ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.112/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 5.4 x 55.3 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 63 (192-196) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : 8 หมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.143/14ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 86 (346-361) ผูก 14 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺปฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชายฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งอยู่บนคาบสมุทรมาลายู บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย มีลักษณะภูมิประเทศเป็นคาบสมุทร คือเป็นพื้นดินแคบ ๆ ทอดตัวออกไปในแนวเหนือใต้ โดยมีทะเลขนาบทั้งสองฝั่ง ฝั่งตะวันตกคือทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย และฝั่งตะวันออกคือทะเลอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการค้นพบร่องรอยวิวัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่นแหล่งโบราณคดี ถ้ำหลังโรงเรียน จังหวัดกระบี่ ที่สามารถกำหนดอายุได้ถึง ๔๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ( สุรพล นาถะพินธุ ๒๕๕๐ : ๒๔ ) จนเข้าสู่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ ด้วยชายฝั่งทะเลอันดามันตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นชัยภูมิสำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเลจึงมีปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงการติดต่อค้าขายกันระหว่างชาติตะวันออกอย่างประเทศจีน กับชาติตะวันตกอย่างประเทศอินเดีย และอาหรับ-เปอร์เชีย มีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕ – ๑๔ โดยมีข้อสันนิษฐานจากนักประวัติศาสตร์โบราณคดีว่าบริเวณชายฝั่งอันดามันอาจจะเป็นที่ตั้งของเมือง “เกอหลัว/ตักโกลา” ตามที่มีปรากฏในหลักฐานเอกสารโบราณ ( อมราศีสุชาติ ๒๕๕๗ : ๑๑๕ ) จากการเข้ามาติดต่อค้าขายของอินเดีย ทำให้พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่นจารึกภาษาทมิฬ อักษรปัลลวะ เทวรูปพระวิษณุ และหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงถึงการเข้ามาของกลุ่มคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในไวษณพนิกาย ไวษณพนิกาย คือนิกายหนึ่งของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีการนับถือพระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุด แพร่หลายในอินเดียตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๕ – ๖ เน้นความภักดีด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่ผ่านพิธีกรรมบูชายัญ ( จีราวรรณ แสงเพ็ชร์ ๒๕๖๑ : ๗๒) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถพบเทวรูปพระวิษณุได้ตามเมืองท่าสำคัญต่าง ๆ ในประเทศไทยพบหลักฐานเทวรูปรุ่นเก่าพระวิษณุสี่กร ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๐ จากวัดศาลาทึง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศิลปะอินเดียเก่าก่อนสมัยคุปตะ แต่มีลักษณ์พื้นเมืองเด่นชัดยิ่งกว่าสุนทรียภาพของต้นแบบ เทวรูปพระวิษณุองค์นี้ยังถือเป็นเทวรูปฮินดูรูปแบบศิลปะอินเดียใต้ ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย ( สันติ เล็กสุขุม ๒๕๕๔ : ๔๖ ) และอาจเก่าถึงช่วงศิลปะมธุราตอนปลาย และศิลปะอมราวดี ซึ่งมีความเจริญในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๗ – ๙ ( จีราวรรณ แสงเพ็ชร์ ๒๕๖๑ : ๗๓ ) จากการศึกษาของ ดร.จิราวรรณ แสงเพ็ชร์ ปี ๒๕๖๑ ในหัวข้อ “พระวิษณุจากหลักฐานโบราณคดีและประวัติศิลปะในประเทศไทย ช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙” สามารถจัดจำแนกความสัมพันธ์ระหว่างพระวิษณุในประเทศไทยกับพระวิษณุในศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกเป็น ๕ รูปแบบด้วยกัน ในส่วนของพระวิษณุที่พบบนฝั่งทะเลอันดามัน สามารถแบ่งได้สองรูปแบบ คือรูปแบบแรกเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลศิลปะหลังคุปตะสมัยราชวงศ์ปัลลวะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔ ผสมผสานกับลักษณะท้องถิ่น ในรูปแบบนี้พระวิษณุจะสวมกิรีฏมกุฎเรียบไม่มีลาย นุ่งผ้าโธตียาว ไม่คาดเข็มขัดผ้ากฏิสูตร รวมทั้งการจำหลักกล้ามที่เหมือนจริงตามหลักกายวิภาค แสดงให้เห็นถึงความเป็นท้องถิ่นตัวอย่างเช่น พระวิษณุ จากเขาพระเหนอ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ รูปแบบที่สองเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลศิลปะสมัยราชวงศ์ปัลลวะตอนปลาย ถึงสมัยต้นของราชวงศ์โจฬะ หรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๗ ในรูปแบบนี้พระวิษณุจะสวมกิรีฏมกุฎทรงสูงจำหลักลวดลาย เป็นประติมากรรมนูนสูงขนาดใหญ่ พระหัตถ์ขวาล่างแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายล่างจับที่พระโสณี(สะโพก) ทรงถืออาวุธในพระหัตถ์ขวาบนและซ้ายบน คือจักรและสังข์ นุ่งผ้าโธตียาว คาดกฏิสูตรและเข็มขัด ที่มีการตกแต่งอย่างประณีต ตัวอย่างเช่น พระวิษณุจากเขาพระนารายณ์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งลักษณะประติมานดังกล่าวเป็นไปตามหลักของคัมภีร์ ศิลปศาสตร์ภาษาสันสกฤตของอินเดียใต้ ได้แก่คัมภีร์อังศุมัทเภทาคม และคัมภีร์สุประเภทาคม ( เชษฐ์ ติงสัญชลี ๒๕๕๙ : ๖๓ ) ซึ่งต่อมาได้มีการผสมผสานกันระหว่างศิลปะแบบอินเดียเหนือ คือศิลปะปาละตอนต้น ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ จนกลายเป็นเอกลักษณะเฉพาะของศิลปะชวาภาคกลาง และอาจเป็นไปได้ที่จะตรงกับประติมากรรมในศิลปะศรีวิชัยทางภาคใต้ของประเทศไทย ( เชษฐ์ ติงสัญชลี ๒๕๕๘ : ๑๘๙ ) พระวิษณุจากเขาพระนารายณ์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา จึงเป็นพระวิษณุในรูปแบบ ศิลปะอินเดียใต้ ปัลลวะ-โจฬะ ที่ค่อนข้างมีความสำคัญที่พบบนฝั่งทะเลอันดามัน และพบเพียงองค์เดียว ในประเทศไทย ที่อาจบอกเล่าเรื่องราวได้มากกว่าการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในช่วงเวลาดังกล่าว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง จังหวัดภูเก็ต สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ได้จัดให้มีการเสวนา ทางวิชาการเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ในหัวข้อ “พระวิษณุกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู บนฝั่งทะเลอันดามัน” โดยมุ่งเน้นให้มีการเสวนาในเรืองหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ประวัติศาสตร์-ศิลปะ ของพระวิษณุช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๗ บนคาบสมุทรมาลายู และฝั่งทะเลอันดามัน เพื่ออธิบายความสำคัญของเมืองท่าโบราณบนฝั่งทะเลอันดามัน รวมไปถึงรูปแบบทางประติมานวิทยาของพระวิษณุ จากเขาพระนารายณ์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ตามคัมภีร์ศิลปศาสตร์ภาษาสันสกฤต การรับและส่งต่ออิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคติการบูชาพระวิษณุจากอินเดียสู่คาบสมุทรมาลายู เพื่อเป็นฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ บนฝั่งทะเลอันดามัน และคาบสมุทรมาลายูต่อไป-----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.13/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ประติมากรรมดินเผารูปคชลักษมี
พบจากเมืองโบราณอู่ทอง
ประติมากรรมดินเผารูปคชลักษมี พบจากเมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
ประติมากรรมดินเผารูปคชลักษมี สูงประมาณ ๘ เซนติเมตร ตรงกลางเป็นรูปพระลักษมี เกล้าพระเกศา พระพักตร์กลม พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์หนา แย้มพระสรวล ทรงกุณฑลทรงกลมและกรองศอ พระหัตถ์ทั้งสองทรงถือก้านดอกบัวตูมยกขึ้นในระดับพระอุระ นั่งขัดสมาธิราบ มีช้างขนาบสองข้าง ส่วนศีรษะช้างหักหายไป สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปช้างชูงวงถือหม้อน้ำเพื่อรดน้ำอภิเษกพระลักษมี รองรับด้วยฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัว กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) สันนิษฐานว่า อาจใช้เป็นฝาจุกภาชนะ หรือประดิษฐานเพื่อการเคารพบูชา หรือใช้เป็นเครื่องรางสำหรับติดตัวพ่อค้าหรือนักเดินทาง
คชลักษมีเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมีโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ มีที่มาจากคติการบูชาเพศหญิงซึ่งเป็นเพศผู้ให้กำเนิด ส่วนช้างเป็นสัตว์มงคลและเป็นสัญลักษณ์ของเมฆฝน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พืชพันธุ์เจริญงอกงาม คชลักษมีจึงเป็นสัญลักษณ์มงคลที่ปรากฏทั้งในศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “มายาเทวี” หมายถึงพุทธประวัติตอนประสูติของพระพุทธเจ้า ส่วนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกว่า “คชลักษมี” หมายถึงการรดน้ำอภิเษกแก่พระลักษมีซึ่งเป็นชายาของพระวิษณุ
นอกจากประติมากรรมคชลักษมีชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมรูปคชลักษมีรูปแบบอื่นๆ ในเมืองโบราณสมัยทวารวดี เช่น แผ่นดินเผารูปคชลักษมีสำหรับการเจิมในการทำพิธีการทางศาสนาของพราหมณ์ และคชลักษมีประดับที่ส่วนล่างของธรรมจักร พบที่เมืองนครปฐมโบราณ เครื่องรางดินเผารูปคชลักษมีและท้าวกุเวร ซึ่งอาจใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพกติดตัวของพ่อค้าหรือนักเดินทาง พบที่เมืองซับจำปา จังหวัดลพบุรี เป็นต้น โบราณวัตถุเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในสมัยทวารวดี คชลักษมี เป็นรูปเคารพตามความเชื่อในศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู โดยมีความหมายร่วมกันคือ ความมีโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงอาจถูกใช้เป็นเครื่องรางด้วย
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. รูปแบบและความเชื่อของงานศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระศรี-ลักษมีที่พบในประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐.
รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. มรดก 1,000 ปี เก่าที่สุดในสยาม. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๖.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.
องค์ความรู้ เรื่อง เครื่องประดับโบราณ : ตุ้มหูแบบ "ลิง ลิง โอ" (Ling-Ling-O) จัดทำข้อมูลโดย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
สมชาย พุ่มสอาด. ประวัติวัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2525. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญ ภายในวัดมีปูชนียสถานที่สำคัญมากมาย ได้แก่พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ เป็นต้น
ชื่อเรื่อง ปณฺณทานานิสํสกถา (ฉลองกำพีผ้าพันหนังสือ)สพ.บ. 391-1หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลี/ไทยหัวเรื่อง พุทธศาสนา ธรรมเทศนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 20 หน้า : กว้าง 5.5 ซม. ยาว 59 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ภาษาบาลี-ไทย ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (มโหสถ)
สพ.บ. 408/8
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ภาษา บาลี/ไทยอีสาน
หัวเรื่อง พุทธศาสนา นิทานชาดก
ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
ลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.8 ซม.
บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
กรมศิลปากร โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม จัดโครงการเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” ถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊คไลฟ์ (facebook live) ของกรมศิลปากร เพื่อเผยแพร่ประวัติศาสตร์ องค์ความรู้ด้านมรดกศิลปวัฒนธรรม ออกสู่สาธารณชน รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร ในปีงบประมาณ ๒๕๖๕ เดือนตุลาคม ๒๕๖๔ - กันยายน ๒๕๖๕ ปรับวันออกอากาศใหม่ กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (facebook live) ทุกวันพฤหัสบดีที่ ๒ และ ๔ ของเดือน ขอเชิญชวนผู้สนใจ ติดตามชมรายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” ถ่ายทอดสด (facebook live) ผ่านทาง facebook fanpage กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และกลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร ทุกวันพฤหัสบดีที่ ๒ และ ๔ ของเดือน เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.