ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,793 รายการ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 36/4ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 131/4เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 167/3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : พระเจดีย์วัดทุ่งยั้ง -- วัดพระบรมธาตุ หรือวัดทุ่งยั้ง ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ถือได้ว่าเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุมาตั้งแต่ครั้งอดีต พระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นมีการบูรณะซ่อมแซมมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งในบางครั้งอาจมีที่มาจากการที่พระเจดีย์พังทลายหรือได้รับความเสียหาย ดังเช่นการพังทลายของพระเจดีย์ครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ปรากฏหลักฐานในเอกสารจดหมายเหตุ และทำให้เราทราบว่า ภายในพระเจดีย์บรรจุสิ่งสำคัญสิ่งใดไว้บ้าง. จากข้อมูลในเอกสารจดหมายเหตุชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง วัดทุ่งยั้ง เมืองพิไชย ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) ได้เกิดเหตุพระเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมธาตุวัดทุ่งยั้งพังทลายลง ผลจากการพังทลายทำให้ได้พบสิ่งของที่บรรจุอยู่ในพระเจดีย์ อันประกอบด้วย พระบรมธาตุ 2 องค์ กับตลับ 7 ชั้นและโกศทองคำที่ใส่พระบรมธาตุ และพระพุทธรูปทองคำและเงินขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมทั้งสิ่งของอีกหลายรายการ เช่น เศษทองคำ เศษเงิน เหรียญเงินเฟื้องสลึง เหรียญเงินรูเปีย พลอยแหวนสีต่างๆ เครื่องเงินและเครื่องทองเหลือง . สำหรับองค์พระบรมธาตุกับตลับ 7 ชั้นและโกศทองคำนั้น ผู้ว่าราชการเมืองพิชัยได้นำไปเก็บรักษาที่เมือง ส่วนสิ่งของอื่นนอกเหนือจากนั้นได้มอบให้เจ้าอธิการแก้วเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ซึ่งในเวลาต่อมา เจ้าพระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกร เสนาบดีกระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้มีหนังสือกราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมติอมรพันธุ์ ราชเลขานุการในพระองค์ ความตอนหนึ่งเสนอให้เทศาภิบาลนำพระบรมธาตุที่เก็บรักษาไว้ที่เมืองพิชัย พร้อมทั้งพระธาตุสาวกและพระพุทธรูปทองคำ ส่งเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อประดิษฐานในพระอารามหลวง โดยเจ้าพระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกรให้เหตุผลว่า วัดทุ่งยั้งเป็นวัดราษฎร์ หากเก็บรักษาไว้ที่เดิมอาจเป็นอันตรายด้วยประการต่างๆ ได้ และทูลขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วย. เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า “...สังเกตดูตามรายชื่อสิ่งของ […...] เปนของใหม่ๆ พระบรมธาตุจึงไม่เปนสิ่งซึ่งน่าจะพิศวง ฤๅเลื่อมใสว่าจะวิเศษอย่างไร แต่พระเจดีย์ทุ่งยั้งเองเปนพระเจดีย์มีชื่ออยู่ในเรื่องราวตำนาน จะมีอะไรอยู่ในนั้นฤๅไม่มีก็ตาม คงเปนพระเจดีย์สำคัญ…” และทรงมีพระราชดำริว่าควรจะบรรจุสิ่งซึ่งพบในพระเจดีย์กลับเข้าไปในพระเจดีย์ตามเดิม ดีกว่าจะนำลงมาบรรจุในเจดียสถานที่กรุงเทพฯ และทรงขอให้คิดอ่านเรี่ยรายเงินเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์ต่อไป ฉะนั้น จากพระราชดำริดังกล่าวของพระองค์ จึงทำให้พระบรมธาตุยังคงประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ที่วัดทุ่งยั้งเพื่อให้ประชาชนได้เคารพสักการะมาจนถึงปัจจุบัน.ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง:1. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงศึกษาธิการ ร.5 ศ 6 วัด (ท) / 27 เรื่อง วัดทุ่งยั้ง เมืองพิไชย. [25 – 30 ธ.ค. 127].2. กรมศิลปากร. ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่ม 17 จังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ: เอดิสันเพรสโพรดักส์, 2554.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ
ชื่อเรื่อง สพ.ส.33 บทสวดมนต์ต่างๆประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยขาวISBN/ISSN -หมวดหมู่ ธรรมคดีลักษณะวัสดุ 84; หน้า : มีภาพประกอบหัวเรื่อง ธรรมคดี ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ประวัติวัดใหม่พิณสุวรรณ ต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 14 ส.ค.2538
มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕ วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์ศิริประสาธน์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์ศิริประสาธน์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๗๐ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เกสร ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์ศิริประสาธน์ นับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบรมชนกนาถ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์ศิริประสาธน์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๔๓ สิริพระชันษา ๙ ปี
หลังจากพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์ศิริประสาธน์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นำทุนทรัพย์สมบัติของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์ศิริประสาธน์ ไปสร้างโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนเบญจมบพิตรในอดีต)
ภาพ : อาคารเรียนโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
ชื่อผู้แต่ง พระเทพโมลี
ชื่อเรื่อง ประถมมาลา
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ -
สำนักพิมพ์ -
ปีที่พิมพ์ -
จำนวนหน้า ๑๒๔ หน้า
หมายเหตุ สข.๐๑๑ หนังสือสมุดไทยขาว อักษรไทย ภาษาไทย เส้นหมึก
(เนื้อหา) ปฐมมาลาเป็นหนังสือแบบเรียนสมัยโบราณโดยจะใช้สำหรับผู้ที่อ่านออกแล้ว ผู้ที่จะเรียนหนังสือเล่มนี้จะต้องเรียน ประถม ก กา เสียก่อน เนื้อหาภายในเกี่ยวกับ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน แต่งโดยพระเทพโมฬี วัดราชบูรณะ ประมาณรัชกาลที่ ๓ ปฐมมาลาเป็นหนังสือแบบเรียนสมัยโบราณโดยจะใช้สำหรับผู้ที่อ่านออกแล้ว ผู้ที่จะเรียนหนังสือเล่มนี้จะต้องเรียน ประถม ก กา เสียก่อน เนื้อหาภายในเกี่ยวกับ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน แต่งโดยพระเทพโมฬี วัดราชบูรณะ ประมาณรัชกาลที่ ๓
ลักษณะและความหมายของตราสัญลักษณ์ ๑๑๒ ปีแห่งการสถาปนากรมศิลปากร ตราสัญลักษณ์ประกอบด้วย ตราประจำกรมศิลปากรอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยแพรแถบพื้นเขียวขลิบทอง บนแพรแถบซ้าย - ขวา มีตัวเลขปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ และ ๒๕๖๖ เป็นปีแรกเริ่มการสถาปนาจวบจนถึงปีปัจจุบัน ด้านล่างมีข้อความ "กรมศิลปากร" ด้านบนมีตัวเลข ๑๑๒ อยู่ภายในกรอบ หมายถึง การครบรอบ ๑๑๒ ปีแห่งการสถาปนากรมศิลปากร
ผู้ออกแบบ : นายปัญญา โพธิ์ดี นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการ
สังกัด : กลุ่มศิลปประยุกต์และเครื่องเคลือบดินเผา สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
ชื่อผู้แต่ง สมุทัย นิโรธ อริยสัจจ
ชื่อเรื่อง สมุทัย นิโรธ อริยสัจจ
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๙
จำนวนหน้า ๒๗๐ หน้า
อริยสัจจสอง ชื่อธรรมนี้ อาจไม่คุ้นเคยเท่ากับอริยสัจจสี่หรือจตุราริยสัจจ ถึงกระนั้น อริยสัจจสองก็เป็นจำนวนอยู่ในอริยสัจจสี่ คือ สมุทัยกับนิโรธ อันเป็นที่ 2 และที่ 3 แต่ที่ทรงแสดงไม่ตรัสเรียกว่า อริยสัจจ ตรัสเรียกว่า ธรรม ปฏิจจสมุปปาทธรรม ปัจจยาการ ทั้งนี้ จึงปรากฏตลอด 3 ปิฎก เช่น ใน ปุณโณวาทสูตร ชื่อ ปฏิจจสมุปปาทธรรม ซึ่งแปลว่าธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น ปรากฏในวินัยปิฎก มหาวัคค และในสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทานวัคค ส่วนในอภิธมมปิฎก วิภังคปกรณ ปรากฏชื่อว่า ปัจจยาการ อันแปลว่า อาการแห่งปัจจัยหรือเหตุฉะนี้ เมื่อกล่าวถึงชื่อธรรมว่า สมุทัย และนิโรธ เท่ากับกล่าวธรรมอันปรากฏในไตรปิฎกที่เป็นธรรมชื่อสมุทัย อันแปลว่าเกิดและนิโรธอันแปลว่าดับ
กรมศิลปากรขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด Facebook Live การเสวนาวิชาการเนื่องในงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๓ – ๗ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๕ .๐๐ – ๑๗.๐๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มีรายการเสวนาที่น่าสนใจดังนี้
- วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๖ การเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "วัฒนธรรมเสมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ"
- วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๖ การเสวนา เรื่อง "เอกสารจดหมายเหตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว : มรดกความทรงจำแห่งโลก"
- วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๖ การเสวนา เรื่อง "การค้าทางทะเลและเส้นทางข้ามคาบสมุทรไทยในช่วงต้นประวัติศาสตร์"
- วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๖ การเสวนา เรื่อง "ประจวบคีรีขันธ์ : ร่องรอยหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาพเขียนสีในพื้นที่เขาสามร้อยยอด"
- วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖ การเสวนา เรื่อง "ข้อมูลใหม่ทางโบราณคดีที่บ้านหลวงรับาชทูต เมืองลพบุรี"
ผู้สนใจสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Live กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากรhttps://www.facebook.com/FineArtsDept
เลขทะเบียน : นพ.บ.452/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 4 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 159 (163-173) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : ลำชมพูบัตติ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.603/1 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4.5 x 52 ซ.ม. : รักทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 192 (392-398) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : พละสังขยา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ย้อนรอยพระจอมเกล้าฯ ตอน พระราชมณเฑียรสถาน "พระอภิเนาว์นิเวศน์"
นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจ จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ (ขำ บุนนาค) หลักฐานชิ้นสำคัญที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย
ในปีขาล พุทธศักราช ๒๓๙๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสร้างพระราชอุทยานขึ้นในพระบรมมหาราชวัง อันมีชื่อว่า สวนขวา ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อสวนขวา และนำเอาสิ่งก่อสร้าง และเครื่องประดับสวน นำไปอุทิศถวายแก่พระอารามสำคัญ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวยังว่างอยู่ จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถานขึ้นเพิ่มเติมจากพระราชมณเฑียรเดิมที่มีมาแต่ครั้งสถาปนากรุงฯ ดังความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ (ขำ) ความว่า
". . . จึงโปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยเป็นแม่กอง ให้ทำพระมหาราชมนเทียรขึ้นอีก ๕ องค์ ให้รื้อพระตำหนักเดิมมาปลูกไว้ด้วย และให้สร้างพระที่นั่งสูง มีพื้น ๕ ชั้น สำหรับทอดพระเนตรไปไกลๆ องค์ ๑ แล้วให้สร้างพระที่นั่งสำหรับไว้ขององค์ ๑ แล้วมีหอสำหรับพระสงฆ์เจริญพระปริตรหลัง ๑ สำหรับไว้พระแสงเครื่องศาสตราคมหลัง ๑ สำหรับเลี้ยงแขกเมืองหลัง ๑ ชักเขื่อนเพ็ชรล้อมรอบ สำหรับพวกพนักงานอยู่ทุกพนักงาน ชั้นนอกเขื่อนเพ็ชรเชิงเทินปราการตรงหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ให้สร้างพระที่นั่งขึ้นองค์ ๑ และพระที่นั่งสุทธาสวรรย์เดิมก็โปรดให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ ทำป้อมที่พระราชวังกำแพงตรงถนนบำรุงเมือง ให้ชื่อป้อมสัญจรใจวิง . . ."
เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระที่นั่งและอาคารต่างๆ ไว้อย่างคล้องจองกัน ดังความในพระราชพงศาวดารฯ ต่อมาว่า
". . . พระที่นั่งหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดารามชื่อพระที่นั่งไชยชุมพล พระที่นั่งสูง ๕ ชั้น ชื่อภูวดลทัศไนย พระที่นั่งสุทธาสวรรย์โปรดให้แปลงชื่อว่าพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ ท้องพระโรงเสด็จออกให้ชื่อพระที่นั่งอนันตสมาคม พระมหามนเทียรฝ่ายในองค์ ๑ ชื่อบรมพิมาน ท้องพระโรงฝ่ายในที่เฝ้าชื่อนงคราญสโมสร พระพิมานฝ่ายใต้องค์ ๑ ชื่อจันทรทิพโยภาศ พระพิมานฝ่ายเหนือองค์ ๑ ชื่อภาณุมาศจำรูญ พระตำหนักเดิมชื่อมูลมนเทียร หอพระปริตรชื่อว่าหอเสถียรธรรมปริตร หอแสงศาสตราคมให้ชื่อว่าหอราชฤทธิรุ่งโรจน์ หอที่เลี้ยงแขกเมืองให้ชื่อว่าหอโภชนลีลาศ พระที่นั่งไว้ของประหลาดต่างๆ ชื่อพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ . . ." และพระราชทานนามหมู่พระราชมณเฑียรสถานแห่งใหม่นี้ว่า "พระอภิเนาว์นิเวศน์"
นับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๐๒ ซึ่งเป็นปีที่สร้างเสร็จพระอภิเนาว์นิเวศน์จึงมีความสำคัญ ในฐานะพระราชมณเฑียรสถานที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทั่งเสด็จสวรรคต โดยในระหว่างนี้ได้ใช้สถานที่ดังกล่าวในการสำคัญๆ อาทิ การเสด็จออกรับทูตจากประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาทำหนังสือสัญญาเจริญพระราชไมตรี เช่น ฮอลันดา, ปรัสเซีย, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส เป็นต้น
ดังปรากฏภาพเขียนสีน้ำมันที่ประดับอยู่ภายในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท แสดงการเสด็จออกแขกเมืองของพระองค์ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นพระที่นั่งองค์หนึ่งในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์
ภายหลังสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว พระอภิเนาว์นิเวศน์ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เนื่องจากไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับอีก ในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้รื้อเสีย อันเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการสร้างพระราชนิเวศน์แห่งใหม่ นั่นคือ พระราชวังสวนดุสิต จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำเอานามท้องพระโรงของพระอภิเนาว์นิเวศน์ มาใช้เป็นนามของท้องพระโรงแห่งใหม่นั้น ปรากฏนามที่รู้จักกันจนปัจจุบันว่า "พระที่นั่งอนันตสมาคม"
เรียบเรียง : ณัฐพล ชัยมั่น
อ้างอิง
วัชรญาณ : พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๔๐-สร้างพระอภิเนาวนิเวศน์