ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

#วิสาขบูชาบรมราชาภิเษกรัชกาลที่๔      พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระบรมเชษฐาธิราช ตั้งแต่วันที่ ๒ เมษายน ๒๓๙๔ ครั้นในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกันโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามโบราณราชประเพณี ปรากฏความในพระราชพงศาวดาร     กรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ (ขำ บุนนาค) ดังนี้ . “...เมื่อ ณ วันศุกร เดือน ๖ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีกุนตรีศก โหรมีชื่อคำนวณพระฤกษ์มหามงคลอันอุดม ตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน บายศรีตอง ขุนสารประเสริฐได้จารึกพระนามลงในแผ่นพระสุพรรณบัฏทองเก้าน้ำ พระสุพรรณบัฏกว้าง ๗ นิ้ว ยาว ๑๔ นิ้ว เมื่อพระมหาราชครูจุณเจิมแล้วพันด้วยไหมเบญจพรรณใส่ในพระกล่องทองคำจำหลักลายกุดั่น แล้วประดิษฐานไว้ในหีบถมทองคำ สวมถุงเข้มขาบประทับตราประจำครั่ง เชิญขึ้นประดิษฐานไว้ในพานทองคำ ๒ ชั้นสำรับใหญ่ ปิดคลุมหักทองขวาง ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย พร้อมกันสมโภชเวียนเทียน พราหมณ์ก็เป่าสังข์ทักขิณาวัฏ สังข์อุตราวัฏ ประโคมดุริยางคดนตรี แตร สังข์ พิณพาทย์ ฆ้องกลอง สมโภชพระสุพรรณบัฏเสร็จแล้ว จึงกำหนดพระฤกษ์ จะได้กระทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเศก ณวันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวันวิสาขบุรณมีอุดมมหามงคลฤกษ์สมควรยิ่งนัก...”. ครั้นถึงวันขึ้นขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษก มีความพรรณนาไว้ในพระราชพงศาวดารฯ ว่า .“...ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเช้าเป็นมหามงคลฤกษ์อันอุดม พระสงฆ์ราชาคณะเข้าไปพร้อมประจำที่อยู่ทุกแห่ง แล้วกรมหมื่นนุชิตชิโนรสก็ดับเทียนไชยเสียก่อนยังไม่ทันเสด็จ ครั้นเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปเห็นเทียนไชยดับจึงดำรัสถาม ข้าราชการทั้งปวงกราบทูลว่า กรมหมื่นนุชิตชิโนรสทรงดับ ดำรัสว่าไม่ถูกยังไม่แล้วการ แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดเทียนนมัสการแล้ว ครั้นเวลานาฬิกา ๑ กับ ๙ บาท ได้วิสาขนักษัตรฤกษ์พระมหาไชยมงคลบรมราชาภิเศกต้องอย่างบุราณราชประเพณีแต่ก่อน เจ้าพนักงานจึงเชิญเสด็จสรงพระกระยาสนาน ชาวภูษามาลาถวายพระภูษาขาวขลิบทอง ราชบัณฑิตเชิญพระไชย พระครูพราหมณ์เชิญพระพิฆเนศวร์ แล้วโปรยเข้าตอกเป่าสังข์ทักขิณาวัฏ นำเสด็จไปสู่พระมหามณฑปกระยาสนาน ขึ้นสถิตเหนืออุทุมพรราชอาสน์บ่ายพระพักตร์สู่ทิศอิสาณ จึงชาวภูษามาลาถวายเครื่องมุรธาภิเศกแล้วไขสหัสธารา      ครั้นเสด็จสรงสหัสธาราน้ำปัญจมหานทีแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ที่มีพระชนมายุ ฝ่ายบรรพชิตคฤหัสถ์เข้าไปถวายน้ำพระปทุมนิมิตร กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์พระบรมวงศผู้ใหญ่ถวายน้ำพระเต้าแก้ว พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าฤกษ์ถวายน้ำพระเต้าเนาวโลหะ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ถวายน้ำพระเต้าทอง พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมขุนรามอิศเรศรถวายน้ำพระเต้าเงิน พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนเดชอดิศรถวายน้ำพระเต้านาก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ถวายน้ำพระเต้าสัมฤทธิ์ แล้วพระบรมวงศ์เสนาบดีผู้ใหญ่ เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหมถวายน้ำพระเต้ามังสีเครื่องทอง พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษาถวายน้ำพระเต้ามังสีเครื่องเงิน สรงน้ำพระเต้าประทุมนิมิตรเสร็จแล้ว จึงหลวงศรีสิทธิไชยหมอเฒ่าถวายน้ำพระสังข์ทักขิณาวัฏ ๑ พระมหาราชครูพิธีถวายน้ำพระเต้าเบญจครรภ ๑ พระครูอัษฎาจารย์ถวายน้ำพระมหาสังข์ทอง ๑ หลวงจักรปาณีถวายน้ำพระมหาสังข์เงิน ๑ หลวงราชมุนีถวายน้ำพระมหาสังข์นาก ๑ หลวงศิวาจารย์ถวายน้ำพระมหาสังข์งาจำเริญช้างเผือก ๑ หลวงเทพาจารย์ถวายน้ำพระครอบ ๑ ทรงรับน้ำด้วยพระหัตถ์แล้วพราหมณ์ก็เป่าพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ ๒ องค์ อุตราวัฏ ๖ องค์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางคดนตรีมะโหระทึกแตรสังข์บัณเฑาะว์ พระสงฆ์สวดไชยมงคล      ครั้นสรงมุรธาภิเศกแล้ว พระสงฆ์เข้าไปในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานทั้ง ๕๐ รูป ชาวพระภูษามาลาถวายพระภูษาทรงผลัดพื้นเหลืองเขียนทอง ทรงฉลองพระองค์คาดริ้วทอง เสด็จกลับมาสถิตเหนืออัฏฐังโสทุมพรราชาอาสน์ มีตั่งอัฐทิศล้อม มีราชบัณฑิตประจำทิศละคน ผันพระพักตร์ไปสู่บูรพทิศเป็นปฐม จึงราชบัณฑิตกล่าวคำอันเป็นมงคลโดยมคธภาษา ถวายมอบแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธศาสนา ทรงรับด้วยพระเต้าเบญจครรภกระทำด้วยโมราประดับเพ็ชรประดับทับทิม มีราคาเป็นอันมาก พราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏน้ำกลศ ทรงรับมาสรงพระพักตร์แล้วเสวยหน่อยหนึ่ง แล้วผันพระองค์ไปตามทิศอาคเนย์โดยทักขิณาวัฏ ทรงรับน้ำพระพุทธปริตรน้ำสังข์ทั้ง ๘ ทิศเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินมาขึ้นบนพระที่นั่งภัทรบิฐ ผันพระพักตร์สู่อิสาณทิศ พระครูพราหมณ์ก็อ่านอิศวรเวทสรรเสริญเขาไกรลาศ แล้วกราบบังคมทูลถวายสิริราชสมบัติ อันพระมหากษัตริย์จะครอบครองสืบต่อไป เจ้าพนักงานกราบบังคมทูลถวายพระมหาบวรเศวตฉัตร เป็นที่เฉลิมสิริราชสมบัติสำหรับพระบรมกษัตริย์สืบมา แล้วพระมหาราชครูถวายพระสุพรรณบัฏ พระมหาพิไชยมงกุฎ พระมหาสังวาล ทรงรับมาสวมสอดทรงในพระองค์ แล้วพระมหาราชครูถวายธารพระกรกับพระแสงขรรค์ ทรงรับธารพระกรพาดเบื้องขวา พระแสงพาดเบื้องซ้าย แล้วทรงรับพระแสงอัษฎาวุธเครื่องราชกกุธภัณฑ์ราชูปโภค ประกอบด้วยวิษณุเวทอิศวรมนต์ ทั้งนี้ทรงรับแล้ว แต่ฉลองพระบาทพระมหาราชครูมาสอดทรงถวายเสร็จแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งแก่พระมหาราชครูผู้ใหญ่ ว่า ผลพฤกษ์ชลธารและสิ่งของในแผ่นดินเขตต์พระนครซึ่งหามีผู้หวงห้ามไม่นั้น ตามแต่สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะปรารถนาเถิด จึ่งพระมหาราชครูผู้ใหญ่รับพระบรมราชโองการเป็นประพฤติเหตุก่อนว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาทใส่เกล้าใส่กระหม่อม ดังนี้ แล้วทรงโปรยดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกแล้ว พราหมณ์เป่าพระมหาสังข์ ประโคมดุริยดนตรีมะโหระทึกกึกก้อง หยุดประโคมแล้วก็เสด็จเข้าไปในพระมหามนเทียร ทรงถวายสำรับคาวหวานแก่พระสงฆ์ราชาคณะ มีกรมหมื่นนุชิตชิโนรสเป็นประธาน รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว ทรงถวายเครื่องสมณบริขารไทยธรรมทั้งปวง พระสงฆ์ราชาคณะรับแล้วก็ถวายอติเรกสัพพพุทธา แล้วถวายพระพรลาไป จึงพระครูพระราชพิธีขึ้นไปบนพระมหามนเทียร ประพรมน้ำกลศสังข์รอบพระมหามนเทียรทั้งข้างในข้างนอก อวยชัยถวายพระพร      พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระแสงขรรค์ประดับเพ็ชร สอดฉลองพระบาท เสด็จออกณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์ราชาคณะ ๓๐ รูปเสร็จแล้ว พระสงฆ์จึงถวายพระพรลาไป เสด็จเข้าในพระวิสูตรทรงผลัดพระภูษาเขียนทองต่างสี ทรงฉลองพระองค์พระกรน้อยชั้นในฉลองพระองค์ครุยชั้นนอก ทรงพระมหาชฎาเดินหนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย ฝ่ายทหารพลเรือนทุกพนักงาน แต่งตัวเต็มยศอย่างเสด็จออกใหญ่ ตั้งเครื่องยศตามตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้น้อยทุกนาย ฝ่ายในจัดทหารอย่างยุโรปขึ้นแถวหนึ่ง ๒๐๐ คน ฝ่ายนอกประตูพิมานไชยศรี จัดทหารไทย ๑๐ หมู่ ๑,๐๐๐ คน แต่งตัวถืออาวุธต่างๆ เป็นเหล่าๆ ยืน ๒ ฟากถนน ผูกช้างต้นม้าต้นยืนในปรำประจำที่เกย คือพระยาไชยานุภาพ ผูกเรือพระที่นั่งศรีสมรรถไชย ๑ ไกรสรมุข ๑ มีบุษบกฝีพายแต่งตัวพร้อม ประทับอยู่หน้าพระตำหนักน้ำตามราชประเพณีแต่ก่อนบรรดาแขกเมืองต่างประเทศ เขมร ลาวลื้อ ลาวเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน อันเป็นเมืองมาอ่อนน้อม ถวายต้นไม้ทองเงินเป็นเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งเข้ามาค้างอยู่ณกรุงเทพมหานคร กับพวกอังกฤษ อเมริกัน วิลันดา โปรตุเกศ แขกเทศมะลายู ซึ่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ณกรุงเทพมหานคร แต่ก่อนมิได้มีธรรมเนียมที่จะเข้าประชุมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในเวลานี้ โดยทรงพระมหากรุณาเมตตาแก่คนต่างประเทศ ก็โปรดฯ ให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วยจะได้เชยชมพระบรมสิริวิลาศเห็นวิเศษ ในการพระบรมราชาภิเศก ชาววังไขพระวิสูตรแล้ว เสด็จพระราชดำเนินออกมาขึ้นบนพระที่นั่งใต้พระมหาบวรเศวตฉัตร ๙ ชั้น เหนือพระบรมราชรัตนาภรณ์พิจิตรสุพรรณบัลลังก์ จึงประโคมแตรสังข์ มโหรี พิณพาทย์ กลองมะโหระทึกกึกก้อง กลองชนะ ฆ้องไชย หลวงราชมนูชูพุ่มดอกไม้ทอง จางวางมหาดเล็กตีกรับเป็นสัญญา ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมพร้อมกัน...”.      เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายสรรพสิ่งซึ่งเป็นเครื่องประดับพระบรมราชอิสริยยศและราชสมบัติทั้งปวง แล้วจึงมีพระบรมราชโองการกับเสนาบดีผู้ใหญ่ พร้อมทั้งทรงปราศรัยด้วยแขกเมืองต่างประเทศ นอกจากนี้ พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ผู้น้อย ข้าราชการฝ่ายในได้ตั้งดอกไม้ธูปเทียนถวายตัว โดยมีท้าววรจันทร์กราบบังคมทูลถวายสิบสองพระกำนัลเฉพาะพระพักตร์ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเพื่อประกอบการเฉลิมพระราชมณเฑียรตามราชประเพณี เมื่อเสร็จจากการเฉลิมพระราชมณเฑียรแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วจึงเสด็จฯ ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ที่นั้น      ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเฉลิมพระราชมณเฑียรในวันที่พฤหัสบดี ๑๕ พฤษภาคม ๒๓๙๔ แล้ว ต่อมาในวันศุกร์ที่ ๑๖ และวันเสาร์  ๑๗ พฤษภาคม ๒๓๙๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งการพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และต่อมาในวันอังคารที่ ๒๐ และวันพุธที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๓๙๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยในวันแรกเป็นการเลียบพระนครทางสถลมารค และวันต่อมาเป็นการเลียบพระนครทางชลมารคเป็นเสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก .ภาพ : พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี-มหาปัฏฐาน) อย.บ.                                   2/7ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           44 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก             บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา



มหานิปาต (เวสฺสฺตรชาตก) ชาตกปาลิ ขุทฺทกนิกาย (คาถาพัน) ชบ.บ 107/1ค เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 157/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


อริยสจฺจเทสน (อริยสฺจ) ชบ.บ 183/1เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


- ระบบชลประทานเมืองสุโขทัย -.เมืองโบราณสุโขทัยตั้งอยู่บริเวณขอบของพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน เป็นบริเวณที่ปรากฏภูเขาขนาดย่อมก่อนจะลาดลงเป็นที่ราบสม่ำเสมอทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองโบราณแห่งนี้ปรากฏแนวคูน้ำคันดินขนาด ๑,๖๐๐ × ๑,๘๐๐ เมตร ล้อมรอบ โดยมีเทือกเขาประทักษ์ทอดตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต้ เป็นระยะทางกว่า ๒๙ กิโลเมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมือง  จากการสำรวจทางโบราณคดีพบว่า เทือกเขาประทักษ์นี้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีบทบาทสำคัญในการอุปโภคบริโภคของชุมชนเมืองสุโขทัยในสมัยโบราณ.- สรีดภงส์และแหล่งต้นน้ำในอดีต -. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้กล่าวถึง “สรีดภงส์” ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต  แปลว่า  ทำนบ  สรีดภงส์ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองสุโขทัยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๓ กิโลเมตร มีลักษณะเป็นแนวคันดินเชื่อมต่อระหว่างเขากิ่วอ้ายมาและเขาพระบาทใหญ่  ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงคันดินตามระบบชลประทาน รับน้ำจากพื้นที่หลังคารับน้ำบนเทือกเขาประทักษ์  เขาค่าย  เขาเจดีย์งาม ไหลลงมาเป็นลำธารหรือโซกต่างๆ มารวมกันในพื้นที่รับน้ำ ก่อนจะไหลตามคลองเสาหอและเข้าสู่แนวคูน้ำล้อมรอบเมืองสุโขทัย บริเวณมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้.สรีดภงส์ ๒ (ทำนบกั้นน้ำโคกมน) ตั้งอยู่ที่บ้านมนต์คีรี ห่างจากกำแพงเมืองสุโขทัยด้านทิศใต้ไปตามแนวคันดินถนนพระร่วง ประมาณ ๗.๖ กิโลเมตร คันดินนี้อยู่ทางทิศตะวันออกของเขานาย่าและเขากุดยายชี ตรงกลางทำนบเจาะเป็นช่องระบายน้ำเมื่อมีปริมาณน้ำมากเกินไป.นอกจากคันดินต่าง ๆ แล้ว แนวเทือกเขาประทักษ์ยังปรากฏร่องรอยโซกน้ำตก ได้แก่  โซกเป็ด  และโซกขี้เหล็ก ฯลฯ ลำธารของน้ำตกมีหินกรวดทับถมเป็นชั้นหนาถึง ๑.๐๐-๑.๕๐ เมตร แสดงถึงการทับถมของหินที่ถูกกระแสน้ำพัดพามาทับถมเป็นเวลานาน  น้ำจากน้ำตกนี้จะไหลไปหาคันดินถนนพระร่วง  แล้วระบายไปทางทิศตะวันออกสู่บริเวณที่ราบแม่น้ำยม.- การทดน้ำมาใช้ใน-นอก เมืองเก่าสุโขทัย -. ภายในเมืองสุโขทัยมีสระน้ำประมาณ ๑๗๕ สระ มีทั้งแบบขุดลงไปในดิน  และกรุผนังด้วยอิฐหรือศิลาแลง มีคลองส่งน้ำจากบริเวณเมืองชั้นในทางทิศเหนือของวัดมหาธาตุ ส่งน้ำจากตระพังตระกวนเข้ามายังตระพังสอ. คูน้ำและคันดินที่เป็นแนวกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองโบราณสุโขทัย นอกจากทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันข้าศึกแล้วยังใช้เป็นคันดินบังคับน้ำมาใช้ภายในเมือง  โดยเป็นน้ำที่ไหลมาจากสรีดภงส์  ผ่านคลองเสาหอเข้าสู่คูเมืองที่มุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีท่อเชื่อมสู่คูเมืองชั้นใน ทั้งนี้มีการขุดพบท่อน้ำดินเผาขนาดต่าง ๆ ใกล้ขอบสระและคูน้ำล้อมรอบวัดอยู่เสมอๆ เช่นที่ วัดพระพายหลวง  วัดมหาธาตุ  วัดเชตุพน เป็นต้น . นอกจากนี้ยังมีทำนบกั้นน้ำอื่นๆ ที่ก่อสร้างไว้เพื่อส่งน้ำและกักเก็บน้ำไว้ใช้ภายในเมือง ทำนบที่สำคัญได้แก่ ถนนพระร่วง ๑ (สุโขทัย-กำแพงเพชร) ยาวประมาณ ๗๓ กิโลเมตร ถึงเมืองกำแพงเพชร และแนวคันดินถนนพระร่วง ๒ (สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย) เริ่มต้นตั้งแต่ประตูศาลหลวงมุ่งขึ้นไปถึงเมืองศรีสัชนาลัย แนวคันดินเหล่านี้นอกจากใช้เป็นถนนแล้ว ยังใช้เป็นแนวบังคับน้ำที่ไหลมาจากทางทิศตะวันตกเพื่อใช้ประโยชน์และผันน้ำไปสู่แม่น้ำยม.- การชลประทานในเขตชุมชนวัดพระพายหลวง -. ชุมชนวัดพระพายหลวงเป็นชุมชนแรกเริ่มก่อนการสร้างเมืองสุโขทัย ตั้งอยู่ใกล้กับคลองแม่ลำพัน มีรูปแบบการสร้างเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม  น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่มผู้นับถือศาสนาฮินดู. ศูนย์กลางการปกครองและศาสนาของชุมชนวัดพระพายหลวง ตั้งอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ในขณะที่พื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่หลักทางเศรษฐกิจของชุมชน มีการสร้างฝายน้ำล้นและอ่างเก็บน้ำขึ้นเพื่อป้องกันน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน และกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตรกรรม  จากการสำรวจได้พบร่องน้ำที่ไหลมาจากช่องโซกม่วงกล้วยและเขาสะพานหินทางทิศเหนือ เข้าสู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชุมชนวัดพระพายหลวง รวมถึงร่องน้ำที่ไหลผ่านช่องเขาสะพานหินกับเขาเจดีย์งามด้วยเช่นกัน  จากระดับความสูงของแหล่งต้นน้ำที่มีความชันค่อนข้างมาก ทำให้น้ำที่ไหลลงมามีความรุนแรงจึงต้องมีการสร้างคันดินเพื่อชะลอความเร็วของน้ำในบริเวณทิศตะวันตกของวัดศรีชุม ในขณะเดียวกันคูแม่โจนที่ล้อมรอบชุมชนก็สามารถป้องกันน้ำที่ไหลล้นมาจากคันดินเข้าท่วมเมืองได้อีกชั้นหนึ่ง ก่อนระบายลงไปสู่คลองแม่ลำพัน พื้นที่บริเวณคลองซอยเหล่านี้ใช้เป็นแหล่งทำมาค้าขายและสัญจรได้ ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ เรียกบริเวณดังกล่าวนี้ว่า ตลาดปสาน ซึ่งสามารถใช้เป็นทางออกสู่ทางน้ำสายใหญ่ คือ คลองแม่ลำพัน  น้ำที่ล้นจากคลองแม่ลำพันจะเข้าสู่อ่างเก็บน้ำ (บาราย) ที่อยู่ทางด้านตะวันออกของวัดพระพายหลวง  เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตร  .- อ่างเก็บน้ำโบราณเมืองสุโขทัย/ทำนบ ๗ อ. -. ทำนบ ๗ อ. เป็น ๑ ใน ๘ ของทำนบหรือคันดินบังคับน้ำที่สำคัญของเมืองสุโขทัย สร้างขึ้นเพื่อจัดการน้ำ โดยการสร้างคันดินสูงเพื่อชะลอน้ำและกักเก็บน้ำ แหล่งน้ำโบราณแห่งนี้ให้ชื่อว่า “ทำนบ ๗ อ.”(หมายถึง เป็นทำนบหรือคันดินนอกเมืองสุโขทัย หมายเลข ๗ ด้านตะวันออก) นักวิชาการบางท่านเรียก “บารายเมืองสุโขทัย” ซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเป็นทำนบเพื่อกักเก็บน้ำคันดินกว้าง ๒๕-๓๐ เมตร สูง ๒-๔ เมตร มี ๓ ด้าน ด้านทิศเหนือยาว ๑,๔๐๐ เมตร ด้านทิศตะวันออกยาว ๗๕๐ เมตร และด้านทิศใต้ยาว ๑,๐๕๐ เมตร ส่วนคันดินด้านทิศตะวันตกไม่มีเนื่องจากระดับพื้นดินสูงกว่าทั้งสามด้าน.  อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้ทำการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีที่พบจากการดำเนินงานระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ – ๒๕๖๑ โดยสันนิษฐานว่า ทำนบแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระยาเลอไท - พระยางั่วนำถมซึ่งเป็นกษัตริย์ครองเมืองสุโขทัย ช่วงระหว่างพุทธศักราช ๑๘๔๒ – ๑๘๙๐ ต่อมารัชสมัย    พญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) ทรงครองราชย์ระหว่างพุทธศักราช ๑๘๙๐ – ๑๙๑๑ เป็นช่วงที่พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท มีความรุ่งเรือง จึงสร้างศาสนสถานหลายแห่งบริเวณทำนบ ๗ อ. ประกอบด้วย วัดโบสถ์ วัดขโพงผี (วัดขพุงผี) วัดปากท่อเหนือ วัดปากท่อใต้ และวัดตระพังช้าง.- การชลประทานในเขตเมืองสุโขทัย -. การสร้างเมืองใหม่ในบริเวณไม่ห่างไกลจากที่ตั้งชุมชนเดิมอาจเกิดจากการขยายตัวของชุมชน  หรือที่ตั้งเมืองเก่าอาจเกิดปัญหาทางธรรมชาติที่อาจเกิดความไม่เหมาะสมในทางใดทางหนึ่ง คนสุโขทัยจึงใช้ประสบการที่พบมาใช้สร้างเมืองสุโขทัยให้สมบูรณ์ มีการจัดการแหล่งน้ำและเส้นทางน้ำต่างๆ อย่างเป็นระบบ. น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติบนเทือกเขาประทักษ์จะไหลผ่านสรีดภงส์มาตามคลองเสาหอ เข้าสู่บริเวณมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองสุโขทัย ถูกชักเข้าไปเลี้ยงคูเมืองโดยรอบและกักเก็บไว้ตามตระพังต่างๆ ก่อนไหลไปสมทบกับคลองแม่ลำพันทางทิศตะวันออกของเมือง  และไหลลงสู่แม่น้ำยมที่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันออก ๑๒ กิโลเมตร  จากการศึกษาระบบชลประทานสมัยสุโขทัย พบหลักฐานระบุถึงการชลประทานแบบเหมืองฝายจากศิลาจารึกหลักที่ ๓ หรือศิลาจารึกนครชุม พ.ศ. ๑๙๐๐ ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ มีคำว่า “เหมืองแปลงฝายรู้ปรา...” และจารึกฐานพระอิศวรเมืองกำแพงเพชร พ.ศ. ๒๐๕๓ ระบุว่า “อนึ่งท่อปู่พระยาร่วงทำเอาน้ำไปเถิงบางพานนั้นก็ถมหายสิ้นและเขาย่อมทำนาทางฟ้า และหาท่อนั้นพบ กระทำท่อเอาน้ำเข้าไปเลี้ยงนาให้เป็นนาเหมืองนาฝาย มิได้เป็นทางฟ้า...” แสดงให้เห็นว่าในสมัยปู่พระยาร่วง ซึ่งอาจเป็นพระราชวงศ์สุโขทัยได้มีการชลประทานแบบเหมืองฝายขึ้นในเขตเมืองกำแพงเพชรเช่นกัน. การชลประทานเพื่อการเกษตรในสมัยสุโขทัยนั้น เมื่อมีการขยายชุมชนเดิมจากวัดพระพายหลวงมายังชุนชนสุโขทัย ระบบการควบคุมน้ำเดิมของชุมชนวัดพระพายหลวงยังใช้การได้อยู่คือ คันดินบังคับน้ำทางตะวันออกและตะวันตกของวัดพระพายหลวง ทำให้ชุมชนสุโขทัยยังทำเกษตรกรรมได้ในพื้นที่บริเวณทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศใต้ของเมือง.- น้ำจากสระต่างๆ (ตระพัง) ในเมืองสุโขทัย -. ตระพัง เป็นภาษาเขมร หมายถึง สระน้ำ  เมืองสุโขทัยมีสระน้ำที่สามารถบรรจุน้ำได้ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ลูกบาศก์เมตร จำนวน ๘๐ สระ โดยน้ำจากคูเมืองจะไหลเข้าสู่สระต่างๆ ตามบริเวณที่มีชุมชนอยู่อาศัย โดยมีตระพังขนาดใหญ่ จำนวน ๔ ตระพัง ได้แก่ ตระพังเงิน ตระพังทอง ตระพังตระกวน ตระพังสอ จากการขุดแต่งโบราณสถานในเมืองสุโขทัยพบท่อระบายน้ำบริเวณวัดมหาธาตุด้านทิศเหนือ เป็นท่อดินเผาเคลือบ ปลายท่อด้านหนึ่งสอบเข้า และพบอีกแห่งหนึ่งที่มุมกำแพงวัดมหาธาตุด้านใต้ พบท่อที่ขนาดเท่ากันตลอด ส่วนหัวและปลายสวมต่อกันได้ ส่วนสระน้ำเล็กๆ จะไม่มีท่อระบายน้ำส่งถึงกัน อาศัยเพียงน้ำฝนตามฤดูกาล จึงไม่มีน้ำขังอยู่ตลอดทั้งปี จำเป็นต้องมีการขุดน้ำบาดาลมาใช้อีกส่วนหนึ่งด้วย.- บ่อน้ำ หรือ ตระพังโพย -. คำว่า ตระพังโพย เป็นภาษาเขมร แปลว่า บ่อมหัศจรรย์ คงหมายถึงบ่อน้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปี. น้ำจากแหล่งน้ำบาดาลเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภคในเมืองสุโขทัยโดยต้องเจาะลงไปที่ความลึกมากกว่า ๕ เมตร จากการสำรวจและปรับปรุงบ่อน้ำ พบบ่อน้ำซึมใต้ดินที่มีลักษณะเป็นบ่อกลมกรุด้วยศิลาแลง หิน และมีอิฐก่อเสริมถึงปากบ่อ กระจายตัวอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของเมืองสุโขทัย ปริมาณของบ่อน้ำน่าจะมีความสัมพันธ์กับปริมาณประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นๆ โดยในบริเวณทางทิศตะวันตกและทิศเหนือของเมือง พบความหนาแน่นของบ่อน้ำมากกว่าในบริเวณอื่น โดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันตกของวัดตระพังเงิน สำหรับในด้านตะวันออกและทิศใต้ซึ่งพบจำนวนบ่อน้ำไม่มากนั้น  สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม .- สรุปการจัดการน้ำเมืองสุโขทัย -. เมืองโบราณสุโขทัยตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขา  มีแนวเขาเป็นฉากบังอยู่ทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ มีการสร้างคูเมืองกำแพงเมือง  มีระบบการจัดผังเมือง  นำความรู้ในการสร้างฝายน้ำล้นมาใช้  และมีการสร้างคันดินขวางทางน้ำที่มาจากเทือกเขาเพื่อชะลอความแรงของน้ำ รวมทั้งบังคับให้น้ำไหลไปในทิศทางที่ต้องการ  มีการสร้างทำนบ หรือ สรีดภงส์ เพื่อเก็บกักน้ำและชักน้ำไปทางทิศตะวันออกผ่านคลองเสาหอเข้าสู่คูเมืองและพื้นที่ใช้ประโยชน์ต่างๆ ก่อนไหลลงสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำยม นอกจากนี้ยังมีการขุดสระน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในการเกษตรกรรมและการขุดบ่อน้ำซึมที่สะอาดจากใต้ดินมาใช้.- เอกสารสำหรับอ่านเพิ่มเติม -๑) บทความเรื่อง บารายเมืองสุโขทัย โดย ธงชัย สาโค ในนิตยสารศิลปากร ปีที่ ๖๒ ฉบับที่ ๖ พ.ย.-ธ.ค.๒๕๖๒ หน้าที่ ๕๗-๗๕ (ดาวน์โหลดหรืออ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finearts.go.th/.../cuPFUeeUEipwNzjJAUkML1hI1e...)๒) หนังสือ ระบบชลประทานสมัยสุโขทัย โดย เอนก สีหามาตย์และคณะ (ดาวน์โหลดหรืออ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://drive.google.com/.../1TYO1yCMtoodAHEXgamH.../view...)๓) รายงานการดำเนินงานทางโบราณคดีโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ำโบราณเมืองสุโขทัย ทำนบ ๗ อ. (บารายเมืองสุโขทัย) โดยอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ - ๒๕๖๑ (ดาวน์โหลดหรืออ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://drive.google.com/.../1yJK3lURcVgbYexhRAN1.../view...)




เลขวัตถุ ชื่อวัตถุ ขนาด (ซม.) ชนิด สมัยหรือฝีมือช่าง ประวัติการได้มา ภาพวัตถุจัดแสดง 34/2553 (8/2549) ขวานหินขัด ด้านหนึ่งเป็นสัน ด้านหนึ่งเป็นคม ย.10.3 ก.4.7 หนา 1 หิน สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,500-2,000 ปีมาแล้ว   ได้จากบ้านเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จ.นครนายก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539


เลขทะเบียน : นพ.บ.423/ข/6ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 151  (96-103) ผูก ข6 (2566)หัวเรื่อง : มูลกัจจายน์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.564/1                                ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 184  (337-339) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : ชนสันทชาดก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ขอเชิญร่วมนำเสนอผลงานวิชาการ ในการสัมมนาวิชาการ SARBICA International Symposium 2023 หัวข้อ “Archives in Digital Era: Changes, Adaptations, Achievements” วันที่ 21 - 22 พฤศจิกายน 2566 ผู้สนใจสามารถส่งผลงานวิชาการได้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2566 ที่ sarbica2023@nat.go.th           ดูรายละเอียดเพิ่มเติมโดยการสแกน QR-Code หรือที่ https://shorturl.asia/ho7C8   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คณะกรรมการฝ่ายวิชาการฯ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ทาง sarbica2023@nat.go.th หรือโทร. 0 2282 8423 ต่อ 228


องค์ความรู้ : สำนักการสังคีต เรื่อง พรหมาสตร์ศรพิฆาตยักษ์ของพระราม ตอนที่ ๓ ประทานพระลักษมณ์ปราบอินทรชิต ศรพรหมาสตร์ลูกศรของพระราม เทพอาวุธวิเศษที่พระอิศวรประทานให้มาใช้ปราบทศกัณฐ์และเหล่าอสุรพงศ์มิตรสหาย สงครามครั้งใดที่พระรามออกทำศึกด้วยตนเอง บรรดายักษ์สำคัญ ๆ ในเรื่องรามเกียรติ์ที่เป็นแม่ทัพออกมารบ ก็จะไม่พ้นความตายด้วยศรพรหมาสตร์ของพระรามที่ถือว่าเป็นลูกศรสังหารแผลงยิงไปพิฆาตฆ่ารวมทั้งทศกัณฐ์ แต่หากศึกครั้งใดพระรามมิได้เป็นแม่ทัพกำกับพลสวาออกไปรบ โดยจะพิจารณาดูจากอสูรแม่ทัพที่มาทำศึกนั้นดำรงยศศักดิ์อย่างไร หากเป็นพญายักษ์ มียศศักดิ์เป็นอุปราช เช่น กุมภกรรณ หรือพระยุพราช เช่น อินทรชิต ซึ่งมิได้เป็นกษัตริย์พระรามก็มักจะไม่ออกรบด้วยตนเอง เพราะเห็นว่าศักดิ์ศรีไม่เท่าเทียบกันแต่จะบัญชาให้พระลักษมณ์ผู้เป็นน้องชาย เป็นแม่ทัพคุมโยธาสวาพลออกไปรบ เพราะมีศักดิ์ศรีหรือตำแหน่งเท่าเทียบกันกับตำแหน่งฝ่ายยักษ์ ได้แสดงฝีมือและความสามารถในการรบ เพื่อเป็นเกียรติยศปรากฏเลื่องชื่อลือชาสืบไป ซึ่งบางครั้งพระรามจะประทานเทพอาวุธที่มีฤทธิ์วิเศษให้ไปสำหรับใช้ป้องกันตัว สังหารและทำลายล้างฝ่ายข้าศึก คือ ศรพรหมาสตร์ โดยเรื่องราวกล่าวไว้อย่างชัดเชนในศึกอินทรชิต ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ตั้งแต่ตอนพระลักษมณ์ทำลายพิธีกุมภนิยาจนถึงอินทรชิตสิ้นชีวิต ว่าพระลักษมณ์ได้ใช้ลูกศรพรหมาสตร์แผลงยิงทำลายล้างกองทัพและสังหารชีวิตอินทรชิต ดังนี้ พระรามประทานลูกศรพรหมาสตร์ให้พระลักษมณ์ไปทำลายพิธีกุมภนิยาของอินทรชิต ในบทพระราชนิพนธ์ฯ จะไม่ได้บอกชื่อลูกศรเพียงบอกไว้แต่ว่าพระรามประทานศร ๓ เล่ม ที่เป็นอาวุธประจำกายของพระองค์ให้พระลักษมณ์นำไปใช้ต่อสู้กับอินทรชิต ความว่า “พ่อจงเขม้นมุ่งหมาย คอยทำลายอาวุธยักษา จงเอาพิเภกโหรา นั้นไปเป็นตาเป็นใจ ตรัสพลางจึ่งจับพระแสงศร สามเล่มฤทธิรอนส่งให้ อันซึ่งศัตรูหมู่ภัย จงแพ้ฤทธิไกรของน้องรัก ฯ (เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๑) แต่ก็พอจะสันนิฐานได้ว่าลูกศรเล่มหนึ่งในสามเล่มนั้น คือ ศรพรหมาสตร์ เพราะพระลักษมณ์ไม่มีลูกศรพรหมาสตร์เป็นอาวุธประจำกาย เพราะเนื้อเรื่องต่อไปได้กล่าวถึงลูกศรพรหมาสตร์ซึ่งพระลักษมณ์ได้ใช้แผลงยิงสู้รบกับอินทรชิต ดังจะกล่าวให้เห็นเป็นครั้ง ๆ ดังนี้ ครั้งที่ ๑ แผลงยิงไปเข่นฆ่าไพร่พลยักษ์และทำลายโรงพิธีอินทรชิต เมื่อพระลักษมณ์ยกกองทัพวานรมาถึงเชิงเขาจักรวาลอันเป็นสถานที่ที่อินทรชิตตั้งโรงพิธี ชุบกายให้กายสิทธิ์ด้วยพิธีกุมภนิยา พระลักษมณ์ก็แผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปฆ่าไพร่พลยักษ์ตายและทำลายโรงพิธีอินทรชิตพังยับไป ดังความว่า “ครั้นถึงขอบเขาจักรวาล ยอดตระหง่านเงื้อมง้ำสูงใหญ่ เห็นโรงพิธีอำไพ อยู่กลางดงไผ่โอฬาร์ มีหมู่อสุรกุมภัณฑ์ สามชั้นล้อมวงรักษา ชั้นในไว้หมู่อสุรา ประจำกองกาลาอาหุดี อินทรชิตนั้นนั่งหลับเนตร อ่านเวทแต่งกายเป็นฤษี อยู่กลางโรงราชพิธี เหนืออาสน์มณีอลงกรณ์ มีความชื่นชมโสมนัส พระหัตถ์จับพรหมาสตร์แสงศร พาดสายหมายมุ่งราญรอน น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ สำเนียงดั่งเสียงลงกาฬ ขุนเขาจักรวาลก็หวั่นไหว ต้องหมู่พหลพลไกร ยับไปทั้งโรงพิธี ฯ” (เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๓) เมื่ออินทรชิตถูกพระลักษมณ์แผลงยิงศรพรหมาสตร์มาทำลายพิธีกุมภนิยา แล้วเกิดการรบสู้กันขึ้น อินทรชิตแผลงยิงศรวิษณุปานัมลูกศรที่พระนารายณ์ประทานให้เป็นเพลิงกรดมาผลาญพลวานรล้มตาย พระลักษมณ์จึงแผลงยิงลูกศรอัคนิวาตเป็นห่าฝนตกลงมาทำลายศรอินทรชิต และชุบชีวิตเหล่ากระบี่ ที่ตายให้ฟื้นขึ้นมา จากนั้นอินทรชิตก็แผลงยิงศรนาคบาศเป็นพญานาคมากมาย พิเภกทูลเตือนพระลักษมณ์ให้ระวังพิษศรนาคบาศ และให้แผลงยิงศรไปทำลายศรของอินทรชิต อินทรชิตครั้นเห็นพระลักษมณ์แผลงยิงศรกลายเป็นพญาครุฑมาจับจิกนาคตาย ก็กริ้วโกรธชักศรพรหมาสตร์ที่พระอิศวรลงมาประทานให้อีกเล่มหนึ่ง (อินทรชิตเป็นยักษ์ตนเดียวที่ได้ประทานศรพรหมาสตร์จากพระอิศวร มีชื่อเหมือนกับศรพรหมาสตร์ของพระราม ต่างกันแต่ถ้าอินทรชิตต้องการใช้ศรต้องทำพิธีปลุกเสกหรือร่ายเวทมนตร์ก่อน ไม่เหมือนกับศรพรหมาสตร์ของพระรามที่ไม่ต้องทำพิธี อย่างเช่นครั้งนี้อินทรชิตจะให้ศรพรหมาสตร์แผลงยิงเข่นฆ่าศัตรู ต้องยกขึ้นมาทูนเหนือศีรษะร่ายเวทมนตร์ปลุกเสกลูกศรให้เรืองฤทธิ์ ขณะที่พิเภกเห็นอินทรชิตร่ายเวทปลุกเสกศรพรหมาสตร์ จึงทูลเตือนพระลักษมณ์ให้ระวังตัวและรีบแผลงยิงศรไปทำลายศรพรหมาสตร์ของอินทรชิดให้พินาศ อินทรชิตก็จะพ่ายแพ้เพราะลูกศรเทพเจ้าทั้ง ๓ เล่ม ที่ประทานให้ ถูกทำลายหมดสิ้นจึงไม่มีอาวุธใดจะใช้ต่อสู้ พระลักษมณ์จึงชักศรพรหมาสตร์ขึ้นมาพาดสายเตรียมพร้อมไว้ที่แผลงยิงได้ทันที ดังความในบทพระราชนิพนธ์ ฯ กล่าวว่า “เมื่อนั้น ลูกท้าวทศพักตร์ยักษา เห็นศรพระลักษมณ์แผลงมา เป็นพญาครุฑาฤทธิรอน ถาโถมโจมจับนาคบาศ ทำอำนาจดั่งพญาไกรสร พ่ายแพ้ตายสิ้นในอัมพร โกรธดั่งไฟฟอนจ่อใจ จึ่งชักพรหมาสตร์ศรทรง ขององค์พระอิศวรประสาทให้ ทูนขึ้นเหนือเศียรเกล้าไว้ สำรวมใจร่ายเวทวิทยา ฯ” (เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๙) (พิเภกทูลเตือน) “บัดนั้น ฝ่ายพญาพิเภกยักษา แลเห็นลูกเจ้าลงกา บูชาพรหมาสตร์เรืองฤทธิ์ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล น้องพระนเรนทร์สูรจักรกฤษณ์ บัดนี้อสุรินทร์อินทรชิต ปลุกฤทธิ์พรหมาสตร์ศรชัย พระองค์จงระวังกายา ล้างศิลป์อสุราเสียให้ได้ ตัวมันจะแพ้ฤทธิไกร ด้วยไม่มีสิ่งใดจะโรมรัน” พระลักษมณ์ - “เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์รังสรรค์ ได้ฟังพิเภกกุมภัณฑ์ ทรงธรรม์ชื่นชมยินดี จึ่งชักพรหมาสตร์มาพาดสาย ตาหมายเขม้นดูยักษี หวังว่ามิให้เสียที แก่ศรอสุรีพาลา ฯ” (เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๙) ครั้งที่ ๒ แผลงยิงไปฆ่าทำลายศรพรหมาสตร์และกองทัพของอินทรชิต เมื่ออินทรชิตแผลงยิงศรพรหมาสตร์ออกมากลายเป็นสรรพอาวุธนา ๆ ชนิด เกลื่อนกลาดมากมายบนท้องฟ้า พระลักษมณ์ก็แผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปทำลายล้างบรรดาอาวุธต่าง ๆ ที่เกิดจากฤทธิ์ลูกศรพรหมาสตร์ของอินทรชิต ดังความว่า “เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี เห็นอินทรชิตอสุรี แผลงศรศรีมาเป็นอาวุธ เกลื่อนกลาดดาษพื้นเมฆา จะนับคณนาไม่สิ้นสุด จึงแผลงพรหมาสตร์ฤทธิรุทร ไปล้างอาวุธกุมภัณฑ์ ฯ เปรี้ยงเปรี้ยงดั่งเสียงอสุนี ธาตรีสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดเป็นอาวุธลมกัลป์ พัดอาวุธนั้นละเอียดไป แล้วต้องม้ารถคชสาร จัตุรงค์ทวยหาญน้อยใหญ่ ตายกลาดดาษป่าพนาลัย สิ้นทั้งทัพชัยอสุรา ฯ” (เล่ม ๒ : หน้า ๕๖๐) ครั้งที่ ๓ แผลงยิงไปทำลายรถทรงอินทรชิตหัก และชุบชีวิตพลวานรฟื้น หลังจากอินทรชิตสูญเสียลูกศรเทพอาวุธไปหมดทั้ง ๓ เล่ม ไม่มีอาวุธจะต่อสู้อีกต่อไปก็หลบหนีกลับกรุงลงกา รู้ชะตาตนเองว่าคงถึงคราวจะสิ้นชีวิตจึงได้ลาแม่ลาพ่อและเมีย แล้วก็ออกไปทำศึก กับพระลักษมณ์อีกครั้ง ได้แผลงยิงศรหมายจะฆ่าพระลักษมณ์แต่ไปถูกไพร่พลวานรล้มตายมากมาย เมื่อพระลักษมณ์เห็นดังนั้นจึงแผลงยิงศรพรหมาสตร์ออกไป ดังความว่า “เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์เรืองศรี เห็นอินทรชิตวางศรมาราวี ต้องหมู่โยธีวานร หัวขาดตัวขาดตีนขาด กลิ้งกลาดตามเนินสิงขร จึ่งจับพรหมาสตร์ฤทธิรอน น้องพระสี่กรก็แผลงไป ครื้นครื้นดังคลื่นในสมุทร กาลาคนิรุทรก็หวาดไหว ต้องรถอินทรชิตฤทธิไกร หักไปเป็นภัสม์ธุลี อันหมู่โยธาวานร ซึ่งตายด้วยศรยักษี ก็กลับคืนได้ชีวี ด้วยฤทธีองค์พระอนุชา” (เล่ม ๒:หน้า ๕๗๕-๕๗๕) ครั้งที่ ๔ แผลงยิงไปทำลายจักรอินทรชิต อินทรชิตสู้รบเสียทีแก่พระลักษมณ์ถูกหวดตีด้วยคันศรหลายทีจนล้มคว่ำไป เมื่อแข็งใจลุกขึ้นก็จับจักรขว้างไปเกิดเป็นแสงสว่างร้อนแรงดังแสงพระอาทิตย์ หมุนวนรอบองค์พระลักษมณ์ ซึ่งจับลูกศรพรหมาสตร์ขึ้นมาพาดสายแผลงยิงไปทำลายจักร และกองทัพไพร่พลยักษ์เสียหายล้มตายไปมากมาย ดังความว่า เมื่อนั้น องค์พระอนุชาชาญสมร เห็นจักรสำแดงฤทธิรอน จึงจับศรพรหมาสตร์แผลงไป ฯ เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน สุธาดลจักรวาลสะท้านไหว ไล่ล้างจักรกรดฤทธิไกร ละเอียดไปไม่ทันพริบตา แล้วต้องม้ารถคชสาร จัตุรงค์ทวยหาญยักษา ตายกลาดดาษพื้นพสุธา ด้วยศักดาน้องพระจักรี ฯ (เล่ม ๒ : หน้า ๕๗๘) ครั้งที่ ๕ แผลงยิงไปตัดแขนทั้งสองข้างและตัดศีรษะอินทรชิตขาดถึงแก่ความตาย อินทรชิตเมื่อพ่ายแพ้แก่พระลักษมณ์จึงหนีขึ้นไปหลบบนกลีบเมฆใหญ่ พระลักษมณ์จะแผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปสังหารแต่พิเภกห้ามไว้ เพราะอินทรชิตเคยได้พรพระพรหมว่าเมื่อใดสิ้นชีวิต ถ้าเศียรตกพื้นดินก็จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลก ต้องให้องคตที่เป็นพี่น้องร่วมแม่กับอินทรชิตไปขอพานแว่นฟ้าจากพระพรหมมาลองรับเศียรอินทรชิต ครั้นองคตไปนำพานแว่นฟ้าจากพระพรหมมาแล้วถือชูไว้ที่เนินเขาจักรวาล พระลักษมณ์จึงแผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปตัดแขนทั้งสองข้างและตัดศีรษะอินทรชิตขาดกระเด็นสิ้นใจตาย ดังความว่า “เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ทรงศิลป์ ครั้นเห็นองคตหลานอินทร์ ขุนกบินทร์ชูพานอลงกรณ์ ลอยอยู่ในกลางอากาศ จึงชักพรหมาสตร์แสงศร พาดสายหมายมุ่งจะราญรอน น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ สำเนียงดั่งเสียงลมกรด ถึงชั้นโสฬสก็หวาดไหว ต้องกรอินทรชิตฤทธิไกร ซ้ายขวาขาดไปด้วยศักดา แล้วศรพรหมาสตร์ไปสังหาร ตัดเศียรขุนมารยักษา กายตกยังพื้นพสุธา ก็สุดสิ้นชีวาทันที ฯ (เล่ม ๓ : หน้า ๑) ฝ่ายองคตรีบเอาพานแว่นฟ้าเข้าลองรับศีรษะอินทรชิตไว้มิให้ตกถึงพื้นปฐพี จากข้อมูลตามเรื่องราวที่กล่าวถึงการใช้ศรพรหมาสตร์ของพระลักษมณ์ที่พระรามประทานให้มาทำศึกสู้รบกับอินทรชิต ตั้งแต่ศึกทำลายพิธีกุมภนิยาจนฆ่าอินทรชิตถึงแก่ความตาย พระลักษมณ์ ได้แผลงยิงศรพรหมาสตร์ทั้งหมด ๕ ครั้ง โดย ๒ ครั้งแรกแผลงยิงทำลายพิธีกุมภนิยาและสู้รบกัน คือ ครั้งที่ ๑ ฆ่าไพร่พลยักษ์และทำลายโรงพิธีอินทรชิต ครั้งที่ ๒ ฆ่าและทำลายศรพรหมาสตร์และกองทัพของอินทรชิต จากนั้นอินทรชิตก็หลบหนีกลับเข้ากรุงลงกา เพื่อลานางมณโฑผู้เป็นแม่ฝากฝังลูกเมียและลาทศกัณฐ์ผู้เป็นพ่อและลานางสุวรรณกันยุมามเหสีแล้วก็ออกมาทำศึก ครั้งนี้พระลักษณ์แผลงยิงศร พรหมาสตร์ทำศึกกับอินทรชิตอีก ๓ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ ทำลายรถทรงอินทรชิต และชุบชีวิตพลวานรฟื้น ครั้งที่ ๒ ทำลายจักรอินทรชิต ครั้งที่ ๓ ตัดแขนทั้งสองข้างและตัดศีรษะอินทรชิตขาดถึงแก่ความตาย นอกจากนี้พระรามได้แผลงยิงศรพรหมาสตร์อีกครั้งหนึ่งในศึกอินทรชิต เพื่อทำลายศีรษะอินทรชิต เรียบเรียง : นายจรัญ พูลลาภ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ สำนักการสังคีต กรมศิลปากร อ้างอิง รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. นามานุกรมรามเกียรติ์ ประวัติความเป็นมา ตัวละคร สถานที่ พิธี อาวุธ ฯลฯ. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน์, ๒๕๔๖. ศิลปากร , กรม. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๔๐. เล่ม ๒ ศิลปากร , กรม. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๔๐. เล่ม ๓ โขน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ จาก : Thaiheritage.Net โขน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ https://sites.google.com/site/nepdark/home/character/003-1 โขน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ https://www.google.com/url?sa=i&url=http%3A%2F%2F www.hiclasssociety.com


ชื่อเรื่อง                         ธมฺมบทวณฺณนา ธมฺมบทฏฺฐกถา (ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา) อย.บ.                            243/19 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                   64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม. หัวเรื่อง                         พระธรรมเทศนา                                                                       บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับชาดทึบ ไม้ประกับธรรมดา


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : สวรรคโลกมีข้อบังคับควบคุมการเดินเรือ -- ปี 2480 สวรรคโลกไม่ใช่อำเภอแต่เป็น " จังหวัด ". เมื่อเป็นจังหวัดจึงมีประกาศ ระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ " ข้อบังคับควบคุมการเดินเรือท้องถิ่น " ทำไมต้องมีข้อบังคับนี้ ? . เพราะว่าเมืองสวรรคโลกมีแม่น้ำยมไหลผ่านเมือง ในขณะนั้นนอกจากการเดินทางขนส่งด้วยรถไฟแล้ว แม่น้ำยมถือเป็นเส้นทางสัญจรหลักที่สำคัญ ข้าหลวงประจำจังหวัดจึงออกข้อบังคับดังกล่าว โดยมีใจความสำคัญสรุปได้คือ. 1. ให้เรือกลไฟเรือยนต์ทุกลำแล่นช้าๆ ในบริเวณดังนี้ อำเภอบ้านไกร ระหว่างใต้อำเภอ - เหนือปากคลองบางทะเล ตำบลกง อำเภอสุโขทัยธานี ระยะทางเหนือปากคลองกระชงค์ - เหนือโรงสีไฟฮะเฮง อำเภอคลองตาล ช่วงโรงสีไฟสิงหเนติ - สุดหมู่ตลาดด้านเหนือ อำเภอวังไม้ขอน ตรงหน้าวัดสว่างอารมย์ - ใต้วัดสวรรคาราม 2. ห้ามเรือไฟเรือยนต์ลากจูงเรือเกินกำลังที่กำหนด ทั้งการแล่นตามน้ำและทวนน้ำ 3. ห้ามพ่วงเรือเทียบซ้อนลำ คือขนาบข้างเกินกว่า 2 ลำ 4. ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบังคับ " อาจถูกสั่งงดใช้ใบอนุญาตเดินเรือได้ ". ข้อบังคับควบคุมการเดินเรือท้องถิ่นนี้ สะท้อนความสำคัญของเมืองสวรรคโลกเป็นอย่างดี ทำให้เห็นการใช้แม่น้ำคมนาคมขึ้นล่อง ขนส่ง ค้าขายคับคั่ง เป็นหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนการเป็นจังหวัดในขณะนั้น. อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับการเดินเรือท้องถิ่นยังมีผลบังคับใช้เรื่อยมา แม่ว่าเมืองสวรรคโลกจะกลายเป็นอำเภอของจังหวัดสุโขทัยแล้ว ดังเห็นได้จากเอกสารของสถานีตำรวจภูธรอำเภอกงไกรลาศ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2513 เรื่องขอสำเนาข้อบังคับดังกล่าวสำหรับใช้ดำเนินคดีขับเรือยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ. ดังนั้น ข้อบังคับนี้จึงไม่ล้าสมัย ไม่ว่าจะใช้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งถึงรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เพราะใจความสำคัญก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนนั่นเอง.ผู้เขียน: นายธานินทร์ ทิพยางค์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง: หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา. เอกสารสำนักงานปกครองจังหวัดสุโขทัย สท 1.2.1/58 เรื่อง ขอสำเนาข้อบังคับการเดินเรือแห่งท้องถิ่น [ 7 - 27 ต.ค. 2513 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


black ribbon.