ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
“ท้อ” สัญลักษณ์แห่งการมีอายุยืนยาว“ลูกท้อ” หรือ “ลูกพีช” ในการรับรู้ของชาวตะวันตก (ภาษาจีน : 桃子 เถาจื่อ, ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus persica) เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ก่อนจะแพร่หลายไปยังยุโรปผ่านพ่อค้าชาวเปอร์เซีย และไปถึงทวีปอเมริกาพร้อมนักเดินเรือชาวสเปนในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลูกท้อจึงกลายเป็นผลไม้ที่รู้จักกันทั่วโลกนับแต่นั้นเป็นต้นมานอกจากความสำคัญในฐานะสมุนไพรที่มีสรรพคุณต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และระบบขับถ่ายแล้ว ลูกท้อยังมีบทบาทต่อวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างมากซึ่งถือว่าลูกท้อเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวและความเป็นอมตะ และถูกใช้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าโซ่ว ๑ ใน ๓ เทพแห่งดวงดาวของลัทธิเต๋า ฝู ลู่ โซ่ว (หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อ ฮก ลก ซิ่ว) นอกจากนี้ ลูกท้อยังหมายถึงฤดูใบไม้ผลิและความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากดอกท้อจะบานในเดือนมีนาคมซึ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันเป็นฤดูกาลที่พืชพรรณต่าง ๆ เริ่มผลิดอกออกผลหลังผ่านพ้นฤดูหนาวที่แห้งแล้ง อีกทั้งชาวจีนยังมีความเชื่อว่าต้นท้อสามารถป้องกันขับไล่ปีศาจได้ จึงนิยมนำต้นท้อหรือกิ่งท้อมาประดับตกแต่งภายในบ้าน ไม่เพียงเท่านั้น ลูกท้อยังปรากฏในตำนานเทพและวรรณกรรมหลายเรื่องของจีน เช่น เชื่อกันว่าพระแม่ซีหวังหมู่ ราชินีสวรรค์ผู้ปกครองเทพฝ่ายหญิง มีสวนท้อวิเศษอยู่บนเขาคุนหลุนที่มีสรรพคุณทำให้ผู้รับประทานเป็นอมตะ ดังที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง “ไซอิ๋ว” ที่ซุนหงอคงได้แอบกินลูกท้อในสวนของพระแม่ซีหวังหมู่จนหมดและกลายเป็นอมตะ หรือในบทประพันธ์ เรื่อง “สามก๊ก” ได้กล่าวว่าเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยสาบานเป็นพี่น้องกันในสวนท้อของเตียวหุย ซึ่งสวนท้อนั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงมิตรภาพของทั้งสามที่มีความยั่งยืนยาวนานดุจลูกท้อ รวมไปถึงซาลาเปาที่ปั้นและแต้มสีแดงให้เหมือนกับลูกท้ออย่างโซ่วเถา (壽桃, ภาษาแต้จิ๋ว : ซิ่วท้อ) อันเป็นอาหารที่ชาวจีนนิยมมอบให้ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุในโอกาสสำคัญ เพื่อเป็นการอวยพรให้มีอายุยืนยาวจากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ต้นท้อจึงมีอิทธิพลกับความเชื่อของชาวจีนเป็นอย่างมากเพราะมิได้ปรากฏอยู่แค่ในงานศิลปกรรม งานวรรณศิลป์เท่านั้น หากยังแฝงอยู่ในวิถีชีวิตของชาวจีนอีกด้วย เมื่อจีนมีการติดต่อกับดินแดนต่าง ๆ ดินแดนเหล่านั้นก็พลอยได้รับอิทธิพลทางความเชื่อเหล่านี้ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่ประเทศไทยนั่นเอง
กรมศิลปากร สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ โดยกลุ่มภาษาและวรรณกรรม จัดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "แบบเรียนรัตนโกสินทร์" ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องประชุมใหญ่ หอสมุดแห่งชาติ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร (*ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมฟังเต็มจำนวนแล้ว)
การสัมมนามีหัวข้อเรื่องที่น่าสนใจ ประกอบด้วย ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “คุณค่าและความสำคัญของแบบเรียนไทย”, จินดามณีรัตนโกสินทร์, แบบเรียนรัตนโกสินทร์ก่อนปฏิรูปการศึกษา และแบบเรียนของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายท่าน
ผู้สนใจร่วมฟังการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "แบบเรียนรัตนโกสินทร์" สามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
กรมศิลปากร ขอเชิญร่วมประกวดผลงานภาพถ่ายภายใต้หัวข้อ "แต่งไทย ชมวัดไชยฯ ยามราตรี" ชิงเงินรางวัลรวม 40,000 บาท ในงาน
"ราตรีนี้...ที่วัดไชยวัฒนาราม Ayutthaya Sundown"
- รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 20,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 10,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
- รางวัลพิเศษสำหรับภาพถ่ายวัยเกษียณสำราญ (นายแบบ/นางแบบ อายุมากกว่า 65 ปี )
- เงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
-------------------------------------------------
เปิดรับภาพตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2566 เวลา 23.59 น.
-------------------------------------------------
หัวข้อการประกวดภาพถ่าย
- ภาพถ่ายบุคคลแต่งกายชุดไทยยุคต่างๆ ภายในวัดไชยวัฒนารามในเวลากลางคืน
- ส่งภาพถ่ายได้ที่ e-mail contestayhispark@gmail.com
-------------------------------------------------
โปรดศึกษากติกาและรายละเอียดฉบับเต็ม ที่นี่
-------------------------------------------------
สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา Ayutthaya Historical Park (www.facebook/AY.HI.PARK) โทร. 0 3524 2286
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากร โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามกับกรมศิลปากร เพื่อเผยแพร่ผลงานการอนุรักษ์จัดเก็บคัมภีร์ใบลานวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยมีอาสาสมัครและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวม 25 คน ทำการสำรวจ อนุรักษ์ ลงทะเบียน จัดเก็บคัมภีร์ใบลานตามหลักวิชาการ ระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในการส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านวัฒนธรรม
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็นวัดสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์และมีคัมภีร์ใบลานพระไตรปิฎกบรรจุกล่องอยู่ในหอพระไตรปิฎก ซึ่งคัมภีร์ใบลานวัดราชประดิษฐฯ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเดิมภายในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริให้อัญเชิญคัมภีร์ใบลานพระไตรปิฎกดังกล่าวไปประดิษฐาน ณ หอพระไตรปิฎกวัดราชประดิษฐฯ โดยบรรจุไว้ในกล่องพระธรรม ทำด้วยไม้มีขนาดพอเหมาะกับคัมภีร์ชุดหนึ่งๆ หรือหมวดหนึ่งๆ ตามพระไตรปิฎก ด้านสันกล่องได้จารึกหมวดหมู่ชื่อเรื่องด้วยอักษรขอม ภาษาบาลี และภาษาบาลี-ไทย ลักษณะคล้ายประดับเกล็ดหอยฝังเนื้อไม้ วางเรียงไว้ตามชั้นต่างๆ ในตู้พระธรรมซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 อยู่ในฐานะเอกสารโบราณที่ควรอนุรักษ์จัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อการศึกษา ค้นคว้าและเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งนี้ นักภาษาโบราณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้นำอาสาสมัครเข้าสำรวจตรวจสอบปริมาณกล่องคัมภีร์อย่างละเอียด พบกล่องคัมภีร์ใบลานจำนวนทั้งสิ้น 87 กล่อง สภาพกล่องชำรุดเสียหาย ภายในกล่องพบคัมภีร์อยู่ในสภาพชำรุดมาก แยกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ คัมภีร์ใบลานที่จับผลึก ติดแน่น แข็งเป็นท่อน คัมภีร์ใบลานชำรุด พลัดผูก หัก งอ ผิดรูป และคัมภีร์ใบลาน ถูกแมลงสัตว์กัดกิน เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ป่นเป็นผง เมื่อประเมินปริมาณงานที่ต้องดำเนินการแล้ว มีคัมภีร์ใบลานที่ชำรุดไม่สามารถจัดหมวดหมู่ ชื่อเรื่อง ลงทะเบียนได้ประมาณ 80% ของคัมภีร์ที่มีอยู่ทั้งหมด ส่วนอีก 20% สามารถดำเนินการต่อในขั้นตอนตามหลักวิชาการได้ เช่น ทำความสะอาด เปลี่ยนสายสนอง อ่านวิเคราะห์ชื่อเรื่อง ออกเลขทะเบียน สำหรับแนวทางในการดำเนินงาน สำรวจ อนุรักษ์ จัดเก็บ คัมภีร์ใบลานชำรุดมากทั้ง 3 ลักษณะนั้น จะมีการทำความสะอาด เขียนป้ายบอกลักษณะชำรุด ห่อ มัด และจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาลักษณะทางกายภาพของคัมภีร์ ส่วนคัมภีร์ใบลานที่สามารถอ่านศึกษาเนื้อหาได้ จะได้ดำเนินการตามหลักวิชาการในการอนุรักษ์ ทำทะเบียน และจัดเก็บต่อไป
อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการบูรณาการความร่วมมือและสร้างการรับรู้ระหว่างคณะสงฆ์ กรมศิลปากร และภาคส่วนประชาชน เพื่ออนุรักษ์สืบสานคัมภีร์ใบลานซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญาของบรรพชนให้มีอายุยืนยาว อีกทั้งยังเกิดเครือข่ายอาสาสมัครอนุรักษ์เอกสารโบราณ ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลและส่งต่อมรดกภูมิปัญญาให้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นสืบไป
เศียรพระพุทธรูปทองคำ
แบบศิลปะ : ทวารวดี
ชนิด : ทอง
ขนาด : กว้าง 4 เซนติเมตร สูง 5.3 เซนติเมตร
อายุสมัย : ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 14 (หรือราว 1,200 - 1,400 ปีมาแล้ว)
กษณะ : ส่วนของพระเศียรพระพุทธรูปขนาดเล็กพระพักตร์กลม พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรปิด พระโอษฐ์อมยิ้ม พระกรรณ ยาวเรียว พระพักตร์แสดงความมีเมตตา แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีลายละเอียดคมชัดแสดงถึงความชำนาญของช่างทองสมัยนั้น
ประวัติ : ขุดพบที่เจดีย์หมายเลข 2 อำเภออู่ทอง
สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/uthong/360/model/23/
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/uthong
#องค์ความรู้อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเมืองชากังราวในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับพระราชหัตถเลขา...เมืองชากังราว เป็นเมืองโบราณที่ปรากฏชื่อในกฎหมายตราสามดวง (พ.ศ. 1899 รัชกาลพระเจ้าอู่ทอง) และศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ (พ.ศ. 1911 รัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย)) นอกจากนี้ยังพบชื่อเมืองชากังราวในพระราชพงศาวดาร ได้แก่ พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา.พระราชพงศาวดารเป็นหลักฐานชั้นรองหรือทุติยภูมิ (secondary source) หมายถึงหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ไม่ได้เกิดขึ้นร่วมสมัยกับเหตุการณ์นั้น ๆ..พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์คำอธิบายในฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกไว้ว่าพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ เป็นหนังสือพงศาวดารที่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (แพ เปรียญ) ได้มาจากบ้านราษฎรแห่งหนึ่ง เอามาให้แก่หอสมุดวชิรญาณเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ร.ศ. 126 (พ.ศ. 2450) ลายมือเขียนหนังสือลักษณะคล้ายสมัยอยุธยาตอนปลาย หรือต้นรัตนโกสินทร์ โดยปรากฏบานแผนกกล่าวถึงการเรียบเรียงพระราชพงศาวดารฉบับนี้เมื่อ จ.ศ. 1042 (พ.ศ. 2223) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ พ.ศ. 2199 - 2231) ความว่า.“ศุภมัศดุ 1042 ศก (พ.ศ. 2223) วอกนักษัตร ณ วันพุธ เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ทรงพระกรุณาโปรดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า ให้เอากฎหมายเหตุของพระโหราเขียนไว้แต่ก่อนและกฎหมายเหตุซึ่งหาได้แต่หอหนังสือ และเหตุซึ่งมีในพระราชพงษาวดารนั้น ให้คัดเข้าด้วยกันเป็นแห่งเดียว ให้ระดับศักราชมาคุงเท่าบัดนี้” .พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์มีข้อความกล่าวถึงเมืองชากังราว จำนวน 5 ครั้ง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 โดยปรากฏในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) (ครองราชย์ พ.ศ. 1913 - 1925) จำนวน 4 ครั้ง และในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ พ.ศ. 1991 - 2031) จำนวน 1 ครั้ง ดังนี้.ครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 1916 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จไปตีเมืองชากังราว ในครั้งนั้นมีพญาคำแหงเป็นเจ้าเมืองชากังราว.“...ศักราช 735 ฉลูศก (พ.ศ.1916) เสด็จไปเมืองชากัง (ราวแลพระญา) ใสแก้วแลพระญาคำแหงเจ้าเมืองชากังราว ออกต่อรบท่าน ๆ (ได้ฆ่าพระญา) ใสแก้วตาย แลพระญาคำแหงแลพลทั้งปวงหนีเข้าเมืองได้ แลทัพ (หลวง) เสด็จกลับคืนมา...”.ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 1919 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จไปตีเมืองชากังราว (ครั้งที่ 2).“...ศักราช 738 มโรงศก (พ.ศ.1919) เสด็จไปเอาเมือง (ชากังราว) เล่า ครั้งนั้นพระญาคำแหงแลท้าวผ่าคอง คิดด้วยกันว่าจะยอทัพ (หลวง แลจะ) ทำมิได้ แลท้าวผ่าคองเลิกทัพหนี แลจึงเสด็จยกทัพหลวงตาม แลท้าวผ่าคองนั้นแตก แลจับได้ตัวท้าวพระญาแลเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แลทัพหลวงเสด็จกลับคืน...”.ครั้งที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 1921 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จไปตีเมืองชากังราว (ครั้งที่ 3) ในครั้งนั้นพระมหาธรรมราชาออกมาถวายบังคม สันนิษฐานว่ามหาธรรมราชาที่กล่าวถึงในข้อความ คือ พระมหาธรรมราชาที่ 2 (ลือไทย) (ครองราชย์ พ.ศ. 1911 - 1952).“...ศักราช (740) มะเมียศก (พ.ศ.1921) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้นมหาธรรมราชาออกรบทัพหลวงเปนสามารถ แลเห็นว่าจะต่อด้วยทัพหลวงมิได้ จึงมหาธรรมราชาออกถวายบังคม...”.ครั้งที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 1931 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จไปตีเมืองชากังราว (ครั้งที่ 4) แต่พระองค์ทรงพระประชวรจึงยกทัพกลับ และเสด็จสวรรคตระหว่างทาง .“...ศักราช 750 มะโรงศก (พ.ศ.1931) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าทรงพระประชวรหนัก แลเสด็จกลับคืน ครั้นเถิงกลางทางสมเด็จพระบรมราชาเจ้านฤพาน...”.ครั้งที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 1994 ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏข้อความว่ามหาราชเสด็จมาตีเมืองชากังราวได้ จากนั้นไปตีเมืองสุโขทัย แต่ไม่สำเร็จจึงยกทัพกลับ สันนิษฐานว่ามหาราชที่กล่าวถึงคือพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา (ครองราชย์ พ.ศ. 1985 - 2031) .“...ศักราช 813 มะแมศก (พ.ศ.1994) ครั้งนั้นมหาราชมาเอาเมืองชากังราวได้แล้วจึงมาเอาเมืองสุโขไทย เข้าปล้นเมืองมีได้ก็เลิกทัพกลับคืน...”..พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) มีบานแผนกกล่าวถึงการชำระพระราชพงศาวดารในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ตรงกับ พ.ศ. 2338 ความว่า.“...ศุภมัศดุศักราช 1157 (พ.ศ. 2338) ปีเถาะสัปตศก สมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชพระเจ้าอยู่หัว ผ่านถวัลราชณกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาเถลิงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงชำระพระราชพงศาวดาร... ” .พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงเมืองชากังราว ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ยกทัพมาตีเมืองชากังราว จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้.“...ศักราช 735 ปีฉลูเบญจศก (พ.ศ.1916) เสด็จไปเอาเมืองชากังราว และพระยาไซ้แก้ว พระยากำแหง เจ้าเมืองออกต่อรบท่าน ๆ ได้ตัวพระยาไซ้แก้วตาย แต่พระยากำแหงและไพร่พลทั้งปวงหนีเข้าเมืองได้ ทัพหลวงก็เสด็จกลับคืนมาพระนคร...” .“...ศักราช 738 ปีมะโรงอัฐศก (พ.ศ.1919) เสด็จไปเอาเมืองชากังราว ได้พระยากำแหง และท้าวผากองคิดกันว่าจะยอทัพหลวง ทำมิได้ ท้าวผากองเลิกทัพหนี เสด็จยกทัพหลวงตามตีทัพท้าวผากองแตก ได้ท้าวพระยาเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แล้วทัพหลวงเสด็จกลับคืน...” .“...ศักราช 740 ปีมะเมียสัมฤทธิ์ศก (พ.ศ.1921) ไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้นมหาธรรมราชาออกมาถวายบังคม...”..พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์คำอธิบายในฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกไว้ว่า พระราชพงศาวดารฉบับนี้ เข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (ครองราชย์ พ.ศ. 2394 - 2411) โปรดให้ชำระขึ้นใหม่ เมื่อชำระแล้วนำต้นฉบับขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายฉบับ 1 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรวจเห็นว่าไม่เรียบร้อยดี ทรงแก้ไข จึงปรากฏพระราชหัตถเลขาอยู่ในต้นฉบับ กรรมการหอพระสมุดจึงเห็นควรเรียกว่า “พระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา” .พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงเมืองชากังราว ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ยกทัพมาตีเมืองชากังราว จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้.“...ศักราช 735 ปีฉลู เบญจศก (พ.ศ.1916) เสด็จไปเอาเมืองชากังราว และพระยาชัยแก้ว พระยากำแหง เจ้าเมืองออกต่อรบท่าน ๆ ได้พระยาชัยแก้วตาย แต่พระยากำแหงและไพร่พลทั้งปวงหนีเข้าเมืองได้ ทัพหลวงก็เสด็จกลับคืนมาพระนคร...” .“...ศักราช 738 ปีมะโรง อัฐศก (พ.ศ.1919) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวได้ พระยากำแหง และท้าวผากองคิดกันว่า จะยอทัพหลวงทำมิได้ ท้าวผากองเลิกทัพหนี เสด็จยกตามตีทัพท้าวผากองแตก ได้ท้าวพระยาเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แล้วทัพหลวงเสด็จกลับคืน...” .“...ศักราช 740 ปีมะเมีย สัมฤทธิศก (พ.ศ.1921) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้นพระมหาธรรมราชาเมืองพระพิษณุโลกออกมาถวายบังคม...”..บานแผนกที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารทั้งสามจัดเรียงตามลำดับได้ดังนี้ พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (พ.ศ. 2223) พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (พ.ศ. 2338) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา (พ.ศ. 2394 – 2411) ซึ่งมีข้อความคล้ายคลึงกันเกี่ยวกับการยกทัพมาตีเมืองชากังราวครั้งที่ 1 – 3 ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ปรากฏข้อความเพิ่มขึ้นในครั้งที่ 4 และ 5 โดยเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองชากังราวในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) แสดงถึงการเป็นเมืองสำคัญทางใดทางหนึ่งอันเป็นเหตุให้พระองค์ต้องขึ้นไปตีเมืองชากังราวถึง 4 ครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ส่วนครั้งที่ 5 กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าติโลกราชเสด็จมาตีเมืองชากังราวก่อนมายังเมืองสุโขทัย ทั้งนี้ไม่ว่าจากเอกสารกฎหมายตราสามดวง ศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ หรือพระราชพงศาวดารทั้งสามฉบับดังกล่าว ล้วนแต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งของเมืองชากังราวได้ เพียงอนุมานได้ว่าเมืองชากังราวนั้นเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัยเท่านั้น...เอกสารอ้างอิง : กรรมการหอสมุดวชิรญาณ. (2450). พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. โรงพิมพ์ไทย.กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. (2542). พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรมศิลปากร.พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. (2559). ศรีปัญญา.ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2559). โบราณคดีและประวัติศาสตร์ในประเทศไทยฉบับคู่มือครูสังคมศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 2). คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรและองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) พื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง.มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. (2554). นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา.หอพระสมุดวชิรญาณ. (2455). พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค 1. ม.ป.พ.
เนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย ทางสำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี โดยหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ขอนำเสนอ 9 สถานที่ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่คุณสามารถเดินทางไปสักการะบูชาขอพร ช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ตั้งแต่ต้นปียันปลายปี หรือใครเป็นสายมูก็สามารถเดินทางไปขอพรให้สมหวัง แก้ปีชงกันได้ตามความศรัทธา ดังนี้1. พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี2. หลวงพ่อสีชมพู วัดเถรพลาย ตำบลวังน้ำซับ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี3. พระคณเศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี4. หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี5. ศาลาหลักเมืองสุพรรณบุรี ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี6. รอยพระพุทธบาท วัดเขาดีสลัก ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี7. พระสังกัจจายน์ วัดสังฆจายเถร ตำบลสวนแตง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี8. คชลักษมี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี9. สมเด็จพระพุทธโคดม วัดไผ่โรงวัว ตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
กระปุกพร้อมฝา
แบบศิลปะ : จีน
ชนิด : ดินเผาเคลือบ
ขนาด : ปากกว้าง 7.5 เซนติเมตร สูง 5.7 เซนติเมตร
ลักษณะ : กระปุกพร้อมฝา ทรงคล้ายตลับ เคลือบสีขาว แดง เขียว น้ำเงิน ภายในบรรจุกระดูก
สภาพ : น้ำยาเคลือบเสื่อมสภาพ ชำรุด
ประวัติ : ขุดพบใต้ฐานชั้นล่างของแท่นบูชาด้านทิศใต้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2523 ได้จากการบูรณะปรางค์วัดมหาธาตุ ราชบุรี กองโบราณคดีส่งมาให้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2523
สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/ratchaburi/360/model/34/
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/ratchaburi
ตรี อมาตยกุล. จังหวัดราชบุรี. พระนคร: โรงพิมพ์การพิมพ์พาณิชย์, 2501. (พิมพ์เป็นมุทิตาอนุสรณ์ในงานฉลองพระมหาช้อย มหาธี โร ป.ธ. 9 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระ ราชาคณะที่ พระศรีธีรพงศ์ ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2501 ณ วัดมหาธาตุ วรวิหาร ราชบุรี).
ธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรุงเทพฯ จ.กรุงเทพฯ (เวลา 10.30-11.30 น.) จำนวน 32 คน
สภาพธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ 37 ประการ หมายถึง การอบรมวิปัสสนาภาวนา เริ่มตั้งแต่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 72/2หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา