ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,827 รายการ

ชื่อเรื่อง                                ทิพฺพมนต์ (ทิพพมนต์)   สพ.บ.                                  305/1ก ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                               พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                           12 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                              บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


วินยธรสิกฺขาปทวินิจฺฉย (วินยสิกฺขาปทวินิจฺเฉยฺย)  ชบ.บ.96/1-5  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.308/4กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 124  (287-301) ผูก 4ก (2565)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา (ทศชาติ) ชาตกฎฐกถา,ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ภูริทัสต์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



ชื่อผู้แต่ง                  พระองค์เจ้าศรีเสาวภาวงค์ และ พระองค์เจ้าจรูญโรจน์เรืองศรี ชื่อเรื่อง                   ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๔ : เรื่องวิชาแพทย์ไทย ครั้งที่พิมพ์               - สถานที่พิมพ์             พระนคร สำนักพิมพ์               บริษัทวัฒนการพิมพ์ จำกัด ปีที่พิมพ์                  ๒๕๐๑ จำนวนหน้า              ๓๔     หน้า รายละเอียด              หนังสือที่ขออนุญาตจัดพิมพ์ที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพนายเล็ก วัฒนวรางกูร ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ  ภาคที่ ๔ เรื่องวิชาแพทย์ไทยเล่มนี้มีเรื่องวิชาแพทย์ไทย ๒ เรื่องเรื่องแรก คือ เรื่องแพทย์หมอซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้าศรัเสาวรางค์ทรงนิพนธ์ ส่วนเรื่องที่ ๒ เรื่อง เวปุจฉา พระเจ้าราชวงศ์เธอ ชั้น๔ กรมหมื่นจรัสพรปฎาณ แต่ขณะแต่งดำรงพระยศเปฌนพระองค์เจ้าจรูญโรจน์เรืองศรีทรงนิพนธ์ทั้ง ๒ เรื่อง แต่งถวายร.๕ พ.ศ.๒๔๓๒


แผ่นไม้แกะสลักเล่าเรื่อง ทศชาติชาดกพระครูสิริปุญญากร (คำปัน อนาลโย ป.ธ.๔)                                                                                                 อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีบุญยืน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน มอบให้เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘แผ่นไม้ทศชาติชาดกที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ได้รับมอบมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นแผ่นภาพที่อยู่ในสภาพชำรุด พบว่าเป็นแผ่นไม้แกะสลักปิดทอง มีตัวละครสำคัญที่ปรากฏในทศชาติชาดก ซึ่ง ทศชาติชาดกนี้ คือ ๑๐ พระชาติ สำคัญของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระชาติสุดท้ายคือพระเวสสันดรชาดกเป็นพระชาติสุดท้ายที่มีความนิยมแพร่หลายผ่านงานวรรณกรรม จิตรกรรมฝาผนังและบนผืนผ้าที่เรียกว่าพระบฏ หรือตุงค่าวธรรมในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ สุวรรณสามชาดก เป็นชาดกในพระชาติที่ ๓ ของพระพุทธเจ้าที่ประสูติเป็นพระสุวรรณสามซึ่งคอยปรนนิบัติดูแลบิดามารดาตาบอดจากการถูกพิษงู ในระหว่างที่ออกบวชในป่า ขณะที่พระสุวรรณสามออกไปหา พระเจ้ากบิลยักขราช กษัตริย์เมืองพาราณสี เสด็จออกล่าสัตว์ยิงศรอาบยาพิษต้องพระสุวรรณสามบาดเจ็บสาหัส เมื่อสอบถามเรื่องราวจึงทราบเรื่องราวของพระสุวรรณสามทั้งหมดและนำไปพบบิดามารดา บิดามารดาจึงอธิษฐานขอให้พระสุวรรณสามหายจากการต้องศรนี้ เมื่อพระสุวรรณสามฟื้นขึ้นมาจึงได้เทศนาโปรดแก่พพระเจ้ากบิลยักขราชและกลับไปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข ภาพแกะสลักไม้เป็นภาพของพระสุวรรณสามขณะทูนหม้อน้ำนำไปให้บิดามารดาพร้อมกับฝูงกวางในป่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด และเป็นภาพแกะสลักรูปพระเจ้ากบิลยักขราชขณะกำลังแผลศร ซึ่งเป็นฉากที่พบได้ทั่วไปในงานจิตรกรรมฝาผนังที่มีการวาดภาพทศชาติชาดก อ้างอิง                ชาญคณิต อาวรณ์. จิตรกรรมล้านนา : พุทธประวัติ ทศชาติ ชาดกนอกนิบาต. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๓.นิดดา หงส์วิวัฒน์. ทศชาติชาดกกับจิตรกรรมฝาผนัง : มโหสถชาดก เตมิยชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก. กรุงเทพฯ : แสงแดดเพื่อนเด็ก, ๒๕๔๘.




กุหลาบจุฬาลงกรณ์พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงเป็นสมาชิกสมาคมกุหลาบแห่งอังกฤษ ทรงได้กุหลาบพันธุ์ใหม่ ๆ จากสมาคมมาทดลองปลูกมากมายหลายพันธุ์ พันธุ์ที่โปรดที่สุดเป็นกุหลาบดอกใหญ่สีชมพู ทรงตั้งชื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “กุหลาบจุฬาลงกรณ์” กุหลาบจุฬาลงกรณ์ เป็นกุหลาบพันธุ์ไฮบริดเพอร์เพทชวล (Hybrid Perpetual) อยู่ในกลุ่มกุหลาบสมัยเก่าที่มีปลูกกันก่อน ค.ศ. ๑๘๖๗ มีลักษณะเป็นกุหลาบดอกใหญ่ สีชมพู มีกลิ่นหอมเย็น ขนาด ๕-๖ นิ้ว จำนวนกลีบประมาณ ๔๕ กลีบ เรียงซ้อนกัน ลำต้นสูง เป็นพุ่ม ออกดอกเดี่ยว ไม่มีหนาม ชอบอากาศเย็นหลังจากพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เสด็จมาประทับที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นการถาวร ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้เสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ โปรดให้ปลูกกุหลาบจุฬาลงกรณ์โดยรอบพระตำหนักดาราภิรมย์ปัจจุบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงพระตำหนักให้เป็นพิพิธภัณฑ์ บริเวณด้านหน้าพระตำหนักประดิษฐานพระอนุสาวรีย์พระราชชายาเจ้าดารารัศมี รอบฐานที่ตั้งพระอนุสาวรีย์มีการจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับไว้โดยรอบและเน้นปลูกต้นกุหลาบจุฬาลงกรณ์ร่วมด้วย  ผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่อ้างอิง : ๑. จิรชาติ สันต๊ะยศ. ๒๕๕๑. พระราชชายาเจ้าดารารัศมี. กรุงเทพฯ: มติชน.๒. นงเยาว์ กาญจนจารี. ๒๕๓๙. ดารารัศมี. พิมพ์ครั้งที่ ๓. เชียงใหม่: สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์.๓. สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย. ม.ป.ป. กุหลาบจุฬาลงกรณ์ ROSA HYBRID “CHULALONHKORN” (Online). http://hsst.or.th/articles.../rosa-hybrid-chulalonhkorn/, สืบค้นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๕.๔. พระตำหนักดาราภิรมย์. ๒๕๖๒. กุหลาบจุฬาลงกรณ์ (Online). https://www.facebook.com/359143954696532/posts/359775537966707/, สืบค้นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๕.


สู่ดินแดนโพ้นทะเล ก า ร เ ดิ น ท า ง จ า ก นิวยอร์ก ถึง บางกอก ประเทศสยาม แ ล ะ ก า ร เ ดิ น ท า ง ก ลั บ บางเรื่ องราวในความทรงจำ โดย โทมัส มิลเลอร์ (Thomas Miller) นิวยอร์ก: บร ิษัทอัลเบิร์ตเมตส์ เลขที่ ๒๒ ถนนเเพลตต์ พ.ศ. ๒๔๓๗


ชื่อเรื่อง                                    มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา(สุวรรณสาม)สพ.บ.                                       420/1ขหมวดหมู่                                  พระพุทธศาสนาภาษา                                       บาลี-ไทยอีสานหัวเรื่อง                                    พระพุทธศาสนา                                               ชาตกประเภทวัสดุ/มีเดีย                    คัมภีร์ใบลานลักษณะวัดุ                               55 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก              เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


       ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๖        โครงการศูนย์ศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ยืม        ปัจจุบันจัดแสดง ณ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข หมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        เคียวเหล็ก ตกแต่งด้วยเทคนิคการคร่ำ คือการนำเงินฝังลงไปในเนื้อโลหะ (ซึ่งเรียกวิธีเช่นนี้ว่า “คร่ำเงิน”) ตกแต่งลวดลายตั้งแต่ด้ามจับจรดปลายใบมีด ลักษณะเป็นลายพันธุ์พฤกษาลวดลายอย่างเทศ         เทคนิคการคร่ำของช่างไทย เป็นการตกแต่งโลหะประเภทเครื่องใช้ หรือเครื่องอาวุธ เช่น กรรไกร ตะบันหมาก ดาบ ง้าว ปืน ฯลฯ ด้วยการทำผิวโลหะให้เป็นรอย ด้วยการตอกสิ่วสับลายตัดกันจนผิวโลหะมีลักษณะขรุขระ จากนั้นจึงใช้เส้นทอง หรือ เงิน ตอกลงบนผิวโลหะ เป็นลวดลายตามที่ต้องการแล้วจึงกวด*ผิวให้ลายคมชัด ทั้งนี้ช่างที่ทำการคร่ำต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่ให้เหงื่อโดนผิวโลหะ เพราะจะทำให้เกิดสนิมขึ้นที่เนื้อโลหะและทำให้ตอกเส้นทองหรือเงินไม่ติดกับผิวโลหะ        งานคร่ำ เป็นงานหัตถกรรมที่แพร่หลายในตะวันออกกลาง ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ต่อมาแพร่เข้าสู่กลุ่มประเทศทางยุโรปหลายแห่ง ได้แก่ ประเทศอิตาลีในพุทธศตวรรษ ๒๑ ประเทศสเปนและฝรั่งเศสในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกเทคนิคคร่ำว่า “Damascne” น่าจะมีที่มาจากเทคนิคการทำโลหะของช่างจากเมืองดามัสกัส (Damascus) เมืองหลวงของประเทศซีเรีย* ต่อมาวิธีดังกล่าวคงแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางชาวอินเดียหรือชาวตะวันตก และเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงการใช้ “ปืนจ่ารงคร่ำทอง” เมื่อครั้งสมเด็จพระเอกาทศรถยกทัพไปตีเมืองตะนาวศรี พ.ศ. ๒๑๒๙ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า “ให้ฝรั่งแม่นปืน จุดจ่ารง คร่ำทองท้ายที่นั่ง ๓ บอกไล่กันเป็นสำคัญ” ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์ปรากฏตำแหน่ง “ช่างคร่ำ” ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๔๒ หมู่งานช่างในพระราชบัญญัติเรื่องการไถ่ตัวไพร่หลวงที่เป็นทาส (พ.ศ. ๒๓๙๕) และในสมัยรัชกาลที่ ๕ หนังสือ “อักราภิธานศรับท์” ของ หมอแดน บีช แบรดลีย์ (Dan Beach Bradley) ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ ได้นิยามคำว่า “คร่ำ” ไว้ว่า        คร่ำ คืออาการช่างอย่างหนึ่ง, เหมือนคนเอาเงินบ้าง, ทองบ้าง, ตอกลงไปที่มีดบ้าง, ของคนอื่นบ้าง, ให้ติดเปนรูปต่าง.       กรรมวิธีการคร่ำโลหะนั้นนับว่ามีกรรมวิธีที่ซับซ้อน และต้องอาศัยทักษะเชิงช่างชั้นสูงเพื่อให้ได้ลวดลายที่งดงาม สมดุลกับชิ้นงาน ดังนั้นงานคร่ำจึงเป็นหนึ่งในงานประณีตศิลป์ที่ทำขึ้นได้ยาก จบแทบจะสูญหายไปจากสังคมไทย กระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเห็นคุณค่าของงานช่างแขนงนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นายสมาน ไชยสุกุมาร เจ้าพนักงานภูษามาลา กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง มาสอนวิชาการทำคร่ำแก่นักเรียนศิลปาชีพ เสมือนเป็นการต่อลมหายใจกับงานช่างแขนงนี้ได้คงอยู่คู่กับสังคมไทยมาถึงปัจจุบัน         *กวด (กริยา) หมายถึง ทําให้แน่น ให้ตึง หรือให้เขม็งยิ่งขึ้น เช่น กวดเชือก กวดตะปู เร่งรัดให้ดียิ่งขึ้นหรือเพื่อให้ทัน เช่น กวดวิชา วิ่งกวด. น. เหล็กเครื่องมือสําหรับกวดเลี่ยมขอบภาชนะ เรียกว่า เหล็กกวด [ที่มา: ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖. หน้า ๘๓]        **ปัจจุบันในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง ยังคงมีการคร่ำโลหะอยู่เช่นกัน เพียงแต่ใช้เครื่องมือไฟฟ้าแทนการคร่ำด้วยมือแบบโบราณ    อ้างอิง ยุทธนาวรากร แสงอร่าม. โลหศิลป์ ณ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๖๐.




          กรมศิลปากร ขอแนะนำ “ระบบศูนย์ข้อมูลงานศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร” ซึ่งเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้ด้านศิลปกรรมของสำนักช่างสิบหมู่ ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะไทย ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์  (E-book) อาทิ งานช่างปิดทองประดับกระจก การสร้างลวดลายในงานโลหะ การจัดสร้างหุ่นหลวง การเขียนภาพจิตรกรรมไทย การตอกกระดาษตอกฉลุหนัง การแกะแม่พิมพ์หินสบู่ การประดับมุกแบบญี่ปุ่น ฯลฯ และชมผลงานของสำนักช่างสิบหมู่ได้อีกมากมาย            ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้งานด้านศิลปกรรม ของสำนักช่างสิบหมู่ ผ่านทางเว็บไซต์ https://datasipmu.finearts.go.th


อาทิตย์นี้พบกับ สาระน่ารู้ : บราลี (บะ-รา-ลี) จากอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ไปชมกันได้เลยค่ะ บราลี (Barali) หรือ ปราลี เกิดจากการนำคำ ๒ คำ ในภาษาสันสกฤตมาประกอบกัน คือคำว่า ปร + อาลี = ปราลี ซึ่งแปลว่า “สิ่งที่ติดตั้งให้ชูขึ้นไป” โดยบราลีเป็นส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมมีลักษณะยอดแหลมขนาดเล็ก หรือมีรูปทรงเป็นกรวยกลมคล้ายดอกบัวตูม โดยประดับเรียงรายอยู่บนสันหลังคาของอาคาร บราลีสามารถพบเห็นได้ในปราสาทวัฒนธรรมเขมร โดยประดับตกแต่งอยู่บนสันหลังคาของซุ้มโคปุระ สันหลังคาปราสาท หรือสันหลังคาระเบียงคต บราลีของปราสาทสด๊กก๊อกธม สำหรับปราสาทสด๊กก๊อกธมพบหลักฐานจากกระบวนการทางโบราณคดีว่า มีการใช้บราลีประดับบนสันหลังคาในอาคารต่างๆของปราสาท ได้แก่ ระเบียงคต ซุ้มโคปุระ และบรรณาลัย อ้างอิง - กรมศิลปากร. สำนักโบราณคดี. (๒๕๕๐). ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร : หน้า ๕๒๑. - กรมศิลปากร. (๒๕๖๕). ปราสาทสด๊กก๊อกธม: อุทยานประวัติศาสตร์ ณ ชายแดนตะวันออก. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ : หน้า ๓๐๓,๓๒๒. - วสุ โปษยะนันทน์, อนัสติโลซิสเพื่อการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธม (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) หน้า ๔๕. - องค์ความรู้ : อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เรื่อง : บราลี เครื่องประดับสถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมเขมรโบราณ ณ ปราสาทพนมรุ้ง. Access 15 November https://www.facebook.com/Ensemble.of.Phanom.Rung /posts/pfbid02VGqaVqP5kjkWwcAYxF8hjnhSzFbbj3piKnTwtANqXuHwUizGrYL82krhR9bTCdXJl.


black ribbon.