ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ

 จากแผนที่สภาพป่าไม้อำเภอสาและป่าน้ำแก่น อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เมื่อ ๕๐-๖๐ ปีก่อนนั้น คือพยานความสมบูรณ์หรือ " ความหนาแน่น " ของพันธุ์ไม้ได้เป็นอย่างดี   ครั้นสำนักงานป่าไม้จังหวัดน่านสำรวจต่อเนื่อง พบว่าป่าน้ำยาว ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา ก็มีสภาพผืนป่าสมบูรณ์เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่จัดทำแผนที่สังเขปบนกระดาษไข ขนาดมาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ระบุเครื่องหมายทั้งเฉดสีป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณชื้น และป่าเบญจพรรณแล้ง รอบๆพื้นที่ถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำ ลำห้วย มีสาขาแยกแทรกเข้าไปภายในตลอดสาย เช่นนี้ป่าน้ำยาวจึงสร้างระบบนิเวศน์พร้อมมูลแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน  อย่างไรก็ตาม ในแผนที่มีสัญลักษณ์การทำไร่ของประชาชนร่วมด้วย แสดงว่ารัฐอนุญาตให้คนอยู่ร่วมกับป่าแบบพึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างถูกกฎหมาย แต่ที่น่าสนใจคือ พืชไร่อะไรต้องการความอุดมสมบูรณ์อย่างมหาศาล? แล้วผืนป่าอื่นๆมีด้วยรึไม่?  โปรดติดตาม ... ผู้เขียน : นายธานินทร์ ทิพยางค์ ( นักจดหมายเหตุ ) เอกสารอ้างอิง : หจช. พย. แผนที่สำนักงานป่าไม้จังหวัดน่าน กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและ  สหกรณ์ ผจ นน 1.6 / 8 เรื่องแผนที่สังเขปแสดงสภาพป่าน้ำยาว ตำบลตาลชุม   อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ( ม.ท. )


ชื่อเรื่อง                                มหาพุทธคุณแปล (มหาพุทธคุณแปล)สพ.บ.                                  112/9ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           34 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 54.8 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศานา                                           บทสวดมนต์  บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดประสพสุข   ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี  


เลขทะเบียน : นพ.บ.65/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  36 หน้า ; 4 x 56.6 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 42 (6-13) ผูก 7 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (ธัมสังคิณี-มหาปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.128/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  68 หน้า ; 4.5 x 51 ซ.ม. : รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 74 (267-274) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : มูลตันไตย (มุลฺลตันไตย)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.79/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  84 หน้า ; 5.9 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 49 (71-77) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (พระสังคิณี-พระมหาปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา จะพาระลึกความหลังเมื่อ ๗๗ ปีก่อน เมื่อครั้งจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีนโยบายนำไทยสู่ความเป็นมหาอำนาจ ด้วยการส่งเสริมให้มีการแต่งงานเพื่อเพิ่มประชากร นำมาซึ่งการก่อตั้ง "องค์การส่งเสริมการสมรส" ขึ้น จนทำให้เกิดเหตุการณ์ การสมรสหมู่ เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย ซึ่งสัปดาห์นี้กลุ่มโบราณคดีจะพาไปชมภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เกิดขึ้นที่เมืองพัทลุง ผ่านบทความเรื่อง "พิธีสมรสหมู่ที่เมืองพัทลุง" องค์การส่งเสริมการสมรส           วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ก่อตั้ง “องค์การส่งเสริมการสมรส” ขึ้นโดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน อธิบดีกรมสาธารณสุขเป็นรองประธาน ส่วนกรรมการนั้นได้แก่อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรมโฆษณาการ ผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนเทศบาลนครกรุงเทพฯ ผู้แทนเทศบาลนครธนบุรี นายกสมาคมสงเคราะห์ผู้มีบุตรมาก และกำหนดให้มีผู้หญิงเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย เป้าหมายขององค์กรแห่งนี้คือการส่งเสริมให้คนแต่งงานกันมากขึ้น และเพิ่มจำนวนประชากรให้ได้ ๓๐-๔๐ ล้านคนภายในเวลา ๒๐-๓๐ ปี เพื่อนำไทยไปสู่ความเป็นมหาอำนาจ (ขณะนั้นมีพลเมือง ๑๘ ล้านคน)            องค์การส่งเสริมการสมรสจึงมีภารกิจหลักได้แก่ การเช่นชักชวนและชักจูงให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าในการสมรส ช่วยประสานงานในการสู่ขอและขจัดอุปสรรคต่างๆ รวมถึงการตรวจโรคและจัดพิธีสมรส จากนั้นก็พิจารณาให้มีที่ทำกิน และให้ทุนการศึกษาแก่ลูกคนแรกที่เกิดมาหลังการสมรส ๒๖๐ วันเป็นต้นไป ทั้งนี้จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีบัญชาให้องค์การส่งเสริมการสมรส จัดงานสมรสหมู่ขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมกันเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๘๖ สำหรับกรุงเทพฯ เพื่อให้เป็นงานยิ่งใหญ่ระดับชาติ จึงให้จัดที่ทำเนียบสามัคคีชัย ตึกไทยคู่ฟ้า โดยมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สมรสหมู่ที่เมืองพัทลุง           ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีภาพถ่ายเก่าชุดหนึ่งระบุว่า “จ.พัทลุง พิธีสมรสหมู่ ๗ ม.ค.๘๗ โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดพัทลุง” นับเป็นหลักฐานของการปฏิบัติตามนโยบายหรือรัฐนิยมของรัฐบาล ในพื้นที่หัวเมืองภาคใต้ที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวง ซึ่งกำลังจะครบรอบ ๗๗ ปีในเวลาอันใกล้นี้ ---------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล :  นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ I กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา---------------------------------------------------------เผยแพร่ข้อมูล : กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร---------------------------------------------------------


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.3/1-2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ประวัติการทูตของไทย ชื่อผู้แต่ง : นราธิปพงศ์ประพันธ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่น ปีที่พิมพ์ : 2501 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์ จำนวนหน้า : 98 หน้า สาระสังเขป : วัฒนธรรมทางทูตเป็นเครื่องประกอบการดำเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศให้ลุล่วงอุปสรรคอันเป็นภัยต่อเอกราชของชาติได้ หนังสือประวัติการทูตของไทย ของพระเจ้า วรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ มีเนื้อหากล่าวถึงประวัติทางการทูตของไทย แบ่งเนื้อหาออกเป็น 6  หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ 1 การสัมพันธ์กับประชาชาติใกล้เคียง หมวดที่ 2 การสัมพันธ์กับชาติญี่ปุ่นและยุโรป หมวดที่ 3 สภาพนอกอาณาเขต หมวดที่ 4 ภัยของเอกราชของชาติ หมวดที่ 5 การกำจัดสภาพนอกอาณาเขต และหมวดที่ 6 เอกราชสมบูรณ์





องค์ความรู้ทางโบราณคดี เรื่อง “เตาถลุงเหล็กของเมืองลองโบราณ อำเภอลอง จังหวัดแพร่”  โดย นายพลพยุหะ ไชยรส นักโบราณคดีปฏิบัติการ  กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่  เมืองลองโบราณเป็น 1 ใน 57 หัวเมือง ของล้านนาในอดีตโดยเป็นเมืองบริวารของเมืองลำปางมีพันธะต้องส่งส่วยเหล็กให้เมืองลำปางทุกปี โดยปฏิบัติเป็นธรรมเนียมตั้งแต่ยุคจารีตจนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 25 ดังปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุความว่า “... เมืองลองเสียส่วยแก่เมืองนคร (เมืองนคร=เมืองลำปาง) มีแต่เหล็กสิ่งเดียว ถ้ามีราชการขึ้นก็จะเกณฑ์เอากับแสนหลวงเจ้าเมืองลองตามการใหญ่แลน้อย ถ้าเป็นการใหญ่ก็เคยเกณฑ์ตั้งแต่ 50 40 คนลงมา บาญชีคนชะกันสำมะโนครัวเมืองลองไม่มีมาแต่เดิมจะมีคนมากน้อยเท่าไหร่ก็เรียกส่วยปีละ 40 หาบเท่านั้น...” (40 หาบ เท่ากับ 2,400 กิโลกรัม)  เหล็กเมืองลองจะถูกถลุงที่หมู่บ้านนาตุ้ม (แหล่งโบราณคดีบ้านนาตุ้ม) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลองประมาณ 6 กิโลเมตร และห่างจากเหมืองแร่เหล็กโบราณดอยเหล็ก ประมาณ 1 กิโลเมตร จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ.2562 พบเตาถลุงเหล็กในแหล่งโบราณคดีบ้านนาตุ้มจำนวน 10 เตา เรียงตัวเป็นแนวยาวขนาดไปกับลำเหมืองโบราณของหมู่บ้าน  เตาถลุงเหล็กของเมืองลอง (แหล่งโบราณคดีบ้านนาตุ้ม) มีลักษณะเป็นเตาถลุงทรงสูง (Shaft Furnace) มีขนาดกว้างประมาณ 100 เซนติเมตร ยาวประมาณ 120 เซนติเมตร สูงประมาณ 80 – 90 เซนติเมตร ห้องถลุงมีขนาด 30 - 40 เซนติเมตร มีรูสอดปลายหุ้มท่อลมดินเผา ด้านหลังเตา ขนาด 10 - 13 เซนติเมตร โดยก่อเตาเรียงตัวติดต่อกันหลายๆ เตาเป็นแนวยาวโดยใช้เศษตระกัน อิฐ ก้อนหิน และดิน ก่อเป็นฐานในช่องว่างระหว่างเตาเพื่อเสริมความมั่นคงของผนังเตาแต่ละเตา กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 24 – 25  เทคโนโลยีการถลุงเหล็กของเมืองลองโบราณ เป็นการถลุงเหล็กทางตรง (Direct Process) มีอุณหภูมิในการถลุงไม่เกิน 1,300 องศาเซลเซียส โดยมีการคลุกเคล้าแร่เหล็กและเชื้อเพลิงในอัตราส่วนแร่เหล็ก 1 ส่วน ต่อเชื้อเพลิง 3 ส่วน และสร้างท่อลมไว้ด้านหลังเตาต่อเข้ากับเส่า (เครื่องสูบลม) เพื่อใช้สูบลมอัดเข้าไปในห้องเตาเพื่อเร่งอุณหภูมิในห้องเตาจนถึงระดับที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ทำให้เหล็กออกไซต์กลายเป็นเหล็กและปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดตะกรันแร่เหล็กเหลว (Liquid Slag) เมื่อสิ้นสุดกระบวนการถลุงจะมีการทุบทำลายเตาส่วนลำตัวและปากเตาเพื่อเอาก้อนเหล็กเหนียวหนืด (Bloom) ออกจากเตาถลุง และนำไปกำจัดเอามลทินออกจนเหลือแต่ก้อนเหล็กอ่อนบริสุทธิ์ (Wrought Iron)  สามารถนำไปตีเครื่องมือเครื่องใช้ได้ต่อไป  สำหรับแหล่งแร่เหล็กของเมืองลอง ตั้งอยู่บริเวณดอยเหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งแร่เหล็กชนิดฮีมาไทต์ โดยอยู่ห่างจากแหล่งถลุงเหล็กบ้านนาตุ้มไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร  จากบันทึกชาวต่างชาติระบุไว้ว่าอย่างน้อยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 แร่เหล็กดอยเหล็กเป็นที่รู้จักว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพ โดยปรากฏในเอกสารการเดินทางชาวตะวันตกที่ระบุว่าเมืองลองเป็นแหล่งทรัพยากรแร่เหล็กที่สำคัญและมีคุณภาพดินแดนล้านนา อาทิ บันทึกของคาร์ล อัลเฟรด บ็อค กล่าวว่า              “...เมืองลคอร (ในที่นี้หมายรวมถึงเขตเมืองลองซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองลำปางด้วย) ไม่เพียงแต่ร่ำรวยป่าไม้เท่านั้นแต่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ ใกล้ตัวเมือง มีเหมืองแร่เหล็กที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง หนึ่งถึงสองแห่ง ข้าพเจ้าได้เห็นแร่กาลีนา จำนวนหนึ่งซึ่งคาดว่าแร่เหล่านี้มีอยู่เต็มภูเขาละแวกนี้ นอกจากนี้ยังมีทองแดงด้วยชาวพื้นเมืองที่นี่เป็นช่างฝีมือโลหะและผลิตปืนใช้เอง..”  จากผลการยิงรังสี X-Ray ด้วยเครื่องมือ Portable XRF แสดงให้เห็นว่าก้อนแร่เหล็กจากดอยเหล็กมีปริมาณแร่เหล็กออกไซต์มากถึงร้อยละ 70 ตรงกับผลการสำรวจทางธรณีวิทยาบริเวณดอยเหล็กของกรมทรัพยากรธรณีเมื่อ ปี พ.ศ. 2500 เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลแล้วจะพบว่าแร่เหล็กดอยเหล็กเป็นเหล็กที่มีคุณภาพ ตามมาตรฐานขององค์กร “International Organization for Standard” มาตรฐานที่ “ISO/R1248-1970.E” ที่จัดแบ่งแร่เหล็กตามกลุ่มสี โดยแร่เหล็กที่ได้จากดอยเหล็กจัดเป็นแร่เหล็กสีแดง (Red Iron Ore) เกรด “B” ที่มีเหล็กออกไซต์ในก้อนแร่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70   ด้วยคุณภาพแร่เหล็กที่ดีทำให้ผลผลิตเหล็กของเมืองลองในท้องตลาดถือว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพสูงดังปรากฏในงานกวีภาคเหนือช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 หลายฉบับ เช่น ค่าวฉลองคุ้มเจ้าหลวงนครแพร่ของศรีวิไชยกวีในราชสำนักแพร่ เมื่อ พ.ศ.2453 ความว่า“...มีเจ็ดสิบสอง เหล็กลองกล๋มเกลี้ยงจดจันเจียงแซ่ไว้ ...ห้าสิบสอง เหล็กลองไหลดั้นข่ามคงกะพันมากนัก... ถ้วนเจ็ดสิบสอง เหล็กลองแข็งนักต๋ำหนักมิ่งแก้วมงคล...” หรือวลีในภาคเหนือของประเทศไทยที่มักกล่าวว่า “เหล็กดีเหล็กเมืองลอง ตองดีตองเมืองพะเยา” เป็นต้น เอกสารอ้างอิง : ภูเดช แสนสา. “เมืองลอง : ความผันแปรของเมืองขนาดเล็กในล้านนาจากรัฐจารีตถึงปัจจุบัน,” .วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2552. สุรพล นาถะพินธุ. รากเหง้า บรรพชนคนไทย : พัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ .กรุงเทพฯ : มติชน,   2550.  ศรีศักร วัลลิโภดม. เหล็ก โลหปฏิวัติ เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว : ยุคเหล็กในประเทศไทย : พัฒนาการทางเทคโนโลยีและสังคม .กรุงเทพฯ : มติชน, 2548. Carl Alfred Bock. Temples and Elephant The Narrative of a journal of Exploration through Upper Siam and Lao .New York: Cornell University Library, 1884. Ineke Joosten. Technology of early historical iron production in the Netherland .Amsterdam : Vrije University, 2004. Roberts, Benjamin W. and others,  Archaeometallurgy in Global Perspective : Methods and Syntheses .NewYork : Springer, 2014.



          “ขยันให้ถูกที่ ทำดีให้ถูกเวลา” เป็นคำคมที่มักได้ยินจากทั้งสุภาษิตไทยและจีน อีกทั้งยังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง ดังเหตุการณ์ที่ปรากฎในเอกสารจดหมายเหตุจังหวัดนครพนม แผนกมหาดไทย เรื่อง ผู้ได้รับคัดเลือกให้เป็นคนขยันประจำอำเภอในปี ๒๔๙๔           ในระหว่างพ.ศ. ๒๔๙๔ - ๒๔๙๗ กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเสนอรายชื่อบุคคล เพื่อพิจารณาเข้ารับขันเงินรางวัลคนขยันประจำปี และนำรางวัลมามอบให้แก่ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ โดย “ขันเงิน” ที่จะได้รับเป็นรางวัลนั้น มีลักษณะเป็นขันเงินตักบาตรขนาดกลาง พร้อมด้วยทัพพีและพานรอง จำนวน ๑ ชุด โดยการมอบจะต้องปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของกระทรวงมหาดไทยตามที่ระบุในหนังสือว่า           “ในการแจกจ่ายขันเงินรางวัลแก่คนขยันประจำอำเภอและกิ่งอำเภอ กระทรวงมหาดไทยใคร่ขอให้จังหวัดปฏิบัติการให้เป็นไปโดยสมเกียรติแก่ผู้รับตามสมควร โดยจะจัดมอบในงานพิธีใด ๆ ของทางราชการหรือจะจัดเป็นพิธีแจกโดยเฉพาะก็ได้ ทั้งนี้ โดยมีจุดประสงค์ที่จะกระตุ้นเตือนใจแก่ผู้ที่ได้ร่วมพิธีได้ทราบและถือเป็นแบบอย่าง กับเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นคนขยันอีกด้วย”           จังหวัดนครพนมจึงได้เสนอรายชื่อคนขยันของแต่ละอำเภอ ประจำปี พ.ศ. ๒๔๙๔ จำนวน ๘ คน คนละ ๑ อำเภอ ได้แก่ ๑.นายทุ่ม คำหุ่ง อำเภอเมืองนครพนม ๒.นายมาก ก่านจันทร์ อำเภอท่าอุเทน ๓.นายป่าน คำชนะ กิ่งอำเภอบ่อศรีสงคราม ๔.นายอุ่นแก้ว เชียงใหม่ อำเภอธาตุพนม ๕.นายคอน แสนสุภา อำเภอนาแก ๖.นายอาน จำใบรัตน์ อำเภอมุกดาหาร ๗.นายจันทร์ ศรีษาพันธ์ กิ่งอำเภอคำชะอี ๘.นายอ้วน อภัยโส กิ่งอำเภอบ้านแพง--------------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวพัชราภรณ์ สุวรรณะ นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี --------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง - กรมศิลปากร. (๒๕๔๔). งานศิลปกรรมช่างโลหะ. กรุงเทพฯ: เอ.พี.กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ - หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อุบลราชธานี. นพ ๑.๒/๓๑ ผู้ได้รับคัดเลือกให้เป็นคนขยันประจำอำเภอในปี ๒๔๙๔ (๘ พ.ค. - ๒๒ มิ.ย. ๒๔๙๗)



black ribbon.