ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
ชื่อเรื่อง : ไทย
ชื่อผู้แต่ง : คลิฟทัน ดอดด์, วิลเลี่ยม
ปีที่พิมพ์ : 2503
สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท.
สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.
จำนวนหน้า : 234 หน้า
สาระสังเขป : หนังสือเรื่อง ไทย เขียนโดยวิลเลี่ยม คลิฟทัน ดอดด์ หมอที่เข้ามาสอนศาสนาและอาศัยอยู่ในเมืองไทยนานถึง 32 ปี มีเนื้อหากล่าวถึงชนชาติไทยในถิ่นต่าง ๆ ซึ่งได้ค้นคว้าหาข้อมูลจากประสบการณ์การเดินทางสำรวจด้วยตนเอง เริ่มจากภาคเหนือของไทยเข้าไปในประเทศพม่า ลาว เวียดนาม ไปจนถึงมณฑลยูนาน กวางสี และกวางตุ้งในประเทศจีน มีข้อสันนิษฐานว่าคนไทยแต่เดิมนั้นมีที่มาหลากหลายเชื้อสายเช่น มีเชื้อสายมองโกล ลาว ยูนาน โดยพิจารณาจากความคล้ายคลึงกันทางด้านภาษา และขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณี
ใน พ.ศ.๒๕๖๒ การรถไฟแห่งประเทศได้เสนอแผนปฏิบัติงานการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณบ้านพักพนักงานรถไฟเพื่อเพิ่มรายได้จากค่าเช่าที่ดิน (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ตามนโยบายฟื้นฟูกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทย เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ของเมืองธนบุรีเดิม ในการดำเนินงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการฯ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.๒๕๕๖ จึงกำหนดให้มีแผนงานศึกษาผลกระทบด้านศิลปวัฒนธรรมด้วยการว่าจ้างเอกชนทำการศึกษาทางโบราณคดีพื้นที่ดังกล่าวโดยมีกรมศิลปากร กองโบราณคดีเป็นผู้ควบคุมงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานเพื่อลดผลกระทบต่อหลักฐานทางโบราณคดีที่อยู่ใต้ดินในพื้นที่โครงการฯ ในการดำเนินงานขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณบ้านพักพนักงานรถไฟ ซอย ๑ – ๖ สถานีธนบุรี ระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ๒๕๖๒ พบหลักฐานทางโบราณคดี ตั้งแต่ระดับลึกจากพื้นที่ใช้งานปัจจุบัน ลงไป ๕๐ เซนติเมตร – ๒.๓ เมตร (ระดับชั้นดินสมมติ 30 – 240 cm.dt.) ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาประเภทเครื่องถ้วยจีน เศษภาชนะดินเผาประเภทเครื่องถ้วยญี่ปุ่น กระเบื้องมุงทำด้วยดินเผา กระเบื้องมุงทำด้วยซีเมนต์เคลือบสี ตะปูรถไฟใช้ยึดรางรถไฟ ฯลฯ กำหนดอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๖ หลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ ให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณบ้านพักพนักงานรถไฟได้ว่า อาจมีการเข้าใช้พื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยในช่วงระยะเวลาเมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นต้นมา หรือนับแต่เมื่อการสร้างสถานีรถไฟธนบุรีสายตะวันตก (กรุงเทพฯ – เพชรบุรี) ที่สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๓ และเปิดใช้เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๖ โดยก่อนหน้านี้ แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.๒๔๓๙ ให้รายละเอียดพื้นที่บริเวณนี้ว่าเป็นพื้นที่ทางการเกษตร ยังไม่มีการปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้รับจากการดำเนินงานขุดค้นทางโบราณคดีครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานในพื้นที่จำกัด เพื่อประกอบการพิจารณาในการลดผลกระทบต่อหลักฐานทางโบราณคดีในพื้นที่ ดังนั้นในการแปลความหรืออ้างอิงถึงข้อมูลสภาพพื้นที่แหล่งทางโบราณคดีจึงใช้ได้เฉพาะพื้นที่ซึ่งได้ดำเนินการทางโบราณคดีเท่านั้น ภาพ : แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.๒๔๓๙ แสดงที่ตั้งพื้นที่ขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณบ้านพักพนักงานรถไฟสถานีธนบุนรี (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดยังเป็นพื้นที่ทางการเกษตร ภาพถ่ายทางอากาศแสดงตำแหน่ง พื้นที่ขุดค้นทางโบราณคดี บริเวณบ้านพักพนักงานรถไฟ สถานีธนบุรี (จุดวงกลมสีแดง) ภาพ : การขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่หลุมขุดค้นที่ ๓ ในซอยหมู่บ้านรถไฟ ซอย ๓ ซึ่งมีท่อประปาวางผ่านในบริเวณหลุมขุดค้น ภาพ : (ซ้าย)โถพร้อมฝาลายคราม พิมพ์ลายอักษรมงคล เครื่องถ้วยจีน อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (ขวา) กระโถนลายคราม เขียนลายกอบัว เครื่องถ้วยจีน อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ภาพ : (ซ้าย)จานเชิงลายเขียนสี เครื่องถ้วยจีน อายุราวกลาง – ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (ขวา) ชามลายคราม เขียนลายพันธุ์พฤกษา เครื่องถ้วยจีน อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ภาพ : ชามพิมพ์ลายคราม เป็นลายดอกไม้และลายก้านขด เครื่องถ้วยญี่ปุ่น อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ภาพ : (ซ้าย) ชิ้นส่วนก้นจานเคลือบใส ก้นจานด้านนอกพิมพ์ข้อความภาษาอังกฤษ ว่า “THE IRONSTONE CHINA” “MATSUMURA&CO.” “MADE IN JAPAN” พร้อมตรากิเลน และมงกุฎ อายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๖ (ขวา) ภาพรายละเอียดตราที่พิมพ์บนภาชนะ ภาพ : ตะปูเหล็กใช้ยึดรางรถไฟ อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ – กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๖ ---------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวเมธินี จิระวัฒนา นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี---------------------------------------------
ด้วยตระหนักในความสำคัญของเหตุการณ์ที่สทควรจดบันทึกไว้เป็นจดหมายเหตุความทรงจำของประเทศ กรมศิลปากรจึงมอบหมายให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จดบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี และจัดพิมพ์เป็นกนังสือจดหมายเหตุประเทศไทยประจำปี เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชน อันถือเป็นการสร้างสรรค์และสืบสานองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าสืบไป
วัดมะเหยงคณ์ ตำบลเที่ยงแท้ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท สิ่งสำคัญภายในวัด ๑. โบสถ์ ๒. วิหาร ๓. เจดีย์ ๔. กุฏิพระชัยนาทมุนี ประวัติและความสำคัญ วัดมะเหยงคณ์ เดิมเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น เมื่อครั้งที่เจ้ายี่พระยาขึ้นครองเมืองสรรคบุรี ในปี พ.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๗ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ข้าศึกมารุกรานทำให้วัดถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๕๒ ชาวบ้านช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาใหม่ และมีการก่อสร้างเสนาสนะขึ้นหลายรายการ โดยพระชัยนาทมุนี (หรุ่น) ลักษณะรูปแบบศิลปกรรม : สมัยอยุธยาตอนต้น – รัตนโกสินทร์ พื้นที่โบราณสถาน : ๗ ไร่ ๓ งาน ๕ ตารางวา เส้นทางสู่แหล่ง : จากศาลากลางจังหวัดชัยนาท ไปตามถนนวงษ์โตราว ๗๐๐ เมตร ถึงแยกแขวงการทางให้เลี้ยวขวา เข้าสู่ถนนหมายเลข ๓๔๐ มุ่งหน้าลงมาทิศใต้ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข ๓๐๑๐ ไปอีกประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำน้อยไปแล้วให้เลี้ยวขวา มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ตามถนนเลียบแม่น้ำน้อยไปอีกราว ๑ กิโลเมตร ถึงที่หมายอยู่ทางด้านซ้าย การขึ้นทะเบียน : ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗ ตอนที่ - พิเศษ ๑๐๔ง วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๓ ----------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : ทะเบียนโบราณสถานในเขตสำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี----------------------------------------------
ชื่อเรื่อง ปฐมสมโพธิ (ปฐมสมโพธิเผด็จ)สพ.บ. 140/13ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58 ซ.ม. หัวเรื่อง พระพุทธเจ้า พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดศรีบัวบาน อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า หรือประเพณีทานฟืน เป็นหนึ่งในประเพณีสิบสองเดือนของล้านนา จัดขึ้นในเดือนสี่ภาคเหนือ หรือเดือนยี่ภาคกลาง (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม) ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำของเดือน ความหมายของชื่อประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า มีดังนี้“ทาน” คือ การให้“หลัว” คือ ฟืนที่นำมาเป็นเชื้อก่อไฟ“หิง” คือ การผิงสำหรับคำว่า “พระเจ้า” คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่นี้ หมายรวมถึง พระพุทธรูป ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้าเกิดจากความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงฤดูหนาวพระพุทธรูปก็หนาวเช่นเดียวกันกับมนุษย์ จึงนำหลัวมาจุดไฟให้ผิงเพื่อให้คลายหนาววิธีการหาหลัว (ฟืน) มาใช้ในประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้านั้น เมื่อใกล้ถึงวันที่จะประกอบพิธี เจ้าอาวาสของวัดนั้น ๆ จะให้พระภิกษุ สามเณร ลูกศิษย์ไปหาหลัวตามป่า ทั้งนี้ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงกับวัดที่ประสงค์จะไปร่วมงานก็จะช่วยกันหาไม้มาด้วย ในปัจจุบันไม้ในป่าหายากมากขึ้น ชาวบ้านจึงนำไม้ในสวนมาใช้แทน หลังจากเตรียมหลัวเรียบร้อยแล้ว ต้องเตรียมพานข้าวตอกดอกไม้ ฟืนที่จะถวายทำเป็นท่อนยาวประมาณ ๑ วา (คือประมาณ ๒ เมตร) จำนวน ๑ มัด หากถวายตอนเช้าหรือเพล ต้องจัดเตรียมอาหารถวายพระสงฆ์ด้วย ถ้าถวายตอนเย็นไม่ต้องถวายอาหาร นำเครื่องสักการะไปวัด ไหว้พระ รับศีลจากพระสงฆ์ แล้วกล่าวคำถวาย หลังจากนั้นนำฟืนที่เตรียมไว้เข้าประเคนหน้าพระพุทธรูปประธาน อีกทั้ง อาจนำกรวยดอกไม้ หรือที่ชาวล้านนาออกเสียงว่า สวยดอกไม้ (สวยดอก) เข้าประเคนพระสงฆ์ และขอพรการเผาบูชาเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า กระทำในวันถัดมา เวลาประมาณ ๐๔.๐๐ – ๐๕.๐๐ น. ขั้นตอนนี้สมภาร (เจ้าอาวาส) เป็นผู้จุดไฟที่กองหลัวหิงไฟพระเจ้าเป็นรูปแรกพร้อมกับตีฆ้อง ๓ ครั้ง เพื่อประกาศแก่ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงให้ได้รับทราบและร่วมกันอนุโมทนาบุญ หลังจากก่อกองไฟไปสักพัก ไม้ไผ่ที่อยู่ข้างในจะระเบิดขึ้นทำให้เกิดเสียงดัง เป็นเครื่องเตือนให้ชาวบ้านตื่นมาจัดเตรียมอาหารเพื่อมาทำบุญที่วัดประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้ามีคุณค่าในด้านต่าง ๆ หลายประการ อาทิ เป็นประเพณีที่ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวบ้าน และหมู่พระสงฆ์ อีกทั้งประเพณีนี้ยังมีคุณค่าทางด้านจิตใจคือ ผู้ปฏิบัติมีความสุข และมีความสบายใจภาพประกอบ : การเผาบูชาในประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้าที่มาของภาพประกอบ : นายศักดิ์นรินทร์ ชาวงิ้วนางสาวรุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มจารีตประเพณี สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ค้นคว้าเรียบเรียง
ในการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งเตาเผาสังคโลก แหล่งโบราณคดี หรือโบราณสถานสมัยสุโขทัยหลาย ๆ แห่ง เราจะพบเครื่องสังคโลกประเภทต่าง ๆ อาทิ ภาชนะ ตุ๊กตา และรวมไปถึงเครื่องประกอบสถาปัตยกรรมอันเป็นโบราณวัตถุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อสร้างสถาปัตยกรรมในสมัยสุโขทัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สังคโลกที่เป็นเครื่องประกอบสถาปัตยกรรมมีหลายรูปแบบซึ่งให้ทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย ได้แก่ โคมไฟ มีการเคลือบสีเขียวอมเทาและฉลุเป็นลายเครือเถาเพื่อให้แสงไฟสามารถลอดผ่านออกมาได้ ราวระเบียง ทำเป็นทรงกระบอกควั่นเป็นปล้อง เจาะช่องสำหรับเสียบกับเสาไม้ซึ่งวางเรียงต่อกันเป็นแนวตามระเบียงอาคาร กระเบื้องมุงหลังคา พบที่เคลือบด้วยน้ำยาเคลือบสีเขียวและไม่เคลือบผิว กระเบื้องเชิงชาย ทำเป็นลายเทพนมและลายพันธุ์ไม้ ใช้ปิดช่องของกระเบื้องกาบกล้วยบริเวณชายหลังคา บราลี เป็นเครื่องประดับหลังคา ลักษณะเป็นยอดขนาดเล็กใช้ปักตามแนวสันหลังคา นอกจากส่วนประกอบต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ยังพบประติมากรรมสังคโลกที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องประกอบสถาปัตยกรรมด้วย เช่น ยักษ์ ถือกระบอง ทำหน้าที่เป็นทวารบาลดูแลรักษาศาสนสถานนั้น ๆ เทพนม เป็นประติมากรรมรูปเทวดาครึ่งตัวประนมมือ มกร สัตว์ผสมตามความเชื่อของคนในสมัยสุโขทัย มักประดับอยู่ที่มุมหลังคาหรือราวบันได สังคโลกเหล่านี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพียงเพื่อการใช้งานหรือเพื่อการประดับตกแต่งเท่านั้น ทว่ายังแฝงไปด้วยคติความเชื่อต่าง ๆ ทั้งความเชื่อเรื่องทวารบาลและเทวดาที่เป็นผู้พิทักษ์ไม่ให้สิ่งชั่วร้ายหรือภูตผีปีศาจเข้ามารบกวน มกรที่สื่อความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราจินตนาการภาพสิ่งก่อสร้างในสมัยสุโขทัยได้ชัดเจนขึ้นแล้ว โบราณวัตถุกลุ่มนี้ยังทำให้เราเข้าใจความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้นมากขึ้นด้วยเช่นกัน องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมศิลปะสุโขทัย -------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก-------------------------------------------------