ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ

องค์ความรู้เรื่อง "กันป่วย คู่มือรักษาสุขภาพในรัชกาลที่ ๖"เรียงเรียงโดย นายไอยคุปต์ ธนบัตร นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มประวัติศาสตร์ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์



ชื่อเรื่อง                    มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก)ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์) สพ.บ.                      421-11ประเภทวัสดุมีเดีย        คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                  พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ              36 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                    พุทธศาสนา                              ชาดก                     บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ-ทองทึบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


          นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการแถลงข่าวการจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” The Endless Epic of Japanese -Thai Ceramic Relationship in the World’s Trade and Culture โดยมีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณอธิบดีกรมศิลปากร และ Dr. Ayako Yamamoto, Curator of the Kyushu Ceramic Museum ร่วมแถลงข่าว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร            รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ประเทศไทย โดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับจังหวัดซากะ ประเทศญี่ปุ่น จัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา     ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมงานหัตถกรรมไทยจากวิถีพาณิชยวัฒนธรรมพื้นบ้านสู่ระดับประเทศและสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซรามิกหรือเครื่องปั้นดินเผา และฉลองวาระครบรอบ ๑๓๕ ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น โดยนำโบราณวัตถุเครื่องเคลือบเซรามิกจากพิพิธภัณฑสถานเซรามิกแห่งคิวชู ประเทศญี่ปุ่น และเครื่องปั้นดินเผาของไทยจากหลากหลายแหล่ง มาจัดแสดงร่วมกัน ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๑๔ กันยายน ถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เพื่อให้ชาวไทยได้รับความรู้ ความเข้าใจด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะของญี่ปุ่นโดยเฉพาะช่วงสมัยเอโดะ และสมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างญี่ปุ่นและไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น            อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวถึงรายละเอียดของการจัดนิทรรศการพิเศษในครั้งนี้ว่า กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประสานความร่วมมือกับจังหวัดซากะ ประเทศญี่ปุ่น ในการแลกเปลี่ยนกิจกรรมทางวัฒนธรรม และได้มีการเตรียมการจัดทำนิทรรศการร่วมกันกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดซากะ และพิพิธภัณฑสถานเซรามิกแห่งคิวชู มาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๖๑ ปัจจุบันสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดซากะ และพิพิธภัณฑสถานเซรามิกแห่งคิวชู  ได้อนุญาตให้กรมศิลปากรนำโบราณวัตถุเครื่องเคลือบดินเผา (porcelain) สำคัญจากจุดกำเนิดที่เมืองอาริตะ ประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๘๒ รายการ ๙๗ ชิ้น มาจัดแสดงร่วมกับเครื่องปั้นดินเผาไทย จำนวน ๙๐ รายการ  จากแหล่งโบราณคดี-ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย และได้รับความร่วมมือนำโบราณวัตถุมาร่วมจัดแสดงจาก     วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้อำนวยการโรงเรียนถนอมบุตร และนายวราห์ โรจนวิภาต   ซึ่งรังสรรค์พัฒนาสืบมาในประวัติศาสตร์จวบจนปัจจุบัน แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น ๖ หัวเรื่อง คือ             ๑. น้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง: เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕            ๒. วิวัฒนาการเซรามิกแห่งสองสายใย (ญี่ปุ่น-ไทย) ในโลกพาณิชยวัฒนธรรม            ๓. ภูมิปัญญาชาวแหลมทองและชาวอาทิตย์อุทัย ในดิน-น้ำ-ลม-ไฟ: “ปั้นดินทราย ฉาบไล้ด้วยน้ำ นำผึ่งลม โหมฟืนไฟในเตาเผา” บอกเล่าเรื่องราวภูมิปัญญาการผลิตเครื่องปั้นดินเผาของญี่ปุ่นและไทย           ๔. สูงสุดแห่งภูมิปัญญา: ภาพฉายาในพาณิชยวัฒนธรรมโลก สะท้อนเรื่องราวการค้า ศิลปะและวัฒนธรรมผ่านเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่นและไทยที่ไปไกลยังต่างแดน           ๕. แรงบันดาลใจไม่หยุดยั้งคือพลังสร้างสรรค์ใหม่ โดยสืบทอดวัฒนธรรมและพัฒนากระบวนการผลิตสู่ความคิดใหม่           ๖. สำรับคาวหวาน อาหารญี่ปุ่น – ไทย ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมอาหารควบคู่กับภาชนะ ที่มีบทบาทสำคัญมาแต่อดีต           โบราณวัตถุเครื่องปั้นดินเผาอาริตะชิ้นสำคัญจากพิพิธภัณฑสถานเซรามิกแห่งคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ที่นำมาจัดแสดง อาทิ เด็กชายจับปลาดุกด้วยน้ำเต้า ตกแต่งด้วยการเขียนสีบนเคลือบ พุทธศักราช ๒๒๑๓ – ๒๒๕๒ จานลายครามแบบคารากขนาดใหญ่เขียนลายนกฟินิกซ์และตราวีโอซี พุทธศักราช ๒๒๓๓ – ๒๒๖๒ ขวดทรงแปรงตีชาเขียนลายบนเคลือบ เป็นลายดอกโบตั๋น พุทธศักราช ๒๑๙๓ – ๒๒๐๓ สำหรับโบราณวัตถุของไทย   ที่นำมาจัดแสดง อาทิ ชุดชามเบญจรงค์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ กระปุกสังคโลกสองหู พุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๑ จากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย กุณฑีสังคโลก พุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ ได้จากการขุดค้นที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย           นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ผู้เข้าชมนิทรรศการได้ร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้แก่ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๐๐ น. การบรรยายทางวิชาการ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก) วันที่ ๑๔ – ๑๖ กันยายน ๒๕๖๕ กิจกรรมจากจังหวัดซากะ ได้แก่ เวิร์คช็อป (Workshop)           กิจกรรมลงสีเครื่องปั้นดินเผาอาริตะยากิ ทดลองลงสีบนจานอาริตะยากิ  ผู้ร่วมกิจกรรม ๒๐ ท่านต่อวัน ซึ่งจานที่ลงสีแล้วจะนําไปเผาอบให้สีอยู่ตัวก่อนจะมอบให้ผู้ร่วมกิจกรรมต่อไป กิจกรรมทําเครื่องประดับจากเศษกระเบื้องที่เกิดจากกระบวนการเผาเครื่องปั้นดินเผาอาริตะยากิ ผู้ร่วมกิจกรรม ๖๐ ท่านต่อวัน โดยสามารถเข้าร่วมในแต่ละกิจกรรมท่านละ ๑ ครั้งเท่านั้น และยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมโบราณที่สืบทอดกันมาของญี่ปุ่น การจัดแสดงและจําหน่ายของดีจังหวัดซากะอีกด้วย            กิจกรรมเวิร์คช็อป (Workshop) จากสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ได้แก่ การขึ้นรูปชิ้นงานจาน ๓  ครั้งๆ ละ ๔ รอบ ในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๕ วันที่ ๙ และ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ และการเขียนสีใต้เคลือบ ๓ ครั้งๆ ละ ๔ รอบ ในวันที่ ๖ และ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ ผู้ร่วมกิจกรรมรอบละ ๓๐ ท่าน           นิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ ๑๔ กันยายน ถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันพุธ – อาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ – อังคาร ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร finearts.go.th  


#มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๘ มิถุนายน ๒๔๐๖ วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาญจนากร.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาญจนากร บ้างออกพระนามว่า กัญจนากร พระนามเดิม พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้ากาญจนากร เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๖๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสังวาลย์ พระสนมโท ธิดานายศัลยวิชัย หุ้มแพร (ทองคำ ณ ราชสีมา) ประสูติเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๐๖.พระองค์มีพระเชษฐา และพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกัน คือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเจริญรุ่งราษี.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาญจนากรทรงเชี่ยวชาญเรื่องยา สมุนไพร ผู้ใดเจ็บป่วยก็จะมารักษาที่ตำหนักของพระองค์ จนชาววังออกพระนามว่า "เสด็จหมอ".พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาญจนากร สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๗๕ สิริพระชันษา ๗๐ ปี.ภาพ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาญจนากร



แนะนำหนังสือน่าอ่าน เรื่อง ประวัติตระกูลแซ่บ๊อก จังหวัดจันทบุรี พ.ศ.2521ประวัติตระกูลแซ่บ๊อก จังหวัดจันทบุรี พ.ศ.2521. กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์, 2521. 48 หน้าหนังสือประวัติตระกูลแซ่บ๊อกจังหวัดจันทบุรี พ.ศ.2521 เล่มนี้ได้จัดทำขึ้น โดยความปรารภของท่านผู้ที่เนื่องจากตระกูลที่มีอายุสูงผู้หนึ่ง โดยมีความประสงค์อันงานสำหรับบุรุษชั้นหลัง ผู้ที่จะสืบสายโลหิตต่อไป จะได้รู้จักว่าผู้นั้นเป็นปู่เป็นทวด ผู้นี้เป็นน้องเป็นหลาน โดยเกี่ยวเนื่องจากสายโลหิตของผู้นั้นผู้นี้ เมื่อมีหลักอันแน่นอนสำหรับบุรุษขั้นหลังๆ เช่นนี้แล้ว ความสงสัยในบรรพบุรุษที่ผู้ที่ตนเรียกว่าป้าว่าน้าว่าพี่ว่าน้องนั้น เกี่ยวเป็นญาติกับเราทางไหน เพราะเหตุนี้ความปรารถนาที่ได้สร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้น ก็ประดุจให้มีดัชนีคอยชี้หนทางอันมืดให้แก่เรา ผู้ที่หวังจะรักปู่ย่าตาทวดและรักญาติรักตระกูลของเรา ให้แจ่มกระจ่างยิ่งขึ้น เนื้อหาด้านใน ได้รวบรวมรายนามของบุคคลซึ่งนับเป็นเครือญาติกัน ไม่ทางฝ่ายบิดาก็ทางฝ่ายมารดา โดยนับเป็นชั้นๆ ไป ผู้ที่เป็นชายจะมีคำว่า “นาย” หรือยศบรรดาศักดิ์ กำกับชื่อ ถ้าไม่มีให้เข้าใจว่าผู้นั้นเป็นผู้หญิงท929.799593ป372(ห้องจันทบุรี)


ชื่อเรื่อง                               สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี-มหาปัฏฐาน) สพ.บ.                                  อย.บ.3/3ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           36 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก             บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ภาชนะที่เรียกว่า กุณฑีกุณฑี[๑] (Kendi) เป็นชื่อเรียกเครื่องปั้นดินเผาชนิดหนึ่ง ใช้ใส่น้ำ มีรูปทรงหลายแบบแต่ลักษณะทั่วไปที่พบเห็น คือ ไม่มีหูจับ มีพวย และมีทางไหลเข้า – ออกของน้ำ ๒ ทาง สามารถพบได้ในอินเดีย ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีนปัจจุบัน เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าต้นกำเนิดของกุณฑีอยู่ที่ใด แต่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าอินเดียได้รับต้นแบบมาจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ก่อนจะส่งต่อไปยังเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระพุทธศาสนาในราวพุทธศตวรรษที่ ๘ ผ่านทางพ่อค้าหรือกลุ่มนักบวช เนื่องจากนักเดินทางโดยเฉพาะนักบวชชาวอินเดียนิยมใช้กุณฑีเป็นหม้อน้ำติดตัว และตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา กุณฑีก็แพร่หลายไปทั่วดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงดินแดนซึ่งเป็นประเทศไทยปัจจุบัน และมีการใช้งานสืบต่อมาถึงสมัยสุโขทัยและสมัยกรุงศรีอยุธยาตามลำดับการใช้งานกุณฑีมีหลากหลาย นอกจากจะใช้บรรจุน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคแล้ว กุณฑียังเป็นภาชนะบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่าง ๆ อาทิ พิธีหลั่งน้ำโสมบูชาเทพเจ้า การสรงน้ำเจดีย์ และการหลั่งน้ำสักการะพระพุทธเจ้า โดยกุณฑีที่ใช้ในพิธีกรรมเหล่านี้มักจะเรียกกันว่า กมัณฑลุ หรือหม้อน้ำอมฤตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา นิกายมหายานหลายองค์ ไม่เพียงเท่านั้น กุณฑียังใช้เป็นโกศบรรจุอัฐิหรือเครื่องเซ่นในพิธีกรรมฝังศพอีกด้วยจะเห็นได้ว่ากุณฑีมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมและความเชื่อที่มาจากอินเดียอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังอาจเป็นสิ่งบ่งชี้หนึ่งถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย หรือในแง่หนึ่งคือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่ได้แผ่ขยายไปยังดินแดนหรือเมืองนั้น ๆ แล้วก็ได้--------------------------------[๑] เชื่อกันว่า “กุณฑี” มาจากคำในภาษาสันสกฤตคือ “กุณฺฑฺ” ที่หมายถึง หม้อน้ำ หรือกะโหลกน้ำของนักธรรมซึ่งทำด้วยกะโหลกมะพร้าว โดยเป็นคำที่ใช้เรียกภาชนะมีพวยในประเทศมาเลเซียและในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย ขณะที่คำว่า “Kendi” มีรากศัพท์มาจาก “กุณฺฑฺ” เช่นเดียวกัน แต่เป็นคำที่มาจากประเทศอินโดนีเซียซึ่งใช้เรียกภาชนะบรรจุน้ำอื่น ๆ นอกเหนือจากกุณฑีด้วย


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก)ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา(วนปเวส) ชบ.บ 110/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 157/4เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


อริยสจฺจเทสน (อริยสฺจ) ชบ.บ 183/4เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ส่งเสริมการอ่านผ่าน Facebook กับหอสมุดแห่งชาติชลบุรี เรื่อง ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกในพื้นที่เล็กๆ ปลูกบนดาดฟ้า ทวีชัย วิยะชัย. ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกในพื้นที่เล็กๆ ปลูกบนดาดฟ้า. กรุงเทพฯ: เซเว่นดี บุ๊ค, 2563. ห้องหนังสือทั่วไป 1 เลขเรียกหนังสือ 635 ท229ป ผักและผลไม้ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกาย เพราะมีสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรง แต่ผักและผลไม้ที่วางขายตามท้องตลาดมักจะปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ฉะนั้นการเลือกซื้อจึงต้องอาศัยวิจารณญาณ หรืออีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการรับสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย คือ การมีแปลงผักสวนครัวเล็กๆ ไว้ในครัวเรือน ปลูกผักบนโต๊ะ ปลูกในพื้นที่เล็กๆ ปลูกบนดาดฟ้า เล่มนี้ ผู้เขียนพาเราไปพบกับ การปลูกผักทานเอง ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและต้องใช้เวลา ทั้งการรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ยิ่งเป็นชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การปลูกผักทานเองจึงดูเป็นเรื่องไกลตัว หัวใจสำคัญของการปลูกผัก นั่นคือ แสงแดด น้ำ และอากาศ ขนาดของพื้นที่ในการปลูกจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลใจอีกต่อไป เพียงมีพื้นที่กว้างยาวสักหนึ่งไม้บรรทัด อาจจะเป็นระเบียงคอนโด มุมหนึ่งของดาดฟ้า คุณก็สามารถปลูกผักได้แล้ว เริ่มต้นที่การเลือกใช้ภาชนะสำหรับปลูก โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับต้นไม้และสภาพพื้นที่ เช่น ถุงเพาะชำ สำหรับปักชำหรือเพาะเมล็ด มีอายุการใช้งาน 1-2 ปี เหมาะสำหรับการปลูกพืชอายุสั้น กระถาง ซึ่งแบ่งออกได้หลายแบบให้ได้เลือกใช้ เช่น กระถางพลาสติก กระถางดินเผา กระถางปูน และกระถางไม้ จนมาถึงภาชนะสำหรับปลูกที่หาได้ง่ายและเชื่อว่าทุกบ้านจะต้องมี นั่นคือ ขวดน้ำ นำมาตัดตามแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ ใส่ดินและจากนั้นนำผักลงปลูก เช่น หัวหอม ผักชี หากอยากให้พืชออกดอกออกผลงดงามก็ต้องบำรุงด้วยปุ๋ยหมักชีวภาพที่เป็นประโยชน์ต่อพืชและเป็นมิตรต่อมนุษย์ ทั้งนี้ผู้เขียนยังได้แนะนำพืชที่เหมาะสำหรับการปลูกในขนาดพื้นที่ที่จำกัด อาทิ ถั่วงอก ผักสลัด (กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค บัตเตอร์เฮด สลัดคอส และผักกาดหอม) ผักบุ้ง พริก มะนาว และอื่นๆ ทุกวันนี้ผักและผลไม้ส่วนใหญ่มักปนเปื้อนด้วยสารเคมีอันตราย หากร่างกายได้รับในปริมาณมากก็อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ การปลูกผักทานเองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพ ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติชลบุรี (วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 09.00 - 17.00 น.)


ชื่อผู้แต่ง          หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ชื่อเรื่อง           บรรณานุกรมหนังสือสำหรับเด็ก ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์      กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์        หอสมุดแห่งชาติ ปีที่พิมพ์           ๒๕๒๒ จำนวนหน้า      ๑๕๙ หน้า รายละเอียด                         เป็นหนังสือที่รวบรวม รายชื่อหนังสือที่เหมาะสำหรับเด็ก มาจัดทำสาระสังเขป เพื่อใช้เป็นแนวทางแนะนำเด็กวัยต่าง ๆ ได้เลือกอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ ตามความสนใจและความชอบของแต่ละคน มีทั้งนิทาน นวนิยาย นิยายผจญภัย ชีวประวัติบุคคล ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งสิ้น ๒๘๑ รายการ




black ribbon.