ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,797 รายการ

องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เรื่อง ประติมากรรมดินเผารูปหงส์จากโบราณสถานวัดช้างรอบ เมืองกำแพงเพชร ประติมากรรมดินเผารูปหงส์พบจากการขุดแต่งโบราณสถานวัดช้างรอบ เขตอรัญญิก นอกเมืองกำแพงเพชรทางด้านเหนือ ใช้ประดับอยู่ที่ส่วนฐานกลมเหนือฐานแปดเหลี่ยมบนชั้นลานประทักษิณของเจดีย์ประธานวัดช้างรอบ ปัจจุบันได้หลุดร่วงไปเกือบหมด หงส์บางส่วนที่หลุดร่วงได้ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร  หงส์ที่ประดับบนโบราณสถานวัดช้างรอบแต่ละตัวที่พบมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็นรูปหงส์ด้านข้าง ยืนเรียงรายเป็นแถว ส่วนหัวมีหงอนเป็นลายกระหนก คอยาว หางเป็นรูปลายกระหนก ลักษณะเลียนแบบตามธรรมชาติ แต่มีการประดิษฐ์ลวดลายให้สวยงามมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะส่วนหัว คอ และหาง ซึ่งอาจเทียบได้กับรูปหงส์ปูนปั้นที่ประดับบนชั้นเชิงบาตรของปรางค์วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ หงส์ถือเป็นสัตว์ชั้นสูงที่ปรากฏในคติความเชื่อทั้งในศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา ชาวฮินดูถือว่าหงส์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเป็นพาหนะของพระพรหมซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญของศาสนาฮินดู ส่วนในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าหงส์เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ นอกจากนี้ยังเชื่อกันอีกว่าเป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวง เป็นผู้พิทักษ์รักษาท้องฟ้า และเป็นพาหนะที่นำวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์    เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๗.


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.5/1-3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)




ข้าว (ตอนที่ ๓ : ข้าวพันธุ์พระราชทาน ) พันธุ์ข้าวพระราชทานในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งได้รับการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์จนมีคุณภาพดี มีทั้งข้าวนาสวนและข้าวไร่ เช่น “ข้าวพันธุ์ปทุมธานี ๑” เป็นข้าวหอมนุ่ม คุณภาพเมล็ดคล้ายพันธุ์ขาวดอกมะลิ ๑๐๕ ให้ผลผลิตสูง “ข้าวสังข์หยดพัทลุง” เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมที่ปลูกใน จ.พัทลุง โดยปลูกได้ปีละ ๑ ครั้ง นิยมกินแบบข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ซึ่งจะให้ประโยชน์มากกว่าข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือทั่วไป “ข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕” เป็นข้าวที่มีคุณภาพการหุงต้มดี สุกแล้วหอม นุ่ม เหนียว “ข้าว กข ๔๑” เป็นข้าวเจ้าที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพการสีดีได้ข้าวเต็มเมล็ด “ข้าว กข ๖” เป็นข้าวเหนียวที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์โดยการใช้รังสีชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์ หุงสุกแล้วมีกลิ่นหอม “ข้าวดอกพะยอม” เป็นข้าวไร่ ข้าวเจ้าพันธุ์พื้นเมืองภาคเหนือที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี ปลูกแซมกับต้นยางพาราได้ “ข้าวลืมผัว” เป็นข้าวเหนียวที่โดดเด่นด้านรสชาติ มีกลิ่นหอม หากสีเป็นข้าวกล้อง เมื่อหุงสุกแล้วจะเคี้ยวกรุบ หนึบ ภายในนุ่มเหนียว อุดมไปด้วยสารอาหาร #ข้าวพันธุ์พระราชทาน ข้อมูล : มูลนิธิมั่นพัฒนา http://www.tsdf.nida.ac.th/th/royally-initiated-projects ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ร.๙


         โบราณสถานปราสาทโคกงิ้ว ตั้งอยู่ภายในวัดโคกงิ้ว บ้านโคกงิ้ว ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทโคกงิ้ว เป็นศาสนสถานประจำสถานพยาบาล หรือ อโรคยศาล ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นในดินแดนของพระองค์ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 แผนผังของตัวโบราณสถานประกอบด้วยปราสาทประธานตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธานเป็นที่ตั้งของวิหาร หรือบรรณาลัย ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีประตูเข้าออกด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีซุ้มประตูทางเข้าหรือโคปุระอยู่ทางด้านทิศตะวันออก นอกกำแพงแก้วทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธานเป็นสระน้ำประจำศาสนสถาน พ.ศ.2554 สำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา ในขณะนั้น ได้ดำเนินโครงการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว           ผลจากการดำเนินการขุดแต่งโบราณสถาน พบโบราณวัตถุสำคัญหลายประเภท เช่น ทับหลังสลักภาพคชลักษมี ศิลปะคลัง – บาปวนตอนต้น, เสาประดับกรอบประตู ,ประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ และภาชนะดินเผาอีกจำนวนหนึ่ง          ทับหลังหินทรายสลักภาพคชลักษมี ชิ้นนี้ พบจากการขุดแต่งบริเวณบรรณาลัย หรือ วิหาร ลักษณะองค์พระลักษมีประทับนั่งขัดสมาธิบนฐานดอกบัว พระหัตถ์ทั้ง 2 ข้างถือดอกบัว ด้านข้างทั้งสองของพระองค์มีช้างยืนสองขาชูงวงเหนือพระเศียร ใต้ฐานพระลักษมีเป็นรูปเกียรติมุขหรือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย มือของหน้ากาลยึดชายท่อนพวงมาลัยไว้ พวงอุบะเป็นลายใบไม้ม้วน เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ ขอบด้านข้างทั้งสองด้านของทับหลังมีรูปสิงห์ยืนจับปลายท่อนพวงมาลัยไว้ ลักษณะดังกล่าวเป็นศิลปะขอมแบบคลังหรือแบบบาปวน อายุสมัยประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีอายุเก่ากว่าปราสาทโคกงิ้ว จึงสันนิษฐานว่าในช่วงเวลาก่อสร้างมีการเคลื่อนย้ายทับหลังจากปราสาทหลังอื่นมาประดับตกแต่ง ณ ปราสาทโคกงิ้ว          จากรูปแบบของโบราณสถานที่ปรากฏ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศาสนสถานประจำสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724 – 1761) แต่ลักษณะทางศิลปกรรมของทับหลังชิ้นนี้แสดงในรูปแบบขอมแบบคลังหรือแบบบาปวน อายุสมัยประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ทับหลังชิ้นนี้เป็นทับหลังที่ไม่ใช่ของที่นี่โดยตรง อาจนำมาจากปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอื่นที่อยู่ใกล้ หรือ อาจนำมาใช้ประดับสถาปัตยกรรมในโบราณสถานแห่งนี้          ปี 2563-2564 สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา กำลังดำเนินงานบูรณะปราสาทโคกงิ้ว ประกอบด้วย บูรณะปราสาทประธาน บรรณาลัยหรือวิหาร กำแพงแก้ว ด้วยวิธีอนัสติโลซิส--------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นางสาวสุภาวดี อินทรประเสริฐ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา--------------------------------------------------


องค์ความรู้ เรื่อง กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร กระเบื้องเชิงชาย คือ กระเบื้องแผ่นปลายสุดของชายคา เป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องมุงหลังคาสถาปัตยกรรมโบราณ ใช้ประดับเรียงรายโดยอุดชายคากระเบื้องลอน เพื่อให้เกิดความงามของแนวชายคา ป้องกันฝนสาดเข้าไปตามช่องของลอนกระเบื้องมุง รวมทั้งป้องกันสัตว์ไม่ให้เข้าไปทำรังและทำลายโครงสร้างภายในอาคารได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กระเบื้องหน้าอุด กระเบื้องเชิงชายโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วหรือสามเหลี่ยมด้านเท่า มีเดือยออกทางด้านหลังเพื่อเสียบเข้าไปในลอนกระเบื้องมุง ทำด้วยดินเผา สันนิษฐานว่าช่างโบราณเลือกเทคนิคการทำด้วยวิธีการพิมพ์จากแบบ ซึ่งลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายเป็นลายนูนต่ำ ตัวลายมีความกลมมน ละเว้นรายละเอียดที่มากเกินไป เพราะสะดวกต่อการถอดพิมพ์ นอกจากนี้การทำลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายที่จะประดับบนหลังคาเดียวกันให้เหมือนและเท่ากันนั้นยากด้วยวิธีการปั้นแบบอิสระ สิ่งก่อสร้างในสมัยอยุธยาที่ใช้กระเบื้องเชิงชายสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ได้ ๒ ประเภท คือ ประเภทศาสนสถาน ได้แก่ อุโบสถ วิหาร กุฏิ ซุ้มประตู และประเภทที่อยู่อาศัย ได้แก่ พระมหาปราสาท พระที่นั่ง ตำหนัก ซึ่งกระเบื้องเชิงชายใช้กับอาคารของชนชั้นสูง สอดคล้องกับการตกแต่งลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายด้วยรูปภาพที่มีความหมายทางประติมานวิทยา เช่น รูปเทพนม รูปดอกบัว ทำให้สันนิษฐานได้ว่ากระเบื้องเชิงชายแต่ละชิ้นน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของวิมานที่สถิตของเทวดา เป็นการส่งเสริมความสำคัญของอาคารนั้น ๆ และแสดงฐานะของผู้ใช้อาคารให้ชัดเจนยิ่งขึ้น   ลวดลายที่ปรากฏบนกระเบื้องเชิงชาย ได้แก่ ลายดอกบัว ลายเทพนม ลายหน้ากาล ลายพันธุ์พฤกษา ลายครุฑยุดนาค จากการสำรวจกระเบื้องเชิงชายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร พบกระเบื้องเชิงชายลวดลายดอกบัว โดยดอกบัวเป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ ความสมบูรณ์ ในพุทธศาสนาใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการกำเนิดขององค์พระศาสดา ดังความในพระไตรปิฎกว่า “...สีเส ปฐวิ โปกขเร อภิเลเก สพพพุทธานํ...” หมายความว่า แผ่นดินคือดอกบัว เป็นที่อุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น จึงนิยมสร้างงานศิลปกรรมเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับอยู่เหนือดอกบัว ต่อมาลายดอกบัวได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นลายลายกระหนก  ลายเทพนมที่ตกแต่งบนกระเบื้องเชิงชายเป็นภาพเทวดาครึ่งตัวประนมมือเสมอพระอุระอยู่เหนือดอกบัว เป็นลวดลายที่พบในงานศิลปกรรมไทยทั่วไป เช่น ในงานจิตรกรรม ลายพุ่มหน้าบิณฑ์เทพนม ลายก้านขดเทพนม ลายเทพนมบนเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ในงานประติมากรรม พบที่กระเบื้องเชิงชาย หน้าบัน บันแถลงประตูหน้าต่างของโบสถ์หรือวิหาร เป็นต้น ซึ่งกระเบื้องเชิงชายที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๓ บรรณานุกรม - ประทีป เพ็งตะโก. “กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๐.  - วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๙. - สันติ เล็กสุขุม. งานช่าง คำช่างโบราณ. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๗



พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายแมนฟุ้ง เนียวกุล ณ เมรุวัดมกุษัตริยาราม ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๐


          มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๕ กรกฎาคม ๒๔๓๕ วันประสูติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย           สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑาธุชธราดิลก เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๗๒ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระนามลำลองว่า "ทูลกระหม่อมติ๋ว" ประสูติเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๓๕ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก สยามาธิปกปรมินทร จุฬาลงกรณราชวโรรส อดิศัยยศอุภัยชาติพิสุทธิ์ ไทวปายนุตมศักดิ์อดุลยลักษณวิลาส มหามกุฎราชพงศานุพัทธ วิวัฒนผลพรพิสิษฐ มหิศรราชกุมาร กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๘           พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคินี พระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระชนนี ๗ พระองค์ คือ                - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์                - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว                - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง                - จอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ                - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์                - พลเรือเอก สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา                - พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว           ได้เสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๙ แล้วเสด็จกลับ พุทธศักราช ๒๔๖๑           ในรัชกาลที่ ๖ ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรี เป็นอาจารย์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงธรรมการ ตำแหน่งศาสตราจารย์ และเป็นที่ปรึกษาโรงเรียนเพาะช่าง พุทธศักราช ๒๔๖๓ เป็นกรรมการพิเศษโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ปัจจุบันคือ วชิราวุธวิทยาลัย และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเพาะช่าง เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๕           สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๖๖ พระชันษา ๓๒ ปี เป็นต้นราชสกุล จุฑาธุช          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัยนับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายทั้งจากพระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี   ภาพ : ศาสตราจารย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย



รายงานผลการสำรวจแหล่งโบราณคดีเพิงผาเขียน เขาพนมดบ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ





องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี เรื่อง ตราอาร์มเมืองสิงห์บุรี


black ribbon.