ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 157/4เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
ส่งเสริมการอ่านผ่าน Facebook กับหอสมุดแห่งชาติชลบุรี
เรื่อง ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกในพื้นที่เล็กๆ ปลูกบนดาดฟ้า
ทวีชัย วิยะชัย. ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกในพื้นที่เล็กๆ ปลูกบนดาดฟ้า. กรุงเทพฯ: เซเว่นดี บุ๊ค, 2563.
ห้องหนังสือทั่วไป 1 เลขเรียกหนังสือ 635 ท229ป
ผักและผลไม้ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกาย เพราะมีสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรง แต่ผักและผลไม้ที่วางขายตามท้องตลาดมักจะปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ฉะนั้นการเลือกซื้อจึงต้องอาศัยวิจารณญาณ หรืออีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการรับสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย คือ การมีแปลงผักสวนครัวเล็กๆ ไว้ในครัวเรือน
ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกในพื้นที่เล็กๆ ปลูกบนดาดฟ้า เล่มนี้ ผู้เขียนพาเราไปพบกับ การปลูกผักทานเอง ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและต้องใช้เวลา ทั้งการรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ยิ่งเป็นชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การปลูกผักทานเองจึงดูเป็นเรื่องไกลตัว หัวใจสำคัญของการปลูกผัก นั่นคือ แสงแดด น้ำ และอากาศ ขนาดของพื้นที่ในการปลูกจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลใจอีกต่อไป เพียงมีพื้นที่กว้างยาวสักหนึ่งไม้บรรทัด อาจจะเป็นระเบียงคอนโด มุมหนึ่งของดาดฟ้า คุณก็สามารถปลูกผักได้แล้ว เริ่มต้นที่การเลือกใช้ภาชนะสำหรับปลูก โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับต้นไม้และสภาพพื้นที่ เช่น ถุงเพาะชำ สำหรับปักชำหรือเพาะเมล็ด มีอายุการใช้งาน 1-2 ปี เหมาะสำหรับการปลูกพืชอายุสั้น กระถาง ซึ่งแบ่งออกได้หลายแบบให้ได้เลือกใช้ เช่น กระถางพลาสติก กระถางดินเผา กระถางปูน และกระถางไม้ จนมาถึงภาชนะสำหรับปลูกที่หาได้ง่ายและเชื่อว่าทุกบ้านจะต้องมี นั่นคือ ขวดน้ำ นำมาตัดตามแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ ใส่ดินและจากนั้นนำผักลงปลูก เช่น หัวหอม ผักชี หากอยากให้พืชออกดอกออกผลงดงามก็ต้องบำรุงด้วยปุ๋ยหมักชีวภาพที่เป็นประโยชน์ต่อพืชและเป็นมิตรต่อมนุษย์ ทั้งนี้ผู้เขียนยังได้แนะนำพืชที่เหมาะสำหรับการปลูกในขนาดพื้นที่ที่จำกัด อาทิ ถั่วงอก ผักสลัด (กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค บัตเตอร์เฮด สลัดคอส และผักกาดหอม) ผักบุ้ง พริก มะนาว และอื่นๆ ทุกวันนี้ผักและผลไม้ส่วนใหญ่มักปนเปื้อนด้วยสารเคมีอันตราย หากร่างกายได้รับในปริมาณมากก็อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ การปลูกผักทานเองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพ ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติชลบุรี (วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 09.00 - 17.00 น.)
ชื่อผู้แต่ง หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง บรรณานุกรมหนังสือสำหรับเด็ก
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ หอสมุดแห่งชาติ
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๒
จำนวนหน้า ๑๕๙ หน้า
รายละเอียด
เป็นหนังสือที่รวบรวม รายชื่อหนังสือที่เหมาะสำหรับเด็ก มาจัดทำสาระสังเขป เพื่อใช้เป็นแนวทางแนะนำเด็กวัยต่าง ๆ ได้เลือกอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ ตามความสนใจและความชอบของแต่ละคน มีทั้งนิทาน นวนิยาย นิยายผจญภัย ชีวประวัติบุคคล ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งสิ้น ๒๘๑ รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.425/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 152 (104-108) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : วินัยสังเขป--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.566/1 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 185 (340-346) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : พระสังคิณี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง พระเจ้าห้าสิบชาติ (ห้าสิบชาติ) สพ.บ. 427/2ขประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดกบทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ฉบับล่องรัก ลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
บทความ เรื่องพัดในการแสดงนาฏศิลป์โขน ละคร
เรียบเรียงโดย นายไพโรจน์ ทองคำสุก นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ
พัด พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า เครื่องโบกหรือกระพือลม มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน รูปทรงแตกต่างกัน และการนำไปใช้ก็แตกต่างกันด้วยชื่อที่ใช้เรียก เช่น พัดด้ามจิ้ว พัดโบก พัดวิชนี ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกันออกไป
พัดด้ามจิ้ว พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อพัดชนิดหนึ่งที่คลี่ได้พับได้ ด้ามติ้วก็ว่า
พัดโบก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อเครื่องสูงชนิดหนึ่งสำหรับโบกลมถวายพระมหากษัตริย์ซึ่งประทับ ณ ที่สูง ถือเป็นของสูง
พัดวิชนี พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อพัดชนิดหนึ่ง มีชื่ออีกว่า วิชนี
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ในการนำไปใช้ในการแสดงนาฏศิลป์โขนละครที่แตกต่างกันอีกด้วย จากการศึกษาค้นคว้าพบว่าพัดใช้ในการแสดงโขน ละครนอก ละครพันทาง เป็นต้น
๑. พัดด้ามจิ้ว
๑.๑ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับแต่งองค์ทรงเครื่อง ปรากฏในการแสดงโขนตอนทศกัณฐ์ลงสวน ซึ่งทศกัณฐ์พญายักษ์เจ้ากรุงลงกา เนื้อเรื่องโดยสังเขป กล่าวถึง ทศกัณฐ์เมื่อลักพานางสีดามาได้ก็นำนางมาอยู่ที่สวนขวัญ ภายในกรุงลงกา วันหนึ่งใคร่จะไปหานางสีดา จึงแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ มีผ้าแดงพาดบ่า ถือพัดด้ามจิ้ว มือขวาคล้องพวงมาลัย องอาจผึ่งผาย เสด็จไปยังสวนขวัญที่อยู่ของนางสีดา ดังบทร้องฉุยฉายที่กล่าวไว้ว่า
ร้องเพลงฉุยฉาย
ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย
เยื้องย่างเจ้าช่างกราย หล่อนมิเคยพบชายนักเลงเจ้าชู้
จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน เจ้าช่างกระบวนหนักหนาอยู่
ฉุยฉายเอย จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย
เยื้องย่างเจ้าช่างกราย หล่อนมิเคยพบชายนักเลงเก่งแท้
จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน เจ้าช่างกระบวนเสียจริงเจียวแม่
ร้องแม่ศรี
ยักษีเอย ยักษีโศภน
เจ้าช่างแต่งตน เลิศล้นหนักหนา
ห้อยไหล่แดงฉาด งามบาดนัยน์ตา
ช่างงามสง่า จริงยักษีเอย
ยักษีเอย ยักษีทศศีร์
วางท่าจรลี ท่วงทีองอาจ
มุ่งใจใฝ่หา สีดานงนาฏ
แล้วรีบยุรยาตร เข้าอุทยานเอย
ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว – ลา
สำหรับความเป็นมาของกระบวนท่ารำซึ่งมีท่าการใช้พัดโบก สะบัดไปมางดงามตามกระบวนท่าโขนยักษ์ มีประวัติโดยสังเขปดังนี้ กระบวนท่ารำนั้นไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้ประดิษฐ์ แต่ปรากฏภาพทศกัณฐ์ทรงเครื่องมีผ้าห้อยบ่าสองข้าง มือขวาถือพัดด้ามจิ้ว และมีพวงมาลัยคล้องที่ข้อมือขวา ซึ่งในครั้งนั้นพระยาพรหมาภิบาล (ทองใบ สุวรรณภารต) เป็นผู้แสดง (ละครฟ้อนรำ ประชุมเรื่องละครฟ้อนรำกับระบำรำเต้น พระนิพนธ์ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
๑.๒ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับแต่งองค์ทรงเครื่อง ปรากฏในการแสดงละครพันทางเรื่องราชาธิราชตอน สมิงพระรามอาสา ซึ่งพระเจ้ากรุงปักกิ่ง (พระเจ้าเส่งโจ๊วฮ่องเต้) ทรงพกพัดด้ามจิ้ว (ขนาดใหญ่) ติดตัวตามรูปแบบของการแสดงนาฏศิลป์จีน และใช้โบกพัด พร้อมทั้งปิดบังความโศกเศร้าเสียใจที่กามนีทหารเอกต้องมาพ่ายแพ้ต่อสมิงพระราม ยังความอับอายเป็นอันมาก
เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง พระเจ้าเส่งโจ๊วฮ่องเต้ แห่งกรุงจีน มีทหารเอกคนหนึ่งชื่อว่ากามนี เป็นผู้ที่มีฝีมือในการขี่ม้าแทงทวนสันทัดมาก พระองค์ประสงค์จะทอดพระเนตรบรรดาทหารจากเมืองต่าง ๆ ขี่ม้าแทงทวนสู้กับกามนีตัวต่อตัว แต่ก็ยังหาเมืองใดที่จะมีทแกล้วทหารที่สามารถสู้กับกามนีได้ เห็นจะมีทหารที่สู้ได้อยู่แต่กรุงอังวะกับกรุงหงสาวดี ดังนั้น พระเจ้ากรุงจีนจึงให้โจเปียว ทหารเอกอีกผู้หนึ่งอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการมาถวายพระเจ้าอังวะ ในพระราชสาส์นนั้น มีใจความอยู่ ๒ ประการ ประการหนึ่ง มีความประสงค์ให้พระเจ้าอังวะยอมอยู่ในอำนาจและออกมาถวายบังคม อีกประการหนึ่ง จะใคร่ทอดพระเนตรทหารขี่ม้ารำทวนสู้กัน โดยมีข้อสัญญาว่า ถ้าฝ่ายอังวะแพ้ต้องยอมถวายเมือง หากชนะทางฝ่ายจีนก็จะเลิกทัพกลับไป ครั้นพระเจ้าอังวะทรงแจ้งในพระราชสาส์นแล้ว จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวหาผู้รับอาสา สมิงพระรามทหารแห่งกรุงหงสาวดี ซึ่งขณะนั้นเป็นอาชญากรสงครามอยู่ ณ กรุงอังวะ เมื่อได้ยินป่าวร้องดังนั้น จึงคิดว่าถ้าพระเจ้ากรุงจีนได้เมืองอังวะแล้ว ก็คงไม่สิ้นความปรารถนา ต้องยกล่วงเลยไปตีกรุงหงสาวดีด้วย จึงขอรับอาสาสู้กามนี เมื่อถึงกำหนดวันประลอง ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงฝีมือร่ายรำเพลงทวนกันอย่างสวยงามคล่องแคล่วว่องไว ฝ่ายหนึ่งรำฝ่ายหนึ่งตาม ผลัดเปลี่ยนกันอยู่หลายสิบเพลง สมิงพระรามจึงแกล้งทำอุบาย ร่ายรำยกแขน ก้มศีรษะโดยหวังจะดูช่องเกราะของกามนี ที่จะสอดทวนเข้าไปแทงได้กามนีไม่รู้เท่าก็รำทำท่ายกแขน ก้มศีรษะตาม สมิงพระรามเห็นได้ที จึงสอดทวนแทงเข้าช่องใต้รักแร้ และเอาดาบฟันลงที่ท้ายทอย ตัดศีรษะกามนีได้ บรรดาทหารจีนทั้งหลายเห็นพระเจ้ากรุงจีนเสียพระทัยมาก และเกรงว่าจะเป็นที่อัปยศแก่พม่า จึงรับอาสาจะตีกรุงอังวะมาถวาย แต่พระเจ้ากรุงจีนทรงห้ามไว้ และทรงทำตามคำมั่นสัญญา โดยสั่งเลิกทัพเสด็จกลับยังกรุงจีน ดังบทร้องแห่งความโศกเศร้าที่กล่าวไว้ว่า
- ร้องเพลงจีนหลวง -
เมื่อนั้น เจ้ากรุงจีน มัวหมอง ไม่ผ่องใส
สุดแสน อัประยศ สลดใจ คิดอาลัย ทหาร ชาญสงคราม
จึงตรัสสั่ง เสนา ว่าบัดนี้ กามนี วายวาง กลางสนาม
ต่อหีบ ให้สมยศ งดงาม ใส่ไปฝัง เสียตาม ประเพณี
กระดาษต่อ ทำต่าง อย่างศีรษะ เสร็จแล้วจะ ยกทัพ กลับกรุงศรี
จงเตรียมพร้อม พหล พลโยธี รุ่งพรุ่งนี้ ยกกลับ ไปฉับพลัน
บัดนั้น เสนานาย ฝ่ายพหล พลขันธ์
รับโองการ กราบก้ม บังคมคัล ไปจัดสรร เสร็จสิ้น ตามบัญชา
ขณะที่พระเจ้ากรุงจีนแสดงท่าทางก็จะใช้พัดปิดบังใบหน้าด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ในบทที่กล่าวถึงความมัวหมองไม่ผ่องใส สุดแสน อัปยศ สลดใจ คิดอาลัย ทหาร ชาญสงคราม และเมื่อเดินเข้าเวทีก็ยังใช้พัดปิดบังใบหน้าบ้างบางช่วง แสดงถึงความโศกเศร้าสลดใจ
๒. พัดโบก
๒.๑ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประกอบขบวนพระเกียรติยศ ปรากฏในการแสดงโขนตอนพรหมาสตร์ พระอินทร์แปลง ยกขบวนพระเกียรติยศพร้อมเครื่องสูง และเทวดา นางฟ้า
เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง ทศกัณฐ์รับสั่งให้แสงอาทิตย์ หลานชายผู้เรืองฤทธิ์ด้วยแว่นวิเศษ กับพิจิตรไพรีพี่เลี้ยง ออกรบ กับพระรามเพื่อขัดตาทัพ ขณะที่อินทรชิต โอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ ตั้งพิธีชุบศรพรหมาสตร์ ซึ่งพระอิศวรประทานให้ ณ เชิงเขาจักรวาล เพื่อใช้สังหารข้าศึกให้หมดสิ้นไป เมื่อแสงอาทิตย์และพิจิตรไพรี ถูกพระราม พระลักษมณ์ฆ่าตาย ทศกัณฐ์ใช้ให้กาลสูรไปทูลให้อินทรชิตทราบข่าวและมีรับสั่งให้ยกทัพไปสู้กับข้าศึกโดยเร็ว อินทรชิตพิโรธกาลสูรที่ทูลถึงความพ่ายแพ้เป็นลางกลางพิธี แต่ด้วยพระราชกระแสรับสั่ง จึงงดโทษและตรัสสั่งให้รุทการจัดเตรียมกองทัพ โดยให้ไพร่พลแปลงเป็นคนธรรพ์ เทวดา นางฟ้า และนักสิทธิ์ การุณราชแปลงเป็นช้างเอราวัณ แล้วตนเองแปลงเป็นพระอินทร์ ยกกองทัพไปล่อลวงพระลักษมณ์และพลวานรให้หลงเชื่อว่าเป็นกองทัพพระอินทร์ อินทรชิตแผลงศรพรหมาสตร์ถูกพระลักษมณ์และพลวานรสลบลง เหลือแต่หนุมานผู้เดียวเหาะขึ้นไปหักคอช้างเอราวัณ ถูกตีด้วยคันศรตกลงมาสลบเช่นกัน อินทรชิตจึงยกทัพกลับเข้ากรุงลงกาด้วยความมีชัย ดังบทร้องที่กล่าวว่า
- ร้องเพลงกราวนอก -
ขึ้นทรง คอคชา เอราวัณ ทหารแห่ โห่สนั่น หวั่นไหว
ขยายยก โยธา คลาไคล ลอยคว้าง มาใน โพยมมาน
- ร้องเพลงทะแยกลองโยน -
ช้างนิมิต เหมือนไม่ผิดช้างมัฆวาน
เริงแรงกำแหงหาญ ชาญศึกสู้รู้ท่วงที
ผูกเครื่องเรืองทองทอ กระวินทองหล่อทอแสงศรี
ห้อยหูพู่จามรี ปกกระพองทองพรรณราย
เครื่องสูงเรียงสามแถว ลายกาบแก้วแสงแพรวพราย
อภิรุมสับชุมสาย บังแทรกอยู่เป็นคู่เคียง
กลองชนะประโคมครึก มโหรทึกกึกก้องเสียง
แตรสังข์ส่งสำเนียง นางจำเรียงเคียงช้างทรง
สาวสุรางค์นางรำฟ้อน ดังกินนรแน่งนวลหงส์
นักสิทธิ์ฤทธิรงค์ ถือทวนธงลิ่วลอยมา
ขบวนของพระอินทร์แปลงประกอบด้วยเครื่องสูงครบถ้วน
๒.๒ เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ปรากฏในการแสดงละครพันทางเรื่องพญาผานอง ซึ่งพระวรุณเทพเจ้าทรงถือพัดโบกในการประทานฝนให้กับนางพญาคำปิน เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง นางพญาคำปินครองเมืองวรนครแทนพญาเก้าเกื่อนพระราชสามี ซึ่งเสด็จไปครองเมืองภูคา ขณะนั้นนางพญาคำปินทรงพระครรภ์อยู่ พญางำเมืองเจ้าเมืองพะเยายกกองทัพเข้ายึดเมืองวรนครไว้ได้ นางพญาคำปินเป็นห่วงบุตรในครรภ์ จึงหลบหนีออกจากวรนครได้ทัน ก่อนที่พญางำเมืองจะจับตัวได้พร้อมทั้งนางข้าหลวงคนสนิท นางพญาคำปินได้ประสูติพระกุมารอยู่ ณ กระท่อมร้างกลางไร่ชายเมืองวรนคร นางเฝ้าระทมทุกข์สงสารพระกุมารยิ่งนัก จึงเสี่ยงสัตย์อธิษฐานหากพระกุมารมีบุญญาธิการจะได้ครอบครองบ้านเมืองต่อไป ขอให้มีฝนตกลงมาเพื่อขจัดความแห้งแล้ง พระวรุณเทพเจ้าก็ทรงบันดาลให้ฝนตกจนน้ำเต็มหนองและไหลเชี่ยวพัดพาเอาก้อนหินมากองอยู่หน้ากระท่อม ดังบทร้องที่กล่าวว่า
- ร้องเพลงลาวพุงขาว -
เมื่อนั้น พระวรุณ อุทกราช เป็นใหญ่
ประทับเหนือ เทพอาสน์ อำไพ ภูวไนย ทอดพระเนตร นางพญา
ร่ายรำ ขอน้ำ จากสวรรค์ ทรงธรรม์ โปรดประสาท ดังปรารถนา
บัดดล น้ำทิพย์ ธารา หลั่งลง พสุธา ทันที
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัวสามลา -
(พระวรุณรำเพลงหน้าพาทย์ โบกพัดไปมา พร้อมควงบ่วงบาศ จนฝนตก)
๓. พัดวิชนี
๓.๑ เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องประกอบพระเกียรติยศ ปรากฏในการแสดงโขนและละคร ทั้งในกรุงศรีอยุธยาเมืองของพระราม กรุงลงกาเมืองของทศกัณฐ์ และท้องพระโรงเมืองต่างๆในละคร โดยนางพระกำนัลจะนั่งถือพัดวิชนีอยู่ข้างเตียงด้านขวา และนางพระกำนัลที่ถือแส้จะนั่งอยู่ข้างเตียงด้านซ้าย ทำหน้าที่โบกสะบัดสลับไปมาอย่างช้าๆ
๓.๒ เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องใช้ของพระลอ ในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอตอน พระลอเสี่ยงน้ำ ซึ่งพระลอจะใช้ในระหว่างที่โศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ โดยนำพัดวิชนีมาปิดบังใบหน้า สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นแม่น้ำกาหลงเป็นสีเลือด และรู้ว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่เมืองแมนสรวงอีกเลย
เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง พระลอหลังจากต้องมนต์ของปู่เจ้า ก็ไม่สามารถทนทานได้ เกิดความคลั่งไคล้เพ้อหาแต่พระเพื่อนพระแพง กระวนกระวายต้องการที่จะเดินทางไปหา ทั้งพระราชมารดาและพระมเหสีจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง พระนางบุญเหลือจึงจำต้องให้เสด็จไป เพื่อพาพระเพื่อนพระแพงมายังเมืองสรอง พอเสด็จมาถึงแม่น้ำกาหลง พระลอเกิดลังเลใจ ทั้งห่วงพระราชมารดา บ้านเมือง และห่วงหาในสองพระราชธิดา พระองค์จึงทรงอธิษฐานทำพิธีเสี่ยงน้ำ เพื่อช่วยในการตัดสินพระทัย ดังบทร้องที่กล่าวว่า
- เกริ่น –
พอวางพระโอษฐ์น้ำ ไหลวนคล่ำควะคว้าง เห็นแดงดังสีเลือดฉาด น่าอนาถสยดสยองโลมา เสียวหัทยาพระลอราช พระบาทธท่าวร้าวกมล
เหมือนไม้สนสิบอ้อมสะบั้น ทับอุระพระลออั้น สะอื้นอาดูรแดเอย
-ปี่พาทย์ทำเพลงโอดลาว-
(พระลอโศกเศร้าเสียใจ สะอึกสะอื้น นำพัดวิชนีมาปิดบังใบหน้า)
พัดเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดงที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง ทั้งยังใช้ในการประกอบลีลาท่ารำให้งดงามขึ้น การโบกสะบัด และการคลี่พัดตามจังหวะถือเป็นกลวิธีในการร่ายรำ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความอลังการในการประกอบขบวนพระเกียรติยศทำให้การแสดงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ขอเชิญชมนิทรรศการหมุนเวียน "Object of the Month" วัตถุจากคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ประจำเดือน "มิถุนายน" เชิญพบกับ "พระพุทธรูปปางมารวิชัย" ปางสัมผัสแผ่นดิน จัดแสดงให้ชมระหว่างวันที่ ๑ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖
พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านช้าง อายุสมัยรัตนโกสินทร์ มีลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์แย้มสรวล พระรัศมีทรงกรวยยืดสูง ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิปลายตัดตรายางจรดพระนาภี พระหัตถ์แสดงปางมารวิชัย พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นบนพระเพลา ประทับบนฐานบัวซ้อนเหนือฐานสิงห์ ด้านหน้ามีผ้าทิพย์
ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการหมุนเวียน "พระพุทธรูปปางมารวิชัย" ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๖๖ ปิดวันจันทร์ วันอังคาร) สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ หรือเฟสบุ๊ก: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี
วัดพระธาตุดอยกองมู วัดพระธาตุดอยกองมู เดิมชื่อวัดปลายดอย ตั้งอยู่ที่ดอยกองมู ทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน มีความเชื่อว่าภูเขาลูกนี้มีลักษณะเหมือนองค์พระเจดีย์ จึงเรียกว่าพระธาตุดอยกองมู บนยอดดอยประดิษฐานพระธาตุเจดีย์ ศิลปะไทใหญ่ - พม่า จำนวน ๒ องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดยจองต่องสู่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ ภายในบรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนองค์แรก ภายในบรรจุพระธาตุของพระสารีบุตรเถระที่พระอู่เอ่งต๊ะก๊ะ นำมาจากเมืองมัณฑะเลย์สหพม่า กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดขอบเขตในราชกิจจานุเษก เล่มที่ ๙๘ ตอนที่ ๑๗๗ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๒๔ ศาสนวัตถุและศาสนสถานภายในวัด อาทิ องค์พระพุทธรูป พระเจดีย์ ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธประวัติ มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบพม่า ทางเข้าด้านหน้าวัดบนยอดดอยมีสิงห์คู่ และระฆังเก่าแก่ โดยมีความเชื่อว่าหากบุคคลใดตีระฆังแล้วจะได้กลับมาแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง #แม่ฮ่องสอน#วัดในแม่ฮ่องสอน#วัดพระธาตุดอยกองมูเรียบเรียง นายวีระยุทธ ไตรสูงเนิน นักจดหมายเหตุ ชำนาญการภาพ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่อ้างอิง กรมการศาสนา. ๒๕๓๓. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรไทย เล่ม ๙. โรงพิมพ์กรมศาสนา : กรุงเทพมหานคร กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. การขึ้นทะเบียนโบราณสถานภาคเหนือในเขตความรับผิดชอบของ หน่วย ศิลปากรที่ ๔ ตามโครงการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานของกองโบราณคดี. ม.ป.ท : ม.ป.พ. ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม และคณะ. ๒๕๕๓ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการ "การออกแบบเบื้องต้นและ การศึกษาความเป็นไปได้สำหรับพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองแม่ฮ่องสอน". สำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย (สกว.)
๑ สิงหาคม ๒๕๖๖วันอาสาฬหบูชา อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๘ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนกรกฎาคมหรือเดือนสิงหาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน ๘ สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน ๘ หลังแทน (ในปี ๒๕๖๖ นี้มีเดือน ๘ สองหน)ทั้งนี้ขอยกข้อความในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎ เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน? ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา. เข้าถึงได้โดย https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=4&A=355&Z=445
ชื่อเรื่อง เอกสารการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการฉบับที่ 6 แผนการศึกษาแห่งชาติผู้แต่ง กระทรวงศึกษาธิการประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ การศึกษาเลขหมู่ 379.122 ศ615ผสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ รสพปีที่พิมพ์ 2512ลักษณะวัสดุ 80 หน้าหัวเรื่อง การศึกษา แผนการศึกษาแห่งชาติภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกกล่าวถึงเรื่อง ประกาศ คำชี้แจง และคำบรรยายของแผนการศึกษาแห่งชาติ
ประวัติวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร จังหวัดสงขลา
ผู้แต่ง : กรมศิลปากร
ต้นฉบับอยู่ที่ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี (ห้องกรมศิลปากร)
โรงพิมพ์ : สหประชาพาณิชย์
ปีที่พิมพ์ : 2535
รูปแบบ : PDF
ภาษา : ไทย
เลขหมู่ : 294.3135 ศ528ป
วันศิลปินแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงเป็นพระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยทรงพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมด้านต่างๆ หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นด้านกวีนิพนธ์ ด้านดนตรี และประติมากรรม และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ จึงถือเอาวันพระราชสมภพ (วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2310) เป็น "วันศิลปินแห่งชาติ"
ทรงเป็นกวีเอกแห่งแผ่นดินพระองค์หนึ่ง ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมไว้จำนวนมากมายหลายเรื่อง เช่น อิเหนา ซึ่งเป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสร ในรัชกาลที่ 6 ว่าเป็นยอดของกลอนบทละครรำ
นอกจากนี้ ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกไว้ถึง 5 เรื่อง ได้แก่ ไกรทอง พระไชยเชษฐ์ คาวี สังข์ทอง และมณีพิชัย และด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในด้านวรรณกรรม ทรงได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกสาขาวรรณกรรม และเพื่อเป็นการยกย่องศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน ทางสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติจึงได้มอบรางวัลให้แก่ ศิลปินที่มีผลงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกย่องและเชิดชูเกียรติศิลปิน