ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
ย้อนรอยแผ่นดินพระจอมเกล้าฯ : เรื่องเล่าจากพงศาวดาร
ตอนที่ ๓ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระผนวชสามเณร
นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจ จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ (ขำ บุนนาค) หลักฐานชิ้นสำคัญที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ เป็นพระราชโอรสชั้นเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระเมตตายิ่งด้วย ด้วยเหตุที่ทรงดำรงพระยศชั้น เจ้าฟ้า พระราชบิดาจึงโปรดให้จัดพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์อย่างเต็มตำรา ตามแบบแผนราชประเพณี เพื่อเป็นการรักษาแบบแผนธรรมเนียมของราชสำนักไว้ และเป็นพระเกียรติยศแก่บ้านเมือง
ในพุทธศักราช ๒๔๐๙ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ ทรงผนวชเป็นสามเณร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ตั้งการพระราชพิธี ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฯ ดังนี้
ลุศักราช ๑๒๒๘ ปีขาล อัฐศก เป็นปีที่ ๑๖ วันพุธ เดือน ๘ ขึ้น ๖ ค่ำ เวลาบ่าย ตั้งการสมโภชเวียนเทียนสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระผนวชสามเณร
รุ่งขึ้นณวันพฤหัสบดี เดือน ๘ ขึ้น ๗ ค่ำ เวลาเช้า ตั้งกระบวนแห่ มีกระบวนช้าง กระบวนม้า ออกประตูเทวาพิทักษ์ ไปเลี้ยวถนนเจริญกรุงมาทางถนนเฟื่องนคร ขึ้นมาถนนบำรุงเมือง แล้วเข้าประตูสวัสดิโสภา ทรงพระผนวชเป็นสามเณรในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เสร็จแล้วก็ประทับอยู่ในพระอุโบสถ เวลาบ่ายพระสงฆ์ราชาคณะได้สวดพระพุทธมนต์ รุ่งขึ้นเวลาเช้าพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วก็ตั้งกระบวนแห่แต่ล้วนทหารปืนทั้ง ๔ ไปประทับอยู่วัดบวรนิเวศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปส่งที่วัดบวรนิเวศ ทรงพระราชรถคันเดียวกันทั้ง ๒ พระองค์
ครั้นส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอแล้ว เสด็จกลับมาพระบรมมหาราชวัง รับสั่งให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาสทำกระจาดใหญ่ เหมือนอย่างในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทำกระจาดใหญ่ถวายกัณฑ์เทศน์แด่เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวชสามเณรนั้น มีอย่างธรรมเนียมมาดังนี้
ภาพ : สามเณรเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
องค์ความรู้ : กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เรื่อง คนจีนตัวอย่างในพระราชทรรศนะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยนายปารเมศ อภัยฤทธิรงค์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ
ชื่อผลงาน: ภาพร่างต้นแบบจิตรกรรมฝาผนัง เวสสันดรชาดก วัดราชาธิวาส
ศิลปิน: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (พ.ศ. 2406 - 2490) และคาร์โล ริโกลี ศิลปินอิตาลี (พ.ศ. 2426 - 2505)
เทคนิค: จิตรกรรมสีฝุ่นบนแผ่นไม้
ขนาด: กว้าง 100 ซม. สูง 70.5 ซม.
อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 6
รายละเอียดเพิ่มเติม: หนึ่งในงานศิลปกรรมสำคัญชิ้นประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ได้รับการยกยกว่า “สมเด็จครู” และ “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” กับ คาร์โล ริโกลี จิตรกรมีชื่อชาวอิตาลี ซึ่งทางราชสำนักว่าจ้างให้เข้ามาเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในเทคนิคปูนเปียกแบบตะวันตก ประดับภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร
Title: mural sketch for a fresco in Uposot (ordination hall) of Wat Rachatiwat, depicted a scene from Vessantara Jataka
Artist: HRH Prince Narisara Nuvadtivongs (1863 - 1947) & Carlo Rigoli (1883 - 1962)
Technique: tempera on wooden panel
Size: 100 × 70.5 cm.
Period: Rattanakosin era, first quarter of 20th Century, some years in the reign of King Vijiravudh (Rama VI)
Detail: One of our important pieces of art which is an evidence of a significant collaboration between HRH Prince Narisara Nuvadtivongs whom the public praised as “Nai-Chang Yai” (the great artisan) of Rattanakosin era, and Carlo Rigoli (Italian painter) whom Siamese court commissioned to paint fresco as a decoration in Uposot (ordination hall) of Wat Rachatiwat, Bangkok.
ชื่อเรื่อง ปญฺญาปารมี (ปัญญาบารมี)
สพ.บ. 272/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง ธรรมเทศนา ธรรมะกับชีวิตประจำวัน
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เนื่องในวันมาฆบูชาที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามปฏิทินสุริยคติ อันเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ให้กับพระอรหันตสาวก ที่มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายจำนวน ๑,๒๕๐ รูป ภายหลังจากที่ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังดินแดนต่าง ๆ จึงขอนำเรื่องราวของคติความนิยมในการสร้างประติมากรรมพระสาวกมาเผยแพร่ให้ทราบกัน พระอรหันตสาวกเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา และมักได้รับ การกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งในเหตุการณ์พุทธประวัติ โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชาซึ่งอาจเป็นคติความเชื่อ ที่ส่งผลให้เกิดความนิยมในการสร้างประติมากรรมพระสาวกขึ้นซึ่งเราจะพบได้ในทุกศิลปะของไทย ในสมัยสุโขทัย ก็พบว่ามีความนิยมสร้างประติมากรรมพระสาวกเช่นกัน โดยมีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปสุโขทัยแต่มีความแตกต่างในรายละเอียดเล็กน้อย คือขมวดผมเป็นก้นหอย แต่ไม่มีพระรัศมีและเกตุมาลา หน้ารูปไข่ คิ้วโก่ง จมูกงุ้ม ห่มจีวรเฉียง ชายสังฆาฏิยาวถึงหน้าท้องปลายทำเป็นริ้วคล้ายเขี้ยวตะขาบ มักแสดงอิริยาบถหลากหลาย เช่น นั่งพับเพียบประนมมือที่หน้าอก อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ยืน หรือเดิน //พระอรหันตสาวกทั้งหลาย อาทิ พระมาลัย พระสีวลี พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอานนท์ พระสารีบุตร หรือพระโมคคัลลานะ เป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมากที่ทำให้พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่มาจนทุกวันนี้ อีกทั้งเป็นผู้ที่มีความเป็นเลิศในด้านต่าง ๆ จึงเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เป็นเหตุให้เกิด การสร้างประติมากรรมพระสาวกขึ้นซึ่งยังคงสืบทอดคติความเชื่อนี้มาจนถึงปัจุบัน ---------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก
นามอำเภอในเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เปลี่ยนนามอำเภอตามนามตำบลที่ตั้งที่ว่าการ เปลี่ยนคำว่าเมือง เป็น จังหวัด ผู้ว่าราชการเมือง เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนคำว่า เมือง ใช้เรียกตำบลที่ประชาชนเคยเรียกมานานแล้วว่า เมือง และจำกัดเพียงตำบลที่เคยเรียกว่า เมือง มาแล้วแต่เดิม ที่อยู่ภายในกำแพงเมือง หรือติดต่อกับกำแพงเมืองเท่านั้น และใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศชื่ออำเภอ ทั้งที่คงชื่อเดิมและเปลี่ยนชื่อใหม่ ซึ่งในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีดังนี้ อำเภอเมือง เปลี่ยนเป็น อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอป่ายาง เปลี่ยนเป็น อำเภอสารภี อำเภอแม่ออน เปลี่ยนเป็น อำเภอสันกำแพง อำเภอแม่ท่าช้าง เปลี่ยนเป็น อำเภอหางดง อำเภอแม่วาง เปลี่ยนเป็น อำเภอบ้านแม อำเภอเมืองแจ่ม เปลี่ยนเป็น อำเภอช่างเคิ่ง อำเภอเมืองฮอด เปลี่ยนเป็น อำเภอฮอด อำเภอแม่แตง เปลี่ยนเป็น อำเภอสันมหาพน อำเภอเมืองพร้าว เปลี่ยนเป็น อำเภอพร้าวอำเภอสะเมิง เรียกชื่อเดิม อำเภอสะเมิงอำเภอสันทราย เรียกชื่อเดิม อำเภอสันทรายอำเภอดอยสะเก็ด เรียกชื่อเดิม อำเภอดอยสะเก็ดอำเภอแม่ริม เรียกชื่อเดิม อำเภอแม่ริมอำเภอจอมทอง เรียกชื่อเดิม อำเภอจอมทองอำเภอเชียงดาว เรียกชื่อเดิม อำเภอเชียงดาวต่อมา มณฑลพายัพได้มีใบบอกมณฑลพายัพ ที่ ๑๓๐๐ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ถึงกระทรวงมหาดไทยว่า สมุหเทศาภิบาลได้สอบสวนพิจารณานามอำเภอในมณฑลพายัพนั้น ไม่ตรงกับที่ตั้งที่ว่าการ และประชาชนไม่นิยมเรียกนามอำเภอ ณ ขณะนั้น กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้ว เห็นว่า การขอเปลี่ยนนามอำเภอบางอำเภอในครั้งก่อนยังไม่ตรงกับความหมายในประกาศกระแสพระบรมราชโองการ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนนามอำเภอบางแห่งใหม่ เพื่อให้ประชาชนรู้จักดีขึ้น ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ (พระยศ ณ ขณะนั้น) ได้ให้ความเห็นว่า คำว่า เมือง และ แม่ ไม่ควรใช้ในชื่ออำเภอ และได้เสนอให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำทำเนียบนามอำเภอทั่วประเทศ เพื่อความสะดวกในการปรับเปลี่ยนนามอำเภอในครั้งต่อไปหลังจากนั้น ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่ออำเภอ ตั้งกิ่งอำเภอ แบ่งเขตท้องที่อีกหลายครั้ง เช่น พ.ศ. ๒๔๘๑ อำเภอเมืองฝาง เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอฝาง พ.ศ. ๒๔๘๒ กิ่งอำเภอช่างเคิ่ง เปลี่ยนเป็น กิ่งอำเภอแม่แจ่ม อำเภอสันมหาพน เปลี่ยนเป็น อำเภอแม่แตง อำเภอบ้านแม เปลี่ยนเป็น อำเภอสันป่าตองพ.ศ. ๒๕๐๑ ตั้งกิ่งอำเภออมก๋อย เป็นอำเภออมก๋อย ตั้งกิ่งอำเภอสะเมิง เป็นอำเภอสะเมิง พ.ศ. ๒๕๑๕ แบ่งเขตท้องที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งเป็นกิ่งอำเภอดอยเต่าพ.ศ. ๒๕๒๒ ตั้งกิ่งอำเภอดอยเต่า เป็นอำเภอดอยเต่าพ.ศ. ๒๕๓๑ แบ่งเขตท้องที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งเป็นกิ่งอำเภอไชยปราการพ.ศ. ๒๕๓๖ ตั้งกิ่งอำเภอเวียงแหง เป็นอำเภอเวียงแหงพ.ศ. ๒๕๓๗ แบ่งเขตท้องที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งเป็นกิ่งอำเภอแม่ออนพ.ศ. ๒๕๕๒ ตั้งอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ปัจจุบัน จังหวัดเชียงใหม่ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๒๕ อำเภอ (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม ๒๕๖๓) ประกอบด้วย อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม อำเภอสารภี อำเภอสันทราย อำเภอสันกำแพง อำเภอหางดง อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันป่าตอง อำเภอแม่ออน อำเภอแม่วาง อำเภอแม่แตง อำเภอดอยหล่อ อำเภอสะเมิง อำเภอจอมทอง อำเภอเชียงดาว อำเภอฮอด อำเภอพร้าว อำเภอดอยเต่า อำเภอไชยปราการ อำเภอเวียงแหง อำเภอฝาง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่อาย อำเภออมก๋อย และอำเภอกัลยาณิวัฒนาผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการอ้างอิง :๑. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารส่วนพระองค์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สบ.๒.๔๒/๘๑ เรื่องกระทรวงมหาดไทยขอเปลี่ยนนามอำเภอในมณฑลพายัพ (๒๘ มิถุนายน – ๔ กรกฎาคม ๒๔๗๐)๒. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๔๕๙. เล่มที่ ๓๓, หน้า ๕๑-๕๓.๓. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๔๖๐. เล่มที่ ๓๔, หน้า ๔๐- ๖๘.๔. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๔๘๑. เล่มที่ ๕๕, หน้า ๖๕๘-๖๖๖.๕. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๔๘๒. เล่มที่ ๕๖, หน้า ๓๕๔-๓๖๓.๖. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๐๑. เล่มที่ ๗๕ ตอนที่ ๕๕, หน้า ๓๒๑-๓๒๗๗. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๑๕. เล่มที่ ๘๙ ตอนที่ ๑๕๕, หน้า ๒๕๙๘.๘. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๒๒. เล่มที่ ๙๖ ตอนที่ ๔๒ ฉบับพิเศษ, หน้า ๑๙-๒๓.๙. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๓๑. เล่มที่ ๑๐๕ ตอนที่ ๕, หน้า ๑๐๗.๑๐. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๓๖. เล่มที่ ๑๑๐ ตอนที่ ๑๗๙ ฉบับพิเศษ, หน้า ๑-๓.๑๑. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๓๗. เล่มที่ ๑๑๑ ตอนที่ ๔๒ง, หน้า ๑๔.๑๒. ราชกิจจานุเบกษา. ๒๕๕๒. เล่มที่ ๑๒๖ ตอนที่ ๙๗ก, หน้า ๗-๙.๑๓. สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่. ๒๕๖๓. บรรยายสรุปจังหวัดเชียงใหม่ (Online). http://www.chiangmai.go.th/.../D8/8D12Nov2020103220.pdf, สืบค้นเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔.
ชื่อเรื่อง ปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้นของพระครูสังวรสมาธิวัตร (ประเดิม โกมโล) สำนักปฏิบัติธรรม วัดเพลงวิปัสสนา บางกอกน้อยผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ พุทธศาสนาเลขหมู่ 294.3122 ส537ปสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจปีที่พิมพ์ 2512ลักษณะวัสดุ 52 หน้าหัวเรื่อง พุทธศาสนา กรรมฐานภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเป็นหนังสือที่รวบรวมและเรียบเรียงแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้น ย่อๆ ทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเป็นคู่มือเหมาะแก่นักปฏิบัติที่มีโอกาสอบรมวิปัสสนาภูมิน้อย
เลขทะเบียน : นพ.บ.302/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 123 (275-286) ผูก 4 (2565)หัวเรื่อง : ปัญฺญสชาดก(จันทฆาต)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ศิลปะพม่า พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕
เป็นสมบัติพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มาแต่เดิม
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร แสดงปางมารวิชัย พระรัศมีรูปดอกบัวตูม ขนาดใหญ่ ไม่ปรากฏขมวดพระเกศา พระพักตร์แป้นใหญ่ ครองจีวรห่มเฉียง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ ยาวลงมาจรดพระนาภี นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเท่ากัน ด้านหน้าพระเพลาปรากฏชายผ้าจีวรและสบงซ้อนกันออกมาสองข้าง ส่วนฐานเรียบไม่มีลวดลาย
พระพุทธรูปองค์นี้ทำมาจากยางไม้ที่เรียกว่า อำพัน หรือ กาเยน ที่มีสีแดงเรียกว่า “อำพันประพาฬ” จัดอยู่ในประเภทอินทรียวัตถุที่เป็นรัตนชาติ เป็นทรัพยากรที่พบมากในพื้นที่ประเทศพม่า ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความเห็นเอาไว้ในลายพระหัตถ์ตอบ พระยาอนุมานราชธน ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ความว่า
“กาเยน เขาว่าเปนยางไม้ชนิดหนึ่ง จะเกิดจะมีที่ไหน ไม่ทราบ เห็นทำเปนพระพุทธรูปและลูกประคำมาแต่เมืองพะม่าเนืองๆ สีเหลืองแก่ น้ำคล้ายแก้ว ถ้าจะเปรียบให้ใกล้ก็คล้ายซ่นกล้องเมชอม*ชนิดที่ใส ซึ่งเราเรียกว่า อำพัน หรือลางทีจะเปนสิ่งเดียวกันด้วยซ้ำไป”
ชื่อเสียงของอำพันเมืองพม่านั้นยังถูกกล่าวถึงใน “พระราชพงศาวดารพม่า” พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ (พ.ศ. ๒๔๕๖) ทรงนิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับอำพันในเมืองพม่าว่า เป็นแร่ที่อยู่ในพื้นดินบริเวณที่ซากไม้ทับถมกัน วิธีค้นหาแร่คือการขุดดินลึกลงไปประมาณ ๗ วา อำพันของพม่านั้นมีคุณสมบัติดีอยู่ ๓ ประการคือ มีความแข็ง ตัดหรือขัดง่ายและทนทานไม่ละลายง่าย ในพม่านิยมนำอำพันมาทำเป็นสร้อยลูกประคำ ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่นิยมในสยามเช่นกัน ดังพระนิพนธ์ความตอนหนึ่งว่า “...ในกรุงสยามก็ใช้อำพันประพาฬพม่าเป็นลูกคั่นปะหล่ำสำหรับผูกรอบข้อมือเด็กครั้งโบราณแต่ใช้สีแดง...” นอกจากนี้อำพันยังนำมาใช้สร้างพระพุทธรูปขนาดเล็กในศิลปะพม่าอีกด้วย
*น่าจะหมายถึง กล้องเมียร์ชอม เป็นกล้องยาสูบประเภทหนึ่ง หัวกล้องมีลวดลายอย่างตะวันตก
อ้างอิง
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยา. บันทึกความรู้เรื่องต่าง ๆ เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป, ๒๕๕๒.
นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. พระราชพงศาวดารพม่า เล่ม ๖. กรุงเทพฯ: องค์การค้า คุรุสภา, ๒๕๐๔.
____________. พระราชพงศาวดารพม่า เล่ม ๗. กรุงเทพฯ: องค์การค้า คุรุสภา, ๒๕๐๔.
___________________________________
หมายเหตุ
พจานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำว่ากาเยน ประพาฬ และอำพัน ไว้ว่า
กาเยน หมายถึง ยางไม้ชนิดหนึ่ง สีเหลืองแก่ใสคล้ายแก้ว
ประพาฬ หมายถึง รัตนะ (แก้ว) ชนิดหนึ่ง สีแดงอ่อน เกิดจากหินปะการังใต้ทะเล
อำพัน หมายถึง ยางไม้ที่แข็งเป็นก้อน สีเหลืองใสเป็นเงา
ก่อนที่หน่วยงานของรัฐจะทำลายเอกสารราชการนั้น จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 ที่ได้ระบุวิธีและขั้นตอนไว้ โดยมีใจความสำคัญคือ ก่อนที่หน่วยงานจะทำลายเอกสารที่สิ้นกระแสการใช้งาน (เอกสารที่ครบกำหนดอายุการจัดเก็บ และไม่มีการเรียกใช้งาน) แล้วนั้น จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน และส่งบัญชีขอทำลายเอกสารให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติพิจารณาก่อน ด้วยเพราะว่า หอจดหมายเหตุแห่งชาติจะได้พิจารณาขอสงวนเอกสารสำคัญ เอกสารการดำเนินงานที่สะท้อนภารกิจ หน้าที่ ของหน่วยงานเจ้าของเรื่อง อาทิ รายการ โครงการ แผนงาน ฯลฯ เพื่อขอสงวนไว้ โดยที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องจะต้องดำเนินการคัดแยกเอกสารดังกล่าวส่งมอบให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติเอกสารรับมอบเมื่อผ่านการดำเนินงานตามกระบวนการงานจดหมายเหตุ จัดเป็นเอกสารจดหมายเหตุให้ประชาชนได้ใช้บริการ เป็นประโยชน์ เพื่อการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และใช้อ้างอิง ต่อไปสามารถอ่านเพิ่มเติมในเรื่องการทำลายเอกสารได้ที่https://web.facebook.com/PhayaoNationalArchives/posts/3108153232797992?_rdc=1&_rdr