เครื่องดื่มรสขมเครื่องหมายความศิวิไลซ์ กาแฟเดินทางมาถึงสยามอย่างช้าที่สุดก็ในราวปลายศตวรรษที่ 17 ด้วยในบันทึกชาวต่างชาติสมัยอยุธยาตอนปลาย ได้แก่ จดหมายเหตุลาลูแบร์ และสำเภากษัตริย์สุลัยมาน (The Ship of Sulaiman) ระบุว่าในสยามดื่มกาแฟที่มาจากโลกอาหรับ นิยมใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง กระทั่งในศตวรรษที่ 19 พบว่ามีการทำไร่กาแฟที่เมืองจันทบูร ดังปรากฏในบันทึกของสังฆราชชอง-บาตีสต์ ปาเลอกัว (Mgr.Jean-Baptiste Pallegoix) รวมถึงมีหมายรับสั่งของรัชกาลที่ 3 ให้ใช้ที่ดินด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังเป็นสวนกาแฟ ตลอดจนบันทึกรายวันของเซอร์ จอห์น เบาริง (Sir John Bowring) ระบุถึงไร่กาแฟบริเวณบางกอกฝั่งตะวันตก (ธนบุรี) กระทั่งล่วงเข้าสู่ต้นรัชกาลที่ 5 จึงได้ปรากฏชื่อกาแฟในรายการสินค้าส่งออกของสยาม ตลอดจนมีนโยบายส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างจริงจังในเมืองตรัง เมื่อปี 1891  อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟระยะแรกยังจำกัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงเพื่อแสดงถึงความศิวิไลซ์ โดยพบว่าเริ่มนิยมดื่มผสมนมวัวมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และปรากฏหลักฐานกล่าวถึงวัฒนธรรมการดื่มกาแฟและอาหารเช้าอย่างฝรั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้กาแฟยังคงเป็นเครื่องดื่มสำหรับรับรองชาวต่างชาติ ระบุในบันทึกของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาสยามในปลายศตวรรษที่ 19  โดยร้านกาแฟร้านแรกถือกำเนิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 คือร้าน Red Cross Tea Room ก่อตั้งโดย แหม่มโคล (Miss Edna Sarah Cole) ในปี 1917 ให้บริการแก่ลูกค้าชาวตะวันตก คหบดี และชนชั้นสูง ต่อมาร้านกาแฟร้านแรกโดยชาวสยามปรากฏตัวขึ้นเพื่อเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของกลุ่มชนชั้นสูงคือ “ร้านนรสิงห์” จนล่วงเข้าสู่รัชกาลที่ 7 ร้านกาแฟจึงค่อย ๆ เพิ่มจำนวนและขยายความนิยมไปสู่ชนชั้นกลาง สอดคล้องกับการกลับมาของนักเรียนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ได้นำพาวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบตะวันตกเข้ามาแพร่หลาย รวมถึงมีชาวจีนอพยพเปิดร้านกาแฟ “เอี๊ยะแซ” ขึ้นในย่านเยาวราช ซึ่งต่อมาได้กลายศูนย์รวมของผู้คน ในที่สุดร้านกาแฟก็ขยายไปสู่ทุกกลุ่มคน กระจายตัวไปทุกหนแห่งและกลายเป็นศูนย์รวมข่าวสาร  สงขลา : การมาถึงของกาแฟสายพันธุ์ใหม่   เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าสงขลาเป็นปลายทางแรกของสยามที่เมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าเดินทางมาถึง ก่อนจะขยายไปจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ โดยข้อมูลจากการสำรวจของกระทรวงเกษตร เมื่อปี 1955 ระบุว่า ชาวมุสลิมผู้หนึ่งนำมาปลูกไว้ในพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อยราวปี 1904  อย่างไรก็ตาม พบหลักฐานว่ากาแฟเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ปกครองสงขลาแล้วก่อนปี 1859 อันเป็นปีที่รัชกาลที่ 4 เสด็จประพาสเมืองสงขลา ด้วยมีบันทึกกล่าวถึงการถวายเครื่องกาแฟกาไหล่ทองคำ จากนั้นรายงานสถานภาพเมืองสงขลาปี 1894 ระบุว่าที่ดินชายแดนเมืองไทรบุรีมีความเหมาะสมต่อการทำสวนกาแฟ และมีชาวต่างชาติเข้ามาสำรวจและพอใจที่ดินบริเวณตำบลพตง (พะตง) ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอหาดใหญ่ นำมาสู่การร่วมทุนของพระยาวิเชียรคีรี (ชม) หลวงจำนงนิเวศกิจ (มร.แรมแซ) และมิสเตอร์ฮาร์ริซันทำสวนกาแฟในปี 1894-1895  ทั้งนี้ ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าวัฒนธรรมการดื่มกาแฟเริ่มขึ้นเมื่อใด ทว่าร้านกาแฟระยะแรกน่าจะอยู่ในรูปแบบ “โกปี้เตี๊ยม” หรือร้านกาแฟดั้งเดิมที่ดำเนินการโดยชาวจีนอพยพ ซึ่งพบแพร่หลายในคาบสมุทรมลายู โดยปรากฏร้านเก่าแก่อายุกว่า 90 ปีบนถนนนางงาม เช่น ร้านฮับเซ่ง ร้านน่ำหลี ร้านฟุเจา เป็นต้น และในบทความบรรยายสภาพเมืองสงขลาในปี 1938 กล่าวถึงร้านกาแฟของชาวจีนในตลาดใหม่ ในช่วงศตวรรษที่ 20 จึงน่าจะเป็นระยะที่ร้านกาแฟเริ่มปรากฏตัวอย่างแพร่หลาย ขณะที่เมล็ดกาแฟนำเข้ามาจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์เป็นหลัก ปัจจุบันร้านกาแฟกระจายตัวแน่นหนาบนถนนนครนอก นครใน และนางงาม ที่ซึ่งกาแฟออกเดินทางจากอาระเบียมาถึงสงขลาอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัด .................................................................................... อ้างอิง  1. คเณศ กังวานสุรไกร. (2565). เส้นทาง “กาแฟ” จากพืช ถึงเครื่องดื่มทางศาสนา แล้วเป็นธุรกิจฮิตทั่วโลกได้อย่างไร. เข้าถึงเมื่อ 30 กรกฎาคม 2565. เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/culture/art... 2. เชื้อ ธรรมทิน สุวรรณรัต. (2509). การปลูกและการผลิตกาแฟ ภาคปฏิบัติของกรมการปกครอง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง. (พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ นายศุข สงวนน้อย ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม 13 มกราคม 2509). 3. เญาฮาเราะห์ ยอมใหญ่. (2554). เส้นทางกาแฟจากเยเมนถึงลอนดอนในศตวรรษที่ 10-17. เข้าถึงเมื่อ 30 กรกฎาคม 2565. เข้าถึงได้จาก https://www.publicpostonline.net/8855 4. ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. (2527). สำเภากษัตริย์สุลัยมาน. เอกสารทางวิชาการ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. เข้าถึงได้้จากhttp://www.openbase.in.th/files/ebook... 5. โดม ไกรปกรณ์. (2557). “การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยอาณานิคม : มองผ่านการผลิตและบริโภคกาแฟ.” ภาษาและวัฒนธรรม 33, 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม): 5-20.  6. ธนพร สิงหกลางพล. (2557). วัฒนธรรมกาแฟของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีศึกษาวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของชาวพม่า. ภาคนิพนธ์ปริญญาบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 7. พรรณนีย์ วิชชาชู, บรรณาธิการ. (2561). “ย้อนรอยประวัติศาสตร์กาแฟโลก.” พืชสวน 33, 1 (มกราคม-เมษายน): 4-13. 8. ลาลูแบร์,มองซิเออร์ เดอ. (2457). จดหมายเหตุลาลูแบร์ พงศาวดารสยามครั้งกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. แปลโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์. กรุงเทพฯ: ปรีดาลัย เข้าถึงเมื่อ 15 มิถุนายน 2565 เข้าถึงได้จาก: https://cupdf.com/document/-155720def... 9. ศรินธร รัตน์เจริญขจร. (2544). ร้านกาแฟ: ความหมายในวัฒนธรรมไทยยุคบริโภคนิยม. วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต (มานุษยวิทยา) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 10. สาส์นสมเด็จ พุทธศักราช 2484. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อ 30 มิถุนายน 2564 เข้าถึงได้จาก https://vajirayana.org/สาส์นสมเด็จ-พุ.... 11. สรวิชญ์ ฤทธิจรูญโรจน์. (2563). เมื่อสยามต้องการส่งออก "ข้าวแฝ่". เข้าถึงเมื่อ 30 กรกฎาคม 2565. เข้าถึงได้จาก https://m.museumsiam.org/dadetail2.ph... 12. สแตนเดจ, ทอม. (2565). ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว. พิมพ์ครั้งที่ 7. แปลโดย คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์. กรุงเทพฯ: บุ๊คสเคป. 13. สุกัญญา สุจฉายา. “อาหารไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา.” วารสารมนุษยศาสตร์ 24, 2(กรกฎาคม-ธันวาคม 2560): 1-29. 14. สำนักราชเลขาธิการ. (2537). หนังสือจดหมายเหตุฯ The Bangkok Recorder. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) (พิมพ์พระราชทานในงานพระราชทานเพลิงศพ นายสมหมาย ฮุนตระกูล ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ธันวาคม 2536). 15. อรวรรณ วิชัยลักษณ์, พิสมัย พึ่งวิกรัย และณัฐธิดา ห้าวหาญ. (2557). การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟ. กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมการเกษตร. 16. Hewitt, Robert. (1872). Coffee: Its History, Cultivation, and Uses. New York: D. Appleton and company.  17. Kucukkomurler, Saime and Ozgen, Leyla. (2009). Coffee and Turkish Coffee Culture. Accessed July 30, 2022. Available from file:///C:/Users/HP-PT/Downloads/Coffee_and_Turkish_Coffee_Culture.pd


ชื่อเรื่อง                               ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺต(ธรรมจักร) สพ.บ.                                  อย.บ.3/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           52 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวด             บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ภาษามอญ เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ  ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา


        ระฆังสำริดมีจารึก          ศิลปะอยุธยา พุทธศักราช ๒๒๔๐         ปัจจุบันเก็บรักษาที่วัดป่าพฤกษ์ ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี         ระฆังทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๔๐ ซม. สูง ๗๒ ซม. มีห่วงกลมสำหรับแขวน ตกแต่งเป็น         รูปเศียรนาค ๔ เศียร ตัวระฆังมีแถบคาดทั้งแนวตั้งและแนวนอน จุดตัดขอบแถบคาดทำเป็นปุ่มกลม          ปากระฆังผายออก มีตัวอักษรหล่อนูนระบุประวัติและศักราชการสร้างเป็นอักษรไทยอยุธยา ภาษาไทย บริเวณแถบแนวนอน จำนวน ๓ บรรทัด อ่านโดยนายบุญนาค สะแกนอก นักภาษาโบราณ ๕ ตรวจสอบ อ่าน แปลโดยนางสาวเอมอร เชาว์สวน นักภาษาโบราณเชี่ยวชาญ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๔          คำจารึก “๑. พุทะสักราด ๒๒๔๐ปีเสดสังขะหยา ๗ เดีอนกับวัน ๑ มะหาสี วิเชียนไดสางรํคังไวกับไนพระ                       ๒. สาดห้นาเปนทองเจดสิบชัง หีมนพิจีดนิระมํนยูตำบํนละ ชองลํมไดหํลอๆวันสุกเดีอน อายแรมคำนีงปีชํหุลนัพะสํก                       ๓. ไดเรีก ๓๒ ชัน”        คำอ่าน “๑. พุทธศักราช ๒๒๔๐ ปี เศษสังขยา ๗ เดือน กับวัน ๑ มหาศรี วิเชียรได้สร้างระฆังไว้กับในพระ                     ๒. ศาสนา เป็นทองเจ็ดสิบชั่ง หมื่นพิจิดนิระมนอยู่ตำบลละ ชองลมได้หล่อ หล่อวันศุกร์ เดือน อ้าย แรมค่ำหนึ่ง ปีฉลู นพศก                     ๓. ได้ฤกษ์ ๓๒ ชั้น”          เนื้อความจารึกบนระฆังจากวัดป่าพฤกษ์สามารถให้ข้อมูลได้ว่า ระฆังใบนี้สร้างโดยขุนนางและพระเถระผู้ใหญ่ในปีพุทธศักราช ๒๒๔๐ ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา ระฆังใบนี้จึงเป็นตัวอย่างรูปแบบระฆังสำริดที่สร้างขึ้นสมัยอยุธยา แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการช่างในการหล่อระฆังและการจารึกข้อความเป็นตัวอักษรนูนต่ำ          นอกจากนี้ยังพบระฆังซึ่งมีจารึกระบุศักราชชัดเจนว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีอีกสองแห่ง อันได้แก่ วัดโพธิ์คลาน และวัดพระรูป อาจสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในการสร้างระฆังเพื่อถวายในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับการสร้างพระพุทธรูป และสะท้อนให้เห็นว่าเมืองสุพรรณบุรียังคงเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความสำคัญในสมัยอยุธยาตอนปลาย


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           39/7ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              40 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.