ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.2/1-1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : มงคลสูตร์ คำฉันท์ ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2466 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ. จำนวนหน้า : 26 หน้า สาระสังเขป : มงคลสูตรคำฉันท์ คือมงคล 38 ประการที่พระพุทธเจ้านำมาแสดงเป็นคาถาภาษาบาลีจำนวน 11 คาถา โดยแต่ละคาถาประกอบไปด้วยมงคล 3-5 ประการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ โดยยกคาถาบาลีขึ้นบทหนึ่ง แล้วแปลบทหนึ่งสลับกันไป ตัวอย่างเช่น อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แปลว่า หนึ่งคือบ่คบพาล เพราะจะพาประพฤติผิด หนึ่งคบกะบัณฑิต เพราะจะพาประสพผล หนึ่งกราบและบูชา อภิบูชะนีย์ชน ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี เป็นต้น





          ปรางค์กู่ เป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นตามรูปแบบสถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมเขมร รูปแบบศิลปะแบบบายน โดยมีหินทรายเเละศิลาเเลงเป็นวัสดุหลัก ในพุทธศตวรรษที่ 18 ตรงกับรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นอาโรคยศาลหรือศาสนสถานประจำสถานพยาบาลอีกหลัง เช่นเดียวกับ ปราสาทโคกงิ้ว ปรางค์กู่ มีการประดับตกแต่งอาคารสิ่งก่อสร้างด้วยการสลักลวดลายลงบนหินที่ก่อสร้าง เป็นลักษณะอันโดดเด่นทางด้านศิลปกรรม ในส่วนของทับหลัง พบหลักฐานการสลักภาพที่สวยงามและสำคัญ จำนวน 4 ชิ้น ได้แก่          ทับหลังชิ้นที่1 ทับหลังเหนือกรอบประตูหลอกด้านเหนือของปราสาทประธาน สลักภาพหน้ากาลเอามือยึดขาสิงห์ที่ยืนเอียงตัวหันหน้าออก มือถือท่อนพวงมาลัยห้อยตกลงมา เหนือหน้ากาลสลัก ภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธิภายในซุ้มเรือนแก้ว ที่เสี้ยวของทับหลังมีพวงอุบะแบ่งเสี้ยว เสี้ยวเหนือพวงอุบะด้านซ้ายมือของภาพพระพุทธเจ้า สลักภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๔ กร ประทับยืนอยู่ในซุ้มท่ามกลางลายใบไม้ม้วนตั้งขึ้น ส่วนทางด้านขวามือของทับหลังภาพสลักเลือนลาง ลักษณะคล้ายสลักยังไม่แล้วเสร็จ เห็นเพียงโครงร่างของเส้นโค้ง วงกลม และกรอบของซุ้มทรงสามเหลี่ยม          ทับหลังชิ้นที่2 ทับหลังเหนือกรอบประตูทางเข้าหลักด้านตะวันออกเข้าสู่ห้องภายในปราสาทประธาน สลักภาพใบไม้ม้วนรูปทรงสามเหลี่ยมตั้งขึ้น โดยม้วนจากด้านล่างหันปลายเข้าสู่ส่วนกลาง ข้างละ 5 ใบ ที่กึ่งกลางทับหลังเป็นภาพค่อนข้างเลือนลาง พิจารณาจากลักษณะเค้าโครงของเส้น สันนิษฐานว่าสลักเป็นภาพหน้ากาล เหนือหน้ากาลสลักเป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธิภายในซุ้ม ลักษณะเช่นเดียวกันกับทับหลังเหนือกรอบประตูหลอกด้านเหนือของปราสาทประธาน และทับหลังเหนือกรอบประตูด้านตะวันออกห้องมุขปราสาทประธาน          ทับหลังชิ้นที่3 ทับหลังเหนือกรอบประตูด้านตะวันออกห้องมุขปราสาทประธาน สลักเป็นภาพใบไม้ม้วนตั้งขึ้น 3 ใบ มีหน้ากาลที่กึ่งกลางภาพ เหนือหน้ากาลสลักเป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธิภายในซุ้ม          ทับหลังชิ้นที่4 ทับหลังเหนือกรอบประตูทางเข้าหลักด้านตะวันตกอาคารวิหารหรือบรรณาลัย สลักภาพตอนกวนเกษียรสมุทร          ภาพสลักทับหลังชิ้นที่ 1-3 มีภาพสำคัญปรากฏอยู่ที่กึ่งกลางภาพ คือ ภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธิภายในซุ้ม ซึ่งเป็นภาพปกติที่พบเห็นได้ในโบราณสถานวัฒนธรรมเขมร ประเภทปราสาทหิน ที่สร้างขึ้นเนื่องนุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และภาพที่เน้นย้ำให้เห็นถึงความเป็นพุทธศาสนาฝ่ายมหายานอย่างชัดเจนอีกภาพหนึ่ง คือ ภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 กร ประทับยืนอยู่ในซุ้มท่ามกลางลายใบไม้ม้วนตั้งขึ้น ที่ทับหลังเหนือกรอบประตูหลอกด้านเหนือของปราสาทประธาน           สำหรับภาพสลักทับหลังชิ้นที่ 4 ถือว่ามีความพิเศษของทับหลังชิ้นนี้คือ การนำเอาเรื่องราวหรือตำนานทางศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มาสลักเป็นภาพเล่าเรื่องในโบราณสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน #ทำให้ชวนคิดได้ว่า มีมูลเหตุใดที่เป็นเช่นนั้น ในเบื้องต้นสามารถวิเคราะห์ถึงมูลเหตุสำคัญ ได้ 2 ประการ ดังนี้           1. เดิมทีนั้น ทับหลังชิ้นนี้อาจจะติดตั้งอยู่ ณ ปราสาทหินหลังอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงกับปรางค์กู่ ซึ่งมีการก่อสร้างและใช้ประโยชน์ในพุทธศตวรรษที่ 16-17 และถูกสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 เมื่อถึงเวลาในการก่อสร้างปรางค์กู่ ปราสาทหลังเดิมนั้นอาจจะพังทลายลงหรือไม่มีการใช้ประโยชน์ดังเดิมแล้ว หินในส่วนต่างๆ จึงถูกขนย้ายมาเพื่อใช้ในการก่อสร้างปรางค์กู่ รวมทั้งทับหลังชิ้นนี้ก็ถูกขนย้ายมาเพื่อประดับตกแต่ง ณ ตำแหน่งดังกล่าว           2. ในพุทธศตวรรษที่ 16-17 ช่วงเวลาก่อนการก่อสร้างปรางค์กู่และก่อนที่พุทธศาสนาฝ่ายมหายานจะเผยแผ่เข้ามาในพื้นที่ชุมชนบริเวณนี้ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู น่าจะเป็นความเชื่อเดิมที่ชุมชนยึดถือปฏิบัติกันมาต่อเนื่องอยู่แล้ว การที่พุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามา อาจจะไม่ได้เข้ามาแบบเปลี่ยนแปลงความเชื่อดั้งเดิมของชุมชนทีเดียวเสียทั้งหมด ถือว่าเป็นการให้เกียรติความเชื่อหรือศาสนาเดิมที่มีอยู่ก่อน จึงให้อิสระในความคิดของช่างหรือชุมชนในการนำเอาเรื่องราวหรือตำนานทางศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มาสลักเป็นภาพเล่าเรื่องในโบราณสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้ เปรียบเสมือนว่าต่างความเชื่อ ต่างศาสนา แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในโบราณสถานของชุมชน ที่มีเป้าหมายในการสร้างขึ้นเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนในชุมชน           โบราณสถานปรางค์กู่ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองบัว ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ กรมศิลปากร ปัจจุบัน ประกาศขึ้นทะเบียนเเละกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานปรางค์กู่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งเเต่ ปี 2525 โดย กรมศิลปากร ดำเนินการขุดค้น – ขุดแต่งศึกษาโบราณสถานปรางค์กู่ ในปีปีงบประมาณ พ.ศ.2540 จากนั้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2541-2542 ได้ดำเนินการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ ------------------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา------------------------------------------------------------





องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี เรื่อง ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองชลบุรี ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองชลบุรี ตั้งอยู่ ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานยาว(ปัจจุบันคือซอยฑีฆามารค) หันหน้าลงทะเล ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนี้ไม่ใช่ศาลหลักเมือง เนื่องจากชลบุรีในสมัยก่อนนั้นเป็นเมืองชั้นจัตวาจึงไม่มีเสาหลักเมืองหรือรับพระราชทานพระราชแสงอาญาสิทธิ์ ในปี พ.ศ.๒๕๕๐ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ประทานชื่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนี้ว่า “สิริมหามงคลชลบุรี” ที่มา : ธีรชัย ทองธรรมชาติ. รวมเรื่องเมืองชล ๒ : ชลบุรีในอดีต. ชลบุรี : ยุวพุทธิกสมาคมชลบุรี ในพระสังฆราชูปถัมภ์ สามัคคิยสภา วัดกำแพง, ๒๕๕๓. ภาพประกอบ : ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองชลบุรี.ค้นหาเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2564, จาก http://www.rplnews.com/2016/07/blog-post.html ศาลหลักเมืองชลบุรี.(2563).ค้นหาเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2564, จาก https://c.mi.com/oc/thread-3450228-1-0.html?mobile=no ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองชลบุรี.ค้นหาเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2564, จาก https://www.thai-tour.com/place/chonburi/mueangchonburi/4253 #หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองชลบุรี #ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสิริมหามงคลชลบุรี #ชลบุรี                


องค์ความรู้มรดกศิลปวัฒนธรรม ตอนที่ ๑ "เขมร - ขแมร์ ที่แท้คำเดียวกันแค่ต่างยุค" โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ศานติ ภักดีคำอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย





     สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔      ไม้ขายาว ๕๐.๕ เซนติเมตร ไม้ขวางยาว ๔๔ เซนติเมตร      สมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานเมื่อ ปีชวด พ.ศ.๒๔๔๓      กากะเยีย คือ อุปกรณ์สำหรับวางคัมภีร์ใบลาน  โดยทั่วไปทำจากไม้กลึง ๘ ชิ้น ร้อยเชือกหรือด้ายร้อยไม้ทั้ง ๘ อัน ให้เรียงไขว้กัน  เมื่อกางออกจะทรงเหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยม  เป็นขาตั้ง ๔ ชิ้น และชิ้นที่ขวางด้านบน ๔ ชั้น  ไม้ชุดยาว ๔ อัน  ทำหน้าที่เป็นขาตั้ง ไขว้กัน  ส่วนเส้นเชือกซึ่งร้อยอยู่ที่ปลายไม้นั้น  จะขึงตึงขนานไปกับไม้ชุดสั้นทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งใช้รองรับใบลาน สำหรับกากะเยียอันนี้  กลึงจากงาช้างทั้งหมด แต่ละชิ้นใช้งาช้างต่อกัน ๓ ส่วน  ปลายแต่ละไม้กลึงตกแต่งเป็นหัวเม็ด       การใช้กากะเยียลักษณะเป็นไม้ ๘ ชิ้นไขว้กัน ปรากฎมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๔ หรือ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว ที่ภาพสลักที่พนักกำแพงแก้วฐานประทักษิณชั้นที่ ๑ ของโบราณสถานบุโรพุทโธ ในชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย  สำหรับในประเทศไทย จากศิลาจารึกวัดเขมา เมืองสุโขทัย ระบุพ.ศ. ๒๐๗๙ ในด้านที่ ๑ กล่าวถึงเจ้าเทพรูจีพร้อมสัตบุรุษได้บำเพ็ญกุศล ตอนหนึ่งความว่า “กากะเยียผืนหนึ่งค่าหกบาท อำแดงกอนซื้อไว้รองพระธรรมคัมภีร์...” ซึ่งระบุชัดว่า “กากะเยีย” มีหน้าที่สำหรับใช้รองคัมภีร์ใบลานโดยเฉพาะ และมีลักษณะนามเป็น “ผืน”       สำหรับประวัติของกากะเยียงานี้  จากพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ราชเลขาธิการในพระองค์ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓)  ว่าด้วยสิ่งของที่มีผู้ถวายในการตั้งหอพุทธศาสน์สังคหะ วัดเบญจมบพิตร ความตอนหนึ่งว่า  “ของที่ได้วันนี้คือ กรมหมื่นวชิรญาณ ให้...กากะเยียงาเปนของกรมสมเด็จพระปรมานุชิต พระปิฎกโกศล องค์ไหนไม่รู้  ให้ลูกชายใหญ่ [สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร] เมื่อบวชเณร  เมื่อลูกชายใหญ่จะสึกได้มอบถวายกรมหมื่นวชิรญาณไว้...”       ภายหลังเมื่อยุบรวมหอพุทธศาสน์สังคหะกับหอพระมณเฑียรธรรม ตั้งหอพระสมุดสำหรับพระนครแล้ว วัตถุบางส่วนจึงได้นำมาเก็บรักษา ณ หอมิวเซียม หรือปัจจุบันก็คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่มาข้อมูล วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. ประมวลเอกสารสำคัญเนื่องในการสถาปนา วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. กรุงเทพฯ : วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม, ๒๕๓๘. อุไร คำมีภา, “กากะเยีย อุปกรณ์สำหรับรองรับคัมภีร์ใบลาน” เพจหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียติ ร.๙ นครราชสีมา (ออนไลน์)


ชื่อเรื่อง                                อนิจฺจลกฺขณกถา (อนิจฺจลกฺขณกถา) สพ.บ.                                  268/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           40 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา--หลักธรรม                                           พุทธศาสนา--หัวข้อธรรม บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


โบราณวัตถุทั้ง ๑๓ ชิ้นที่ต้องห้ามพลาด เมื่อมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ได้แก่ ๑. งาช้างดำ เป็นโบราณวัตถุคู่บ้าน คู่เมืองน่าน ที่อยู่คู่กับหอคำหรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน มาจนถึงปัจจุบัน ๒. อาณาจักรหลักคำ หรือ กฎหมายเมืองน่าน เขียนขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๖ โดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๖๒ เพื่อใช้เป็นกฎหมายเฉพาะของเมืองน่าน และเมืองต่างๆ ที่ขึ้นกับเมืองน่าน ๓. พระสุพรรณบัฏ จารึกพระนามเพื่อเลื่อนฐานันดรศักดิ์ เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๖๓ ผู้สร้างหอคำหรือคุ้มหลวงเมืองน่าน ๔. ตราประทับรูปโคอุสุภราช ทำจากงาช้าง ใช้เป็นตราเมือง สำหรับประทับในหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานและหนังสือราชการงานเมืองต่างๆ ๕. ศิลาจารึกหลักที่ ๖๔ จากวัดพระธาตุช้างค้ำฯ กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรไมตรีต่อกันระหว่างเจ้าผู้ครองนครน่านและกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ๖. ศิลาจารึกหลักที่ ๗๔ กล่าวถึงการบูรณะซ่อมแซมวัดหลวงกลางเวียงหรือวัดพระธาตุช้างค้ำฯ โดยพญาพลเทพฤาชัย ๗. พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ศิลปะอยุธยา อายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ทำจากไม้ ลงรักปิดทอง ได้จากโบสถ์วัดท่าปลา บริเวณเหนือเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ๘. พระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืน ศิลปะล้านนา อายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ทำด้วยไม้ ลงรักปิดทอง จากวัดบุญยืน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน สันนิษฐานว่าเจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๕๗ คงให้สร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับวิหารวัดบุญยืน๙. หีบพระธรรม จากวัดบุญยืน อำเภอเวียงสา ทำจากไม้ลงรักปิดทอง สลักภาพนูนต่ำเรื่องพระเจ้าสิริจุฑามณี มีจารึกระบุว่าพระเถระชื่อทิพพาลังการ และเจ้าผู้ครองนครน่าน (เจ้าอัตถวรปัญโญ) ให้สร้างขึ้นเมื่อ จ.ศ. ๑๑๕๗ หรือ พ.ศ. ๒๓๓๘ ๑๐. ปัญจรูป สัตว์ในความเชื่อของพม่า มีลักษณะเป็นสัตว์ผสม ๕ ชนิด ได้แก่ มีหัวเป็นสิงห์ มีงวงและงาเป็นช้าง มีขาและเขาเป็นกวาง มีปีกเป็นหงส์ มีลำตัวและหางเป็นปลา บ้างก็ว่าลำตัวเป็นพญานาค ๑๑. หน้ากากฝาโลงไม้ สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีลักษณะพิเศษของส่วนฝาโลง ซึ่งแกะสลักเป็นรูปนูนต่ำคล้ายคนหรือสัตว์ ไม่เคยพบที่ใดมาก่อนในประเทศไทย ได้จากถ้ำผาเวียง ๓ หรือถ้ำหีบ ตำบลส้าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ๑๒. กลองมโหระทึก สำริด อายุประมาณ ๒,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว พบจำนวน ๒ ใบ ที่บ้านบ่อหลวง ตำบลบ่อเกลือใต้ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ๑๓. ซิ่นลายน้ำไหล มีลักษณะลวดลาย ที่จำลองภาพของสายน้ำหรือคลื่นน้ำ ซึ่งมีลักษณะเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา เป็นเอกลักษณ์ของผ้าซิ่นเมืองน่านรูปแบบหนึ่ง--------------------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : Nan national Museum พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน https://www.facebook.com/1116844555110984/posts/3557601037701978/


เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่ภาคเหนือ : ตอนที่ ๕ ลำปางตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับทราบปัญหาและทรงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการในการพัฒนาประเทศเพื่อความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่จังหวัดลำปาง เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


black ribbon.