ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,805 รายการ

ชื่อเรื่อง : คู่มือสนทนาภาษาจีนกลาง – แต้จิ๋ว ชื่อผู้แต่ง : วายจิง เจ ปีที่พิมพ์ : 2509 สถานที่พิมพ์ : ธนบุรี สำนักพิมพ์ : หจก.เกษมบรรณกิจ จำนวนหน้า : 416 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมบทสนทนาไว้อย่างกว้างขวาง ทุกประโยค และ สำนวนล้วนเป็นภาษาพูดอย่างง่ายๆ ซึ่งใช้กันเป็นประจำวัน ท่านจะนำไปใช้ในการทัศนาจร หรือในวงการค้า ตลอดจนในวงสังคมทุกแห่ง ก็คงจะอำนวยผลประโยชน์อย่างมาก นอกจากบทสนทนา ซึ่งมีอยู่ 41 บท ยังได้รวบรวมคำศัพท์ประเภทต่างๆ ไว้อีกมากมาย เพื่อนักศึกษาจะได้เลือกใช้ในโอกาสสมควร





     พระพิมพ์ดินเผาภาพพระพุทธรูปปางแสดงธรรม จำนวน ๒ ชิ้น พบจากเจดีย์หมายเลข ๒๑ เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ     อู่ทอง      พระพิมพ์ดินเผา ชิ้นที่ ๑ กว้าง ๖.๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๗ เซนติเมตร ส่วนล่างชำรุดหักหายไป และชิ้นที่ ๒ กว้าง ๖ เซนติเมตร ยาว ๗ เซนติเมตร ส่วนบนชำรุดหักหายไป จากหลักฐานที่หลงเหลือ เมื่อนำมาศึกษาร่วมกัน ทำให้สันนิษฐานได้ว่าพระพิมพ์ทั้ง ๒ ชิ้น น่าจะสร้างขึ้นจากแม่พิมพ์รูปแบบเดียวกัน เป็นภาพพระพุทธรูปประทับบนบัลลังก์ พระพักตร์กลม พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์หนา พระกรรณยาวจรดพระอังสา มีประภามณฑลเป็นวงโค้งรอบพระเศียร พื้นที่ภายในประภามณฑลและขอบนอกประดับด้วยลวดลายเปลวไฟ เห็นขอบสบงบริเวณบั้นพระองค์ พระหัตถ์ขวายกขึ้นระดับพระอังสา แสดงวิตรรกะมุทรา (ปางแสดงธรรม) พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา นั่งขัดสมาธิราบอย่างหลวม ๆ โดยพระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย เห็นฝ่าพระบาทขวา บัลลังก์ที่มีฐานรูปสี่เหลี่ยมประดับด้วยเสาติดผนังแบ่งฐานออกเป็นช่อง มีพนักอยู่ด้านหลัง      ลักษณะการทำประภามณฑลซึ่งประดับด้วยลวดลายเปลวไฟ และบัลลังก์ที่มีฐานรูปสี่เหลี่ยมประดับเสาติดผนังซึ่งปรากฏบนพระพิมพ์นี้ แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบปาละ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๗ หรือประมาณ ๙๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ทั้งนี้รูปแบบพระพักตร์ การแสดงวิตรรกะมุทรา ท่านั่งขัดสมาธิราบอย่างหลวมๆ เป็นรูปแบบที่นิยมและปรากฏในพระพุทธรูปรวมทั้งพระพิมพ์ศิลปะทวารวดี จึงกำหนดอายุพระพิมพ์รูปแบบนี้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ (ประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว)       อนึ่ง พระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิแสดงวิตรรกะมุทราด้วยพระหัตถ์ขวา ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลาหรือยกขึ้นยึดชายจีวรเสมอบั้นพระองค์ เป็นลักษณะที่พบได้ทั่วไปในพระพุทธรูปสมัยทวารวดี เช่น พระพุทธรูปสำริด พบจากเจดีย์หมายเลข ๑๓ เมืองโบราณอู่ทอง จำนวน ๓ องค์ และยังพบพระพุทธรูปที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ที่เมืองโบราณสมัยทวารวดีอื่น ๆ ได้แก่ ภาพพระพุทธรูปบนแผ่นเงินดุนนูน จากเมืองคันธารวิสัย จังหวัดมหาสารคาม และพระพุทธรูปในภาพสลักบนใบเสมาเล่าเรื่องพุทธประวัติจากเมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น   เอกสารอ้างอิง เชษฐ์  ติงสัญชลี. พระพุทธรูปอินเดีย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๔. ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน: กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖. รุ่งโรจน์  ธรรมรุ่งเรือง. “พระพุทธรูปและพระพิมพ์ทวารวดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๒.


          ประติมากรรมดินเผารูปคชลักษมี พบจากเมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทองประติมากรรมดินเผารูปคชลักษมี สูงประมาณ ๘ เซนติเมตร ตรงกลางเป็นรูปพระลักษมี เกล้าพระเกศา พระพักตร์กลม พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์หนา แย้มพระสรวล ทรงกุณฑลทรงกลมและกรองศอ พระหัตถ์ทั้งสองทรงถือก้านดอกบัวตูมยกขึ้นในระดับพระอุระ นั่งขัดสมาธิราบ มีช้างขนาบสองข้าง ส่วนศีรษะช้างหักหายไป สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปช้างชูงวงถือหม้อน้ำเพื่อรดน้ำอภิเษกพระลักษมี รองรับด้วยฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัว กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) สันนิษฐานว่า อาจใช้เป็นฝาจุกภาชนะ หรือประดิษฐานเพื่อการเคารพบูชา หรือใช้เป็นเครื่องรางสำหรับติดตัวพ่อค้าหรือนักเดินทาง           คชลักษมีเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมีโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ มีที่มาจากคติการบูชาเพศหญิงซึ่งเป็นเพศผู้ให้กำเนิด ส่วนช้างเป็นสัตว์มงคลและเป็นสัญลักษณ์ของเมฆฝน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พืชพันธุ์เจริญงอกงาม คชลักษมีจึงเป็นสัญลักษณ์มงคลที่ปรากฏทั้งในศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “มายาเทวี” หมายถึงพุทธประวัติตอนประสูติของพระพุทธเจ้า ส่วนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกว่า “คชลักษมี” หมายถึงการรดน้ำอภิเษกแก่พระลักษมีซึ่งเป็นชายาของพระวิษณุ           นอกจากประติมากรรมคชลักษมีชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมรูปคชลักษมีรูปแบบอื่นๆ ในเมืองโบราณสมัยทวารวดี เช่น แผ่นดินเผารูปคชลักษมีสำหรับการเจิมในการทำพิธีการทางศาสนาของพราหมณ์ และคชลักษมีประดับที่ส่วนล่างของธรรมจักร พบที่เมืองนครปฐมโบราณ เครื่องรางดินเผารูปคชลักษมีและท้าวกุเวร ซึ่งอาจใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพกติดตัวของพ่อค้าหรือนักเดินทาง พบที่เมืองซับจำปา จังหวัดลพบุรี เป็นต้น โบราณวัตถุเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในสมัยทวารวดี คชลักษมี เป็นรูปเคารพตามความเชื่อในศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู โดยมีความหมายร่วมกันคือ ความมีโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงอาจถูกใช้เป็นเครื่องรางด้วย ------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง :กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. รูปแบบและความเชื่อของงานศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระศรี-ลักษมีที่พบใน ประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. มรดก 1,000 ปี เก่าที่สุดในสยาม. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๖. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


ชื่อเรื่อง                         วินยธรสิกฺขปท (สิกขาบท)     สพ.บ.                           390/8 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ภาษา                           บาลี/ไทยอีสาน หัวเรื่อง                        พุทธศาสนา                                  พระวินัยปิฎก ประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลาน ลักษณะวัสดุ                   56 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55.5 ซม.  บทคัดย่อ เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี



ชื่อเรื่อง                                จุนฺทสูกริกสุตฺต  (จุนทสูกริกสูตร) สพ.บ.                                  230/1 ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           46 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 60 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                อภิธมฺมตฺถสงฺคห (อภิธมฺมตฺถสงฺคห) สพ.บ.                                  379/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           64 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 พระอภิธรรม บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคาต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


องค์ความรู้เรื่อง : ศิลปสถาปัตยกรรมโบราณสถานพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่านเรียบเรียงโดย : นายพลพยุหะ  ไชยรส นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่          พระธาตุแช่แห้งถือเป็นพระธาตุที่มีความสำคัญมากที่สุดของนครน่านโดยเป็นพระธาตุที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ทำให้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์โดยการขุดคูน้ำคันดินล้อมรอบหรือที่เรียกว่า “เวียงพระธาตุ” โดยใช้คูน้ำเป็นอุทกเสมาแสดงขอบเขตของพื้นที่  ในตำนานพื้นเมืองน่านระบุว่าพญากานเมืองได้รับพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากกษัตริย์สุโขทัยหลังที่พระองค์เสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัยและได้นำพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้ในพระธาตุที่สร้างขึ้นบนเนินดินพูเพียงแช่แห้งในปี พ.ศ.1899 ตามชัยภูมิที่พระธัมมปาลเถระ ได้แนะนำ ความว่า “…พระญาครานเมืองนิมนต์มาเมตตาอยู่เมืองพัวแล เมื่อนั้นพระญาร่ำเพิงดูที่ควรจุธาตุ จิ่งไหว่เจ้าไทยว่า ข้าแห่งมหาราชคุรุเจ้า จักควรจุธาตุไว้ที่ใดดีชา ขอเจ้ากูจุ่งพิจารณาดูที่ควรจุไว้เทอะ มหาเถรเจ้า (ธัมมปาลเถระ) พิจารรณาที่ ดูที่ทุกถ้วนถี่เมืองกาวก็หันพูเพียงที่ควรจุธาตุ…”  ทั้งนี้ยังไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีหรือประวัติศาสตร์ใดในปัจจุบันที่ช่วยทำให้ทราบลักษณะทางศิลปะสถาปัตยกรรมพระธาตุแช่แห้งในสมัยราชวงศ์พูคาได้ (พุทธศตวรรษที่ 19 - 21)          ต่อมาหลังจากที่ท้าวผาแสงเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พูคาสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ.2003 พระเจ้าติโลกราชได้ส่งท้าวขาก่านมาครองเมืองน่าน ท้าวขาก่านได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุแช่แห้งขึ้นใหม่โดยอาจได้รับแรงบันดาลใจจากพระธาตุหริภุญชัยเป็นต้นแบบ  มีระเบียบการก่อสร้างพระธาตุดังนี้ฐานล่างสุดเป็นฐานเขียงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนลดหลั่นกันสองชั้น ชั้นที่สองประดับสถูปิกะที่มุมสี่ทิศ เหนือขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายที่มีการคาดลวดบัวลูกแก้วอกไก่สองเส้นบริเวณท้องไม้ ด้านบนฐานประดับสถูปิกะสี่ด้าน ถัดไปเป็นฐานเขียงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผังแปดเหลี่ยม และผังสิบสองเหลี่ยม ตามลำดับ คั่นด้วยฐานประดับกลีบบัวรองรับชุดฐานบัวในผังกลมซ้อนลดหลั่นกันอีกสามชั้น เหนือขึ้นไปเป็นบัวปากระฆังซึ่งรอบรับองค์ระฆังขนาดเล็ก ประดับด้วยรัดอกและดอกไม้สี่กลีบ ส่วนยอดเป็นบัลลังก์มีลักษณะเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่ในผังย่อมุมไม้ยี่สิบ ถัดไปเป็นปล้องไฉน และปลียอ          แม้จะได้รับแรงบันดาลใจจากพระธาตุหริภุญไชย หาแต่ช่างพื้นเมืองยังมีการปรับเปลี่ยนระเบียบการก่อสร้างให้แตกต่างออกไปเช่นการลดทอนลวดบัวบางส่วนออกไปและให้ความสำคัญกับฐานเขียงที่คั่นระหว่างชั้นบัวคว่ำบัวหงายในผังยกเก็จกับชุดฐานบัวรองรับองค์ระฆัง โดยมีการเพิ่มความสูงและจำนวนชั้นของฐานเขียงทำให้เจดีย์มีลักษณะที่สูงเพรียว นอกจากนี้ยังมีข้อแตกต่างของชั้นฐานบัวรองรับองค์ระฆังอีกด้วย โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเกิดจากสุนทรียศาสตร์ของช่างพื้นเมือง  สำหรับการกำหนดอายุนั้นสามารถกำหนดได้จากลักษณะฐานบัวคว่ำบัวหงายที่มีลวดบัวลูกแก้วอกไก่สองเส้นคาดไว้ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในล้านนาช่วงพุทธศตวรรษที่ 21          นอกจากองค์พระธาตุแล้วยังปรากฏวิหารหลวงสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระยาหน่อเสถียรไชยสงคราม ราวปี พ.ศ.2138  ที่ปรากฏในปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นในสมัยเจ้าสุมนเทวราชเป็นเจ้าผู้ครองเมืองน่าน ในปี พ.ศ.2363 วิหารหลวงมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาสร้างด้วยไม้ลดหลั่นกัน 3 ชั้น หรือเรียกว่า “ซด” ด้านหน้าวิหารเป็นผนังเรียบ ปรากฏลวดลายปูนปั้นรูปพญานาคประดับทางเข้า โดยเป็นพญานาคเกี้ยวกระหวัดหางขึ้นพันกัน 3 ชั้น เป็นสัญลักษณ์แทนไตรลักษณ์ ประกอบด้วย การเกิด การตั้งอยู่ และการดับสลาย  ที่บริเวณสันหลังคาของวิหารปรากฏลวดลายปูนปั้นเป็นรูปพญานาคด้วยเช่นกัน ส่วนโครงสร้างภายในวิหารนั้นประกอบด้วย ตอนบนเป็นโครงไม้ ไม่มีฝ้าเพดาน เสารับน้ำหนักของชั้นหลังคาเป็นเสาเหลี่ยม มีบัวหัวเสาเป็นปูนปั้นรูปดอกบัวตูม ภายในวิหารประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง โดยตามตำนานพื้นเมืองน่านระบุว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2065 ในรัชสมัยพญายอดคำฟ้า ความว่า “….ในปีเต่าสง้านั้น สักกพทได้ 884 ตัว (พ.ศ.2065) เจ้าวัดแช่แห้งชื่อธัมมเสนาแล เถรปาสุรสีลแล มหาสังฆราชาสุรสีลาสรีบุญเรืองแลสังฆะชปะสีลประหยาแล พระญายอดคำฟ้า หมื่นซ้ายธัมมประหยา ส้างพระเจ้าล้านทองแล…”  พระเจ้าล้านทองมีลักษณะทางพุทธศิลป์ที่ยังคงสืบเนื่องจากพระพุทธรูปอิทธิพลศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่ ระยะที่ 2 หากแต่มีความเป็นพื้นถิ่นมากยิ่งขึ้น เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น พระพักตร์กลม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระหนุเป็นปม ขมวดพระเกศาเล็ก มีกรอบไรพระศก พระรัศมีเป็นเปลว พระวรกายอวบอ้วน ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิตกลงเสมอพระนาภี ปลายแตกเป็นเขี้ยวตะขาบ ประทับนั่งขัดสมาธิราบแสดงปางมารวิชัยเหนือฐานบัวคว่ำ – บัวหงาย กำหนดอายุปลายพุทธศตวรรษที่ 21          นอกจากศิลปกรรมข้างต้นแล้ว ยังปรากฏพระพุทธไสยาสน์เป็นพระนอนปูนปั้นขนาดใหญ่ พบเพียงองค์เดียวที่ปรากฏในเมืองน่าน ลักษณะพุทธศิลป์อาจได้รับอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาโดยเฉพาะพระพักตร์ และชายจีวรที่แหลมงองุ้มลง ที่พระเขนยมีจารึกกล่าวถึงนางแสนพลัวสร้างพระพุทธรูปไสยาสน์ พ.ศ.2129 ความว่า “…จุลศกราชได้ 948 ตัว (พ.ศ.2129) อุยาสิกานามแสนพลัวประกอบด้วยสัทธา สร้างพระพุทธปฏิมาองค์นี้ไว้….”  หากเมื่อนำไปเทียบกับรัชสมัยแล้วเจ้าผู้ครองนครน่านแล้วจะตรงกับรัชสมัยของพญาหน่อคำเสถียรไชยสงคราม          จากข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพระธาตุแช่แห้งเป็นศาสนสถานที่มีความสำคัญที่สุดในเมืองน่านได้รับการอุปถัมภก์ บูรณปฏิสังขรณ์ ในหลายรัชกาลตั้งแต่เริ่มสถาปนาพระธาตุขึ้นในช่วงพุทธศตวรษาที่ 19 – 20 และยังคงเป็นศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองน่านจวบจนทุกวันนี้ มีคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะสถาปัตยกรรม และโบราณคดีอย่างสูง               --------------------------------------------------------                       ที่มาของข้อมูลจารึกล้านนา ภาค 1 เล่ม 1 : จารึกจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่ (กรุงเทพฯ : มูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิ้ลยู ทอมป์สัน, 2534)เชษฐ์ ติงสัญชลี, บทบาทของฐานสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมของเจดีย์แบบล้านนา ในศิลปะล้านช้าง พุทธศตวรรษที่ 21-22 (กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2541).สรัสวดี อ๋องสกุล, พื้นเมืองน่าน : ฉบับวัดพระเกิด (กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง, 2539)สมพงษ์ ชีวสันต์, สถาปัตยกรรมพะเยาและน่าน (เชียงใหม่ : โครงการศึกษาวิจัยศิลปสถาปัตยกรรมล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2532)ศรีศักร วัลลิโภดม, ประวัติศาสตร์โบราณคดีของล้านนาประเทศ (กรุงเทพฯ : มติชน, 2545)ศักดิ์ชัย สายสิงห์, ศิลปะล้านนา (กรุงเทพฯ : มติชน, 2556)ศศิธร ปรุดรัมย์, พระธาตุแช่แห้ง : ที่มาและรูปแบบของเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาที่เมืองน่าน (กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2541)สุรศักดิ์ ศรีสำอาง, เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2537




สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.42/1-3  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


อฎฺฐงฺคิกมคฺค (พรอฎงฺคิกมคฺค)  ชบ.บ.83/1-6  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ทสพร-กุมาร)  ชบ.บ.106ก/1-4ข  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.332/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 132  (343-358) ผูก 9 (2565)หัวเรื่อง : ปาลิวารปาลี (บาลีบริวาร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


black ribbon.