ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ขอเชิญร่วมนำเสนอผลงานวิชาการ ในการสัมมนาวิชาการ SARBICA International Symposium 2023 หัวข้อ “Archives in Digital Era: Changes, Adaptations, Achievements” วันที่ 21 - 22 พฤศจิกายน 2566 ผู้สนใจสามารถส่งผลงานวิชาการได้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2566 ที่ sarbica2023@nat.go.th
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมโดยการสแกน QR-Code หรือที่ https://shorturl.asia/ho7C8 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คณะกรรมการฝ่ายวิชาการฯ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ทาง sarbica2023@nat.go.th หรือโทร. 0 2282 8423 ต่อ 228
องค์ความรู้ : สำนักการสังคีต
เรื่อง พรหมาสตร์ศรพิฆาตยักษ์ของพระราม
ตอนที่ ๓ ประทานพระลักษมณ์ปราบอินทรชิต
ศรพรหมาสตร์ลูกศรของพระราม เทพอาวุธวิเศษที่พระอิศวรประทานให้มาใช้ปราบทศกัณฐ์และเหล่าอสุรพงศ์มิตรสหาย สงครามครั้งใดที่พระรามออกทำศึกด้วยตนเอง บรรดายักษ์สำคัญ ๆ ในเรื่องรามเกียรติ์ที่เป็นแม่ทัพออกมารบ ก็จะไม่พ้นความตายด้วยศรพรหมาสตร์ของพระรามที่ถือว่าเป็นลูกศรสังหารแผลงยิงไปพิฆาตฆ่ารวมทั้งทศกัณฐ์ แต่หากศึกครั้งใดพระรามมิได้เป็นแม่ทัพกำกับพลสวาออกไปรบ โดยจะพิจารณาดูจากอสูรแม่ทัพที่มาทำศึกนั้นดำรงยศศักดิ์อย่างไร หากเป็นพญายักษ์ มียศศักดิ์เป็นอุปราช เช่น กุมภกรรณ หรือพระยุพราช เช่น อินทรชิต ซึ่งมิได้เป็นกษัตริย์พระรามก็มักจะไม่ออกรบด้วยตนเอง เพราะเห็นว่าศักดิ์ศรีไม่เท่าเทียบกันแต่จะบัญชาให้พระลักษมณ์ผู้เป็นน้องชาย เป็นแม่ทัพคุมโยธาสวาพลออกไปรบ เพราะมีศักดิ์ศรีหรือตำแหน่งเท่าเทียบกันกับตำแหน่งฝ่ายยักษ์
ได้แสดงฝีมือและความสามารถในการรบ เพื่อเป็นเกียรติยศปรากฏเลื่องชื่อลือชาสืบไป ซึ่งบางครั้งพระรามจะประทานเทพอาวุธที่มีฤทธิ์วิเศษให้ไปสำหรับใช้ป้องกันตัว สังหารและทำลายล้างฝ่ายข้าศึก คือ ศรพรหมาสตร์ โดยเรื่องราวกล่าวไว้อย่างชัดเชนในศึกอินทรชิต ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ตั้งแต่ตอนพระลักษมณ์ทำลายพิธีกุมภนิยาจนถึงอินทรชิตสิ้นชีวิต ว่าพระลักษมณ์ได้ใช้ลูกศรพรหมาสตร์แผลงยิงทำลายล้างกองทัพและสังหารชีวิตอินทรชิต ดังนี้
พระรามประทานลูกศรพรหมาสตร์ให้พระลักษมณ์ไปทำลายพิธีกุมภนิยาของอินทรชิต ในบทพระราชนิพนธ์ฯ จะไม่ได้บอกชื่อลูกศรเพียงบอกไว้แต่ว่าพระรามประทานศร ๓ เล่ม ที่เป็นอาวุธประจำกายของพระองค์ให้พระลักษมณ์นำไปใช้ต่อสู้กับอินทรชิต ความว่า
“พ่อจงเขม้นมุ่งหมาย
คอยทำลายอาวุธยักษา
จงเอาพิเภกโหรา
นั้นไปเป็นตาเป็นใจ
ตรัสพลางจึ่งจับพระแสงศร
สามเล่มฤทธิรอนส่งให้
อันซึ่งศัตรูหมู่ภัย
จงแพ้ฤทธิไกรของน้องรัก ฯ
(เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๑)
แต่ก็พอจะสันนิฐานได้ว่าลูกศรเล่มหนึ่งในสามเล่มนั้น คือ ศรพรหมาสตร์ เพราะพระลักษมณ์ไม่มีลูกศรพรหมาสตร์เป็นอาวุธประจำกาย เพราะเนื้อเรื่องต่อไปได้กล่าวถึงลูกศรพรหมาสตร์ซึ่งพระลักษมณ์ได้ใช้แผลงยิงสู้รบกับอินทรชิต ดังจะกล่าวให้เห็นเป็นครั้ง ๆ ดังนี้
ครั้งที่ ๑ แผลงยิงไปเข่นฆ่าไพร่พลยักษ์และทำลายโรงพิธีอินทรชิต
เมื่อพระลักษมณ์ยกกองทัพวานรมาถึงเชิงเขาจักรวาลอันเป็นสถานที่ที่อินทรชิตตั้งโรงพิธี ชุบกายให้กายสิทธิ์ด้วยพิธีกุมภนิยา พระลักษมณ์ก็แผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปฆ่าไพร่พลยักษ์ตายและทำลายโรงพิธีอินทรชิตพังยับไป ดังความว่า
“ครั้นถึงขอบเขาจักรวาล
ยอดตระหง่านเงื้อมง้ำสูงใหญ่
เห็นโรงพิธีอำไพ
อยู่กลางดงไผ่โอฬาร์
มีหมู่อสุรกุมภัณฑ์
สามชั้นล้อมวงรักษา
ชั้นในไว้หมู่อสุรา
ประจำกองกาลาอาหุดี
อินทรชิตนั้นนั่งหลับเนตร
อ่านเวทแต่งกายเป็นฤษี
อยู่กลางโรงราชพิธี
เหนืออาสน์มณีอลงกรณ์
มีความชื่นชมโสมนัส
พระหัตถ์จับพรหมาสตร์แสงศร
พาดสายหมายมุ่งราญรอน
น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ
สำเนียงดั่งเสียงลงกาฬ
ขุนเขาจักรวาลก็หวั่นไหว
ต้องหมู่พหลพลไกร
ยับไปทั้งโรงพิธี ฯ”
(เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๓)
เมื่ออินทรชิตถูกพระลักษมณ์แผลงยิงศรพรหมาสตร์มาทำลายพิธีกุมภนิยา แล้วเกิดการรบสู้กันขึ้น อินทรชิตแผลงยิงศรวิษณุปานัมลูกศรที่พระนารายณ์ประทานให้เป็นเพลิงกรดมาผลาญพลวานรล้มตาย พระลักษมณ์จึงแผลงยิงลูกศรอัคนิวาตเป็นห่าฝนตกลงมาทำลายศรอินทรชิต และชุบชีวิตเหล่ากระบี่ ที่ตายให้ฟื้นขึ้นมา จากนั้นอินทรชิตก็แผลงยิงศรนาคบาศเป็นพญานาคมากมาย พิเภกทูลเตือนพระลักษมณ์ให้ระวังพิษศรนาคบาศ และให้แผลงยิงศรไปทำลายศรของอินทรชิต อินทรชิตครั้นเห็นพระลักษมณ์แผลงยิงศรกลายเป็นพญาครุฑมาจับจิกนาคตาย ก็กริ้วโกรธชักศรพรหมาสตร์ที่พระอิศวรลงมาประทานให้อีกเล่มหนึ่ง (อินทรชิตเป็นยักษ์ตนเดียวที่ได้ประทานศรพรหมาสตร์จากพระอิศวร มีชื่อเหมือนกับศรพรหมาสตร์ของพระราม ต่างกันแต่ถ้าอินทรชิตต้องการใช้ศรต้องทำพิธีปลุกเสกหรือร่ายเวทมนตร์ก่อน ไม่เหมือนกับศรพรหมาสตร์ของพระรามที่ไม่ต้องทำพิธี อย่างเช่นครั้งนี้อินทรชิตจะให้ศรพรหมาสตร์แผลงยิงเข่นฆ่าศัตรู ต้องยกขึ้นมาทูนเหนือศีรษะร่ายเวทมนตร์ปลุกเสกลูกศรให้เรืองฤทธิ์ ขณะที่พิเภกเห็นอินทรชิตร่ายเวทปลุกเสกศรพรหมาสตร์ จึงทูลเตือนพระลักษมณ์ให้ระวังตัวและรีบแผลงยิงศรไปทำลายศรพรหมาสตร์ของอินทรชิดให้พินาศ อินทรชิตก็จะพ่ายแพ้เพราะลูกศรเทพเจ้าทั้ง ๓ เล่ม ที่ประทานให้ ถูกทำลายหมดสิ้นจึงไม่มีอาวุธใดจะใช้ต่อสู้ พระลักษมณ์จึงชักศรพรหมาสตร์ขึ้นมาพาดสายเตรียมพร้อมไว้ที่แผลงยิงได้ทันที ดังความในบทพระราชนิพนธ์ ฯ กล่าวว่า
“เมื่อนั้น ลูกท้าวทศพักตร์ยักษา
เห็นศรพระลักษมณ์แผลงมา
เป็นพญาครุฑาฤทธิรอน
ถาโถมโจมจับนาคบาศ
ทำอำนาจดั่งพญาไกรสร
พ่ายแพ้ตายสิ้นในอัมพร
โกรธดั่งไฟฟอนจ่อใจ
จึ่งชักพรหมาสตร์ศรทรง
ขององค์พระอิศวรประสาทให้
ทูนขึ้นเหนือเศียรเกล้าไว้
สำรวมใจร่ายเวทวิทยา ฯ”
(เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๙)
(พิเภกทูลเตือน)
“บัดนั้น ฝ่ายพญาพิเภกยักษา
แลเห็นลูกเจ้าลงกา
บูชาพรหมาสตร์เรืองฤทธิ์
จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล
น้องพระนเรนทร์สูรจักรกฤษณ์
บัดนี้อสุรินทร์อินทรชิต
ปลุกฤทธิ์พรหมาสตร์ศรชัย
พระองค์จงระวังกายา
ล้างศิลป์อสุราเสียให้ได้
ตัวมันจะแพ้ฤทธิไกร
ด้วยไม่มีสิ่งใดจะโรมรัน”
พระลักษมณ์ -
“เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังพิเภกกุมภัณฑ์
ทรงธรรม์ชื่นชมยินดี
จึ่งชักพรหมาสตร์มาพาดสาย
ตาหมายเขม้นดูยักษี
หวังว่ามิให้เสียที
แก่ศรอสุรีพาลา ฯ”
(เล่ม ๒ : หน้า ๕๕๙)
ครั้งที่ ๒ แผลงยิงไปฆ่าทำลายศรพรหมาสตร์และกองทัพของอินทรชิต เมื่ออินทรชิตแผลงยิงศรพรหมาสตร์ออกมากลายเป็นสรรพอาวุธนา ๆ ชนิด เกลื่อนกลาดมากมายบนท้องฟ้า พระลักษมณ์ก็แผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปทำลายล้างบรรดาอาวุธต่าง ๆ ที่เกิดจากฤทธิ์ลูกศรพรหมาสตร์ของอินทรชิต ดังความว่า
“เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นอินทรชิตอสุรี
แผลงศรศรีมาเป็นอาวุธ
เกลื่อนกลาดดาษพื้นเมฆา
จะนับคณนาไม่สิ้นสุด
จึงแผลงพรหมาสตร์ฤทธิรุทร
ไปล้างอาวุธกุมภัณฑ์ ฯ
เปรี้ยงเปรี้ยงดั่งเสียงอสุนี
ธาตรีสะเทือนเลื่อนลั่น
เกิดเป็นอาวุธลมกัลป์
พัดอาวุธนั้นละเอียดไป
แล้วต้องม้ารถคชสาร
จัตุรงค์ทวยหาญน้อยใหญ่
ตายกลาดดาษป่าพนาลัย
สิ้นทั้งทัพชัยอสุรา ฯ”
(เล่ม ๒ : หน้า ๕๖๐)
ครั้งที่ ๓ แผลงยิงไปทำลายรถทรงอินทรชิตหัก และชุบชีวิตพลวานรฟื้น หลังจากอินทรชิตสูญเสียลูกศรเทพอาวุธไปหมดทั้ง ๓ เล่ม ไม่มีอาวุธจะต่อสู้อีกต่อไปก็หลบหนีกลับกรุงลงกา รู้ชะตาตนเองว่าคงถึงคราวจะสิ้นชีวิตจึงได้ลาแม่ลาพ่อและเมีย แล้วก็ออกไปทำศึก กับพระลักษมณ์อีกครั้ง ได้แผลงยิงศรหมายจะฆ่าพระลักษมณ์แต่ไปถูกไพร่พลวานรล้มตายมากมาย เมื่อพระลักษมณ์เห็นดังนั้นจึงแผลงยิงศรพรหมาสตร์ออกไป ดังความว่า
“เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์เรืองศรี
เห็นอินทรชิตวางศรมาราวี
ต้องหมู่โยธีวานร
หัวขาดตัวขาดตีนขาด
กลิ้งกลาดตามเนินสิงขร
จึ่งจับพรหมาสตร์ฤทธิรอน
น้องพระสี่กรก็แผลงไป
ครื้นครื้นดังคลื่นในสมุทร
กาลาคนิรุทรก็หวาดไหว
ต้องรถอินทรชิตฤทธิไกร
หักไปเป็นภัสม์ธุลี
อันหมู่โยธาวานร
ซึ่งตายด้วยศรยักษี
ก็กลับคืนได้ชีวี
ด้วยฤทธีองค์พระอนุชา”
(เล่ม ๒:หน้า ๕๗๕-๕๗๕)
ครั้งที่ ๔ แผลงยิงไปทำลายจักรอินทรชิต อินทรชิตสู้รบเสียทีแก่พระลักษมณ์ถูกหวดตีด้วยคันศรหลายทีจนล้มคว่ำไป เมื่อแข็งใจลุกขึ้นก็จับจักรขว้างไปเกิดเป็นแสงสว่างร้อนแรงดังแสงพระอาทิตย์ หมุนวนรอบองค์พระลักษมณ์ ซึ่งจับลูกศรพรหมาสตร์ขึ้นมาพาดสายแผลงยิงไปทำลายจักร และกองทัพไพร่พลยักษ์เสียหายล้มตายไปมากมาย ดังความว่า
เมื่อนั้น องค์พระอนุชาชาญสมร
เห็นจักรสำแดงฤทธิรอน
จึงจับศรพรหมาสตร์แผลงไป ฯ
เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน
สุธาดลจักรวาลสะท้านไหว
ไล่ล้างจักรกรดฤทธิไกร
ละเอียดไปไม่ทันพริบตา
แล้วต้องม้ารถคชสาร
จัตุรงค์ทวยหาญยักษา
ตายกลาดดาษพื้นพสุธา
ด้วยศักดาน้องพระจักรี ฯ
(เล่ม ๒ : หน้า ๕๗๘)
ครั้งที่ ๕ แผลงยิงไปตัดแขนทั้งสองข้างและตัดศีรษะอินทรชิตขาดถึงแก่ความตาย อินทรชิตเมื่อพ่ายแพ้แก่พระลักษมณ์จึงหนีขึ้นไปหลบบนกลีบเมฆใหญ่ พระลักษมณ์จะแผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปสังหารแต่พิเภกห้ามไว้ เพราะอินทรชิตเคยได้พรพระพรหมว่าเมื่อใดสิ้นชีวิต ถ้าเศียรตกพื้นดินก็จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลก ต้องให้องคตที่เป็นพี่น้องร่วมแม่กับอินทรชิตไปขอพานแว่นฟ้าจากพระพรหมมาลองรับเศียรอินทรชิต ครั้นองคตไปนำพานแว่นฟ้าจากพระพรหมมาแล้วถือชูไว้ที่เนินเขาจักรวาล พระลักษมณ์จึงแผลงยิงศรพรหมาสตร์ไปตัดแขนทั้งสองข้างและตัดศีรษะอินทรชิตขาดกระเด็นสิ้นใจตาย ดังความว่า
“เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ทรงศิลป์
ครั้นเห็นองคตหลานอินทร์
ขุนกบินทร์ชูพานอลงกรณ์
ลอยอยู่ในกลางอากาศ
จึงชักพรหมาสตร์แสงศร
พาดสายหมายมุ่งจะราญรอน
น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ
สำเนียงดั่งเสียงลมกรด
ถึงชั้นโสฬสก็หวาดไหว
ต้องกรอินทรชิตฤทธิไกร
ซ้ายขวาขาดไปด้วยศักดา
แล้วศรพรหมาสตร์ไปสังหาร
ตัดเศียรขุนมารยักษา
กายตกยังพื้นพสุธา
ก็สุดสิ้นชีวาทันที ฯ
(เล่ม ๓ : หน้า ๑)
ฝ่ายองคตรีบเอาพานแว่นฟ้าเข้าลองรับศีรษะอินทรชิตไว้มิให้ตกถึงพื้นปฐพี
จากข้อมูลตามเรื่องราวที่กล่าวถึงการใช้ศรพรหมาสตร์ของพระลักษมณ์ที่พระรามประทานให้มาทำศึกสู้รบกับอินทรชิต ตั้งแต่ศึกทำลายพิธีกุมภนิยาจนฆ่าอินทรชิตถึงแก่ความตาย พระลักษมณ์ ได้แผลงยิงศรพรหมาสตร์ทั้งหมด ๕ ครั้ง โดย ๒ ครั้งแรกแผลงยิงทำลายพิธีกุมภนิยาและสู้รบกัน คือ
ครั้งที่ ๑ ฆ่าไพร่พลยักษ์และทำลายโรงพิธีอินทรชิต ครั้งที่ ๒ ฆ่าและทำลายศรพรหมาสตร์และกองทัพของอินทรชิต
จากนั้นอินทรชิตก็หลบหนีกลับเข้ากรุงลงกา เพื่อลานางมณโฑผู้เป็นแม่ฝากฝังลูกเมียและลาทศกัณฐ์ผู้เป็นพ่อและลานางสุวรรณกันยุมามเหสีแล้วก็ออกมาทำศึก ครั้งนี้พระลักษณ์แผลงยิงศร พรหมาสตร์ทำศึกกับอินทรชิตอีก ๓ ครั้ง คือ
ครั้งที่ ๑ ทำลายรถทรงอินทรชิต และชุบชีวิตพลวานรฟื้น ครั้งที่ ๒ ทำลายจักรอินทรชิต
ครั้งที่ ๓ ตัดแขนทั้งสองข้างและตัดศีรษะอินทรชิตขาดถึงแก่ความตาย
นอกจากนี้พระรามได้แผลงยิงศรพรหมาสตร์อีกครั้งหนึ่งในศึกอินทรชิต เพื่อทำลายศีรษะอินทรชิต
เรียบเรียง : นายจรัญ พูลลาภ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร
อ้างอิง
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. นามานุกรมรามเกียรติ์ ประวัติความเป็นมา ตัวละคร สถานที่ พิธี อาวุธ ฯลฯ. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาสน์, ๒๕๔๖. ศิลปากร , กรม. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๔๐. เล่ม ๒ ศิลปากร , กรม. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร, ๒๕๔๐. เล่ม ๓
โขน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ จาก : Thaiheritage.Net โขน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ https://sites.google.com/site/nepdark/home/character/003-1 โขน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ https://www.google.com/url?sa=i&url=http%3A%2F%2F www.hiclasssociety.com
ชื่อเรื่อง ธมฺมบทวณฺณนา ธมฺมบทฏฺฐกถา (ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา)
อย.บ. 243/19
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.
หัวเรื่อง พระธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับชาดทึบ ไม้ประกับธรรมดา
-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : สวรรคโลกมีข้อบังคับควบคุมการเดินเรือ -- ปี 2480 สวรรคโลกไม่ใช่อำเภอแต่เป็น " จังหวัด ". เมื่อเป็นจังหวัดจึงมีประกาศ ระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ " ข้อบังคับควบคุมการเดินเรือท้องถิ่น " ทำไมต้องมีข้อบังคับนี้ ? . เพราะว่าเมืองสวรรคโลกมีแม่น้ำยมไหลผ่านเมือง ในขณะนั้นนอกจากการเดินทางขนส่งด้วยรถไฟแล้ว แม่น้ำยมถือเป็นเส้นทางสัญจรหลักที่สำคัญ ข้าหลวงประจำจังหวัดจึงออกข้อบังคับดังกล่าว โดยมีใจความสำคัญสรุปได้คือ. 1. ให้เรือกลไฟเรือยนต์ทุกลำแล่นช้าๆ ในบริเวณดังนี้ อำเภอบ้านไกร ระหว่างใต้อำเภอ - เหนือปากคลองบางทะเล ตำบลกง อำเภอสุโขทัยธานี ระยะทางเหนือปากคลองกระชงค์ - เหนือโรงสีไฟฮะเฮง อำเภอคลองตาล ช่วงโรงสีไฟสิงหเนติ - สุดหมู่ตลาดด้านเหนือ อำเภอวังไม้ขอน ตรงหน้าวัดสว่างอารมย์ - ใต้วัดสวรรคาราม 2. ห้ามเรือไฟเรือยนต์ลากจูงเรือเกินกำลังที่กำหนด ทั้งการแล่นตามน้ำและทวนน้ำ 3. ห้ามพ่วงเรือเทียบซ้อนลำ คือขนาบข้างเกินกว่า 2 ลำ 4. ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบังคับ " อาจถูกสั่งงดใช้ใบอนุญาตเดินเรือได้ ". ข้อบังคับควบคุมการเดินเรือท้องถิ่นนี้ สะท้อนความสำคัญของเมืองสวรรคโลกเป็นอย่างดี ทำให้เห็นการใช้แม่น้ำคมนาคมขึ้นล่อง ขนส่ง ค้าขายคับคั่ง เป็นหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนการเป็นจังหวัดในขณะนั้น. อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับการเดินเรือท้องถิ่นยังมีผลบังคับใช้เรื่อยมา แม่ว่าเมืองสวรรคโลกจะกลายเป็นอำเภอของจังหวัดสุโขทัยแล้ว ดังเห็นได้จากเอกสารของสถานีตำรวจภูธรอำเภอกงไกรลาศ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2513 เรื่องขอสำเนาข้อบังคับดังกล่าวสำหรับใช้ดำเนินคดีขับเรือยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ. ดังนั้น ข้อบังคับนี้จึงไม่ล้าสมัย ไม่ว่าจะใช้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งถึงรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เพราะใจความสำคัญก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนนั่นเอง.ผู้เขียน: นายธานินทร์ ทิพยางค์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา).เอกสารอ้างอิง: หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา. เอกสารสำนักงานปกครองจังหวัดสุโขทัย สท 1.2.1/58 เรื่อง ขอสำเนาข้อบังคับการเดินเรือแห่งท้องถิ่น [ 7 - 27 ต.ค. 2513 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ
ฝนตกไปไหนก็ลำบาก มาอ่านเรื่องลูกกลิ้งฆ่าเวลากันดีกว่า..."ลูกกลิ้งดินเผา" โดยนางสาวฐิรกานดา ชมราศรีสาขาวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
รำวง (RAMWONG SONGS)
ผู้แต่ง : กรมศิลปากร, บันทึกโน้ตโดย พิษณุ แช่มบาง เขียนโน้ตโดย กำจร อมรเวช ถ่ายภาพโดย ชลหมู่ ชลานุเคราะห์
ต้นฉบับอยู่ที่ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี (ห้องกรมศิลปากร)
ผู้จัดพิมพ์ : กรมศิลปากรปีที่พิมพ์ : 2505
รูปแบบ : PDF
ภาษา : ไทย
เลขทะเบียน: น. 55บ. 65945 จบ.(ร)
เลขหมู่ : 784.49593 ศ528รสาระสังเขป : หนังสือรวบรวมภาพท่ารำ และโน้ตเพลง พร้อมทั้งบทขับร้องของรำวงและบทรำวงพื้นเมือง เนื้อร้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวม 20 บทเพลง ใช้ประกอบแผ่นเสียงเพลงรำวง
พระพุทธรูปปางไสยาสน์
แบบศิลปะ : อยุธยา
ชนิด : ดินเผา
ขนาด : กว้าง 17 เซนติเมตร สูง 28 เซนติเมตร
ลักษณะ : พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ประทับบนฐานสูงประดับกระจก
ประวัติ :พบที่มณฑปพระพุทธบาทยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ได้มาเมื่อคราวอธิบดีกรมศิลปากรไปตรวจราชการ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2493
สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/ratchaburi/360/model/24
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/ratchaburi
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๗ เรื่อง "ประติมากรรมปูนปั้นช้างทรงเครื่อง วัดช้างล้อมศรีสัชนาลัย" ประติมากรรมปูนปั้นช้างเป็นคติการใช้ช้างประดับศาสนสถาน ซึ่งน่าจะมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา เพราะช้างเป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวพันกับคติความเชื่อทางศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นสัตว์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติเป็นอันมาก เจดีย์ฐานช้างล้อมนั้นมีต้นแบบจากเจดีย์หรือสถูปในศิลปะลังกาที่เข้ามาพร้อมกับพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองอยู่ในแคว้นสุโขทัยพร้อมทั้งศิลปะลังกาที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบทางศิลปะสถาปัตยกรรมของสุโขทัยอย่างเห็นได้ชัด ช้างทรงเครื่อง หรือช้างที่ประดับลวดลายปูนปั้น เป็นประติมากรรมปูนปั้นรูปช้างที่ยืน ๔ ขาเต็มตัวขนาดใกล้เคียงกับช้างจริง ที่ประดับอยู่ที่มุมทั้งสี่เชือกบริเวณรอบฐานของเจดีย์วัดช้างล้อม ศรีสัชนาลัย โดยมีลักษณะพิเศษ คือ มีขนาดใหญ่กว่าช้างตัวอื่น ๆ ซึ่งมีการตกแต่งลวดลายปูนปั้นประดับที่ต้นคอ ต้นขาหน้า ต้นขาหลัง รัดอก และรัดที่งาช้าง การนำเครื่องประดับมาใช้กับช้างปูนปั้นน่าจะคล้ายคลึงกับช้างที่ปราสาทนครวัดของเขมร วัดช้างล้อมมีช้างประจำมุมเจดีย์ทั้งสี่ทิศ โดยมีลักษณะยืนเฉียงหันหน้าไปตามทิศทั้ง ๔ มีลักษณะพิเศษกว่าช้างปูนปั้นธรรมดาที่ไม่มีลวดลายปูนปั้น ซึ่งเป็นช้างที่ทำด้วยศิลาแลง ลักษณะการก่อลำตัวโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม โดยใช้ศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กก่อเอาด้านหนาชนกัน ซึ่งคล้ายคลึงกับการก่อ เตาสังคโลก และอาจจะได้รับอิทธิพลจากพุกามแล้วพอกลำตัวช้างด้วยปูนปั้นทับซ้อนกันหลายชั้น เช่น ช้างประจำทิศใต้ บริเวณก้นช้างมีการวาดหางแล้วพอกปูนปิดของเดิมแล้วขีดหางทับอีกชั้นหนึ่ง อาจเป็นการสร้างทับซ้อนหรือเพียงการซ่อมแซม อีกทั้งอาจเป็นเทคนิคการทำอย่างใดอย่างหนึ่งของช่างในสมัยนั้น ดังนั้น แถวช้างปูนปั้นที่วัดช้างล้อมน่าจะได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบการทำช้างปูนปั้นรอบฐานเจดีย์มาจากมหาสถูปในลังกา ส่วนลักษณะแบบช้างยืนเต็มตัวนี้อาจจะได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบจากนครวัด หรือสถูปในประเทศอินเดีย โดยช่างท้องถิ่นได้คิดดัดแปลงเอาเทคนิคการก่อเตาทุเรียง เมืองศรีสัชนาลัยมาใช้ก่อลำตัวช้างปูนปั้นอีกด้วย ลักษณะการปั้นปูนแต่งเป็นตัวช้างนั้นทำคล้ายคลึงกันทั้งสามเมือง คือ เมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย และเมืองกำแพงเพชร หรือแม้แต่ในแถบล้านนาเอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. “การศึกษาวิจัยเรื่อง วัดช้างล้อม” ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย. ม.ป.ท. ๒๕๓๐.สุรพล ดำริห์กุล. เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. นนทบุรี : เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๖๑.
กรมศิลปากร ขอเชิญผู้สนใจร่วมโครงการนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี 2567 เรื่อง เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม พบกับกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่อง "หัดเขียนลายสือไทย" วิทยากรโดย นายเทิม มีเต็ม ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร, นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ นักอักษรศาสตร์ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร, นางศิวพร เฉลิมศรี นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ, นางสาวยุวเรศ วุทธีรพล นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ และ ดร.ชญานุตม์ จินดารักษ์ นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ ในวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2567 เวลา 12.30 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ทาง https://forms.gle/sgnWL9Eidqv7XBnj7 หรือสแกน QR Code (รับจำนวนจำกัด 60 ท่าน) สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่บัดนี้ หรือจนกว่าจะเต็ม สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2280 9828 - 32 ต่อ 112 - 113
องค์ความรู้ เรื่อง พิพิธภัณฑ์ในสุพรรณบุรี
เรียบเรียง นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ขอเชิญฟังการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "บันทึกแห่งหนังตะลุง โนรา ที่ค้นหามาเล่า” ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๘.๓๐ น. - ๑๙.๓๐ น. ณ เวทีศาลากลางน้ำ สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคใต้ “อัตลักษณ์เมืองใต้ หนังตะลุง โนรา” วิทยากรโดย อ.จรัส จันทร์พรหมรัตน์ และอ.จรูญ หยูทอง ดำเนินรายการโดย อ.บุญเลิศ จันทระ และขอเชิญชมนิทรรศการ เรื่อง "หนังตะลุงและโนรา ภาพถ่ายเก่า หนังสือหายาก เอกสารโบราณ วิถีถิ่น วิถีไทย ภาคใต้" ระหว่างวันที่ ๒๗ มิถุนายน - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ (วันที่ ๒๗ มิถุนายน - ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เปิดให้ชมเวลา ๐๘.๓๐ น. - ๑๙.๓๐ น. และวันที่ ๒ - ๑๕ กรกฎาคม เปิดให้ชมเวลา ๐๘.๓๐ น. - ๑๖.๓๐ น.) ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลา จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของกระทรวงวัฒนธรรม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา โทร. ๐ ๗๔๓๓ ๐๒๕๕, และหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา โทร. ๐ ๗๔๒๑ ๒๕๗๙
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “การตั้งพระราชาคณะในรัชกาลปัจจุบัน” วิทยากร นางสาวระชา ภุชชงค์ นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ และนายเอกลักษณ์ ลอยศักดิ์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการ นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร โดยถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (facebook live)