ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
กองโบราณคดีใต้น้ำ ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เรือโบราณบ้านคลองยวน: ซากเรือผูกแบบสันรูเจาะดั้งเดิมของประเทศไทย” จัดแสดงเรือโบราณลำจริง ที่ผ่านการคืนสภาพรูปทรงให้เหมือนเดิมมากที่สุด เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนและผู้สนใจได้เห็นรูปร่างเดิมของเรือพื้นถิ่นของประเทศไทย
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2545 เมื่อซากเรือลำนี้ถูกค้นพบครั้งแรกจากการขุดสระน้ำในสวนปาล์มของนางพรพิมล มีนุสรณ์ โดยถูกกู้ซากขึ้นมาเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี บันทึกเท่าที่เหลืออยู่ระบุเพียงขนาดซากตัวเรือเมื่อครั้งแรกที่พบ ซึ่งมีความยาว 15 เมตรและกว้าง 3.5 เมตร โดยไม่ปรากฏภาพถ่ายเก่าใดๆ ต่อมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2557 เรือลำนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกการสำรวจทางโบราณคดีเพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตของนางสาวเพลงเมธา ขาวหนูนา ซึ่งปัจจุบันเป็นนักโบราณคดีชำนาญการที่สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ในตอนนั้นซากตัวเรือไม่เหลือเค้าเดิมของเรือแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่บ่งบอกความเป็นเรือคือส่วนทวนหัวและทวนท้าย โดยชิ้นส่วนอื่นๆถูกวางซ้อนทับกันและเก็บรักษาไว้ในศาลากลางสวนปาล์ม จนกระทั่งกองโบราณคดีใต้น้ำจัดโครงการสำรวจแหล่งโบราณคดีภาคใต้ และทราบข่าวการค้นพบเรือโบราณที่บ้านคลองยวน เมื่อตรวจสอบถึงพบว่าเรือลำนี้ใช้เทคนิคการต่อที่เก่าแก่ อาจมีอายุถึง 1,000 ปี จึงได้ขอซากตัวเรือมาศึกษา อนุรักษ์ และมีจุดหมายหลักคือการประกอบคืนรูปทรงเพื่อจัดแสดง
เรือโบราณบ้านคลองยวน อ.ไชยา จังหวัดสุราษฎรธานี ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่มีความเก่าแก่ถึง ๑,๒๐๐ ปี และสะท้อนให้เห็นถึงเทคนิคการต่อเรือแบบดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใช้เทคนิคการต่อเรือด้วยการผูกรัดด้วยเชือกและตะปูไม้ ซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้แล้วในปัจจุบัน เรือลำนี้อาจเป็นหลักฐานเพียงแห่งเดียวของเรือผูกแบบ “สันรูเจาะหรือ Lashed Lug” ที่พบในประเทศไทย ที่ยังสามารถประกอบคืนรูปร่างเดิมและเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายโดยอาศัยหลักการศึกษาทางโบราณคดี
ขอเชิญชวนผู้สนใจทุกท่าน หากเดินทางมาจังหวัดจันทบุรีอยากให้เข้ามาเยี่ยมชมนิทรรศการที่สำคัญนี้ เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 10.00 - 15.00 น. ณ กองโบราณคดีใต้น้ำ จังหวัดจันทบุรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3939 1236 Facebook "กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร - UADThailand"
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “แหล่งเรือจมสุทธาทิพย์ แหล่งดำน้ำท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของไทย” วิทยากร นายวสันต์ เทพสุริยานนท์ ผู้อำนวยการกองโบราณคดีใต้น้ำ และนายวงศกร ระโหฐาน นักโบราณคดีชำนาญการ กองโบราณคดีใต้น้ำ ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๗ - กันยายน ๒๕๖๘
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ขอเชิญร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ เนื่องในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ศิลป์ "การอนุรักษ์งานศิลป์ไทย : งานประคบทองเขียนสี" แรงบันดาลใจจากลวดลายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยากรโดย นางประภาพร ตราชูชาติ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม (วิจัยและพัฒนาศิลปกรรม) นายเกรียงศักดิ์ เนียมสุด นายช่างศิลปกรรมอาวุโส คณะทำงานกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร (รับจำนวนจำกัด) สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ หรือทางกล่องข้อความเฟซบุ๊ก “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet National Museum” https://www.facebook.com/kamphaengphetnationalmuseum
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ขอเชิญร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ เนื่องในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ศิลป์ การอบรมศิลปะเพื่อเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ พบกับกิจกรรม Workshop “การประคบลายสีเบื้องต้น” เสริมสร้างประสบการณ์งานศิลปะ ที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยากรโดย นางสาวชุตินันท์ กฤชนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปะและการช่างไทย และคณะทำงานกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรวันศุกร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
รับจำนวนจำกัด สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ หรือทางกล่องข้อความเฟซบุ๊ก “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet National Museum” https://www.facebook.com/kamphaengphetnationalmuseum
ชวนร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ เนื่องในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ศิลป์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ เนื่องในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ศิลป์ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
- วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๘ "การอนุรักษ์งานศิลป์ไทย : งานประคบทองเขียนสี" แรงบันดาลใจจากลวดลายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยากรโดย นางประภาพร ตราชูชาติ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม (วิจัยและพัฒนาศิลปกรรม) นายเกรียงศักดิ์ เนียมสุด นายช่างศิลปกรรมอาวุโส คณะทำงานกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร - วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๘ การอบรมศิลปะเพื่อเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ พบกับกิจกรรม Workshop “การประคบลายสีเบื้องต้น” เสริมสร้างประสบการณ์งานศิลปะ ที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยากรโดย นางสาวชุตินันท์ กฤชนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปะและการช่างไทย และคณะทำงานกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
ทั้ง ๒ กิจกรรม *รับจำนวนจำกัด สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ หรือทางกล่องข้อความเฟซบุ๊ก “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet National Museum” https://www.facebook.com/kamphaengphetnationalmuseum
เจดีย์หลวง เป็นมหาเจดีย์ทรงปราสาทที่ยิ่งใหญ่แบบล้านนา โดยอาศัยองค์ประกอบของเจดีย์ทรงระฆังมาไว้เหนือฐานทักษิณสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของเจดีย์รูปทรงปราสาท ซึ่งองค์ระฆังส่วนยอดเจดีย์ได้พังทลายหักโค่นลงในสมัยพระนางจิระประภา เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว ส่วนบนของฐานทักษิณประดับด้วยช้างล้อมด้านทั้งสี่มีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ด้าน
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระเจ้าแผ่นดินมคธ ประเทศอินเดีย โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ซึ่งเป็นเป็นพระภิกษุ และนักปราชญ์ชาวพุทธ ได้ส่งพระสมณทูตออกไปประกาศศาสนา คือ พระโสณะและพระอุตตระ เป็นเป็นชาวชมพูทวีป และได้ถูกส่งมายังดินแดนสุวรรณภูมิในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะปรากฏในคัมภีร์ชาดกของพระพุทธศาสนา เช่น มหาชนกชาดก เป็นต้น เกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และประกาศศาสนามีปูชนียวัตถุ นอกจากนี้ได้กล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ คือ พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เป็นต้น
ในสมัยก่อนที่จะมาเป็นพระธาตุเจดีย์หลวง เป็นเพียงเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุขนาดเล็ก สูง ๓ ศอก ไว้เพื่อสักการบูชาเป็นสิริมงคลและยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งจากตำนานเล่าว่ามีมนุษย์ผู้หนึ่งอายุกว่า ๑๒๐ ปี มีใจเลื่อมใสในพระบรมธาตุนั้น ถึงกับนำเอาเอาผ้าที่ห่มชุบน้ำมันจุดบูชา และได้มีคำทำนายในกาลก่อนตามบุพพนิมิตรนี้ว่า ต่อไปข้างหน้าที่ตรงนี้จะเป็นพระอารามใหญ่ ชื่อว่า “วัดโชติการามวิหาร” แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว
พระธาตุเจดีย์หลวง ใช้ระยะเวลาในการสร้างหลายสมัยกว่าจะแล้วเสร็จ โดยในหน้าหนังสือเรื่อง ชินกาลมาลีปกรณ์ (หน้า ๙๖) ระบุว่าพระเจ้าผายู พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๕ แห่ง ราชวงศ์มังราย เป็นผู้สร้างเจดีย์หลวงขึ้นกลางเมือง มีความสูง ๗๖ ศอก ฐานแต่ละด้านกว้าง ๔๘ ศอก
ต่อมาในปีพ.ศ. ๑๙๓๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๗ โอรสของ พระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๖ กล่าวถึงตำนานของวัดเจดีย์หลวง สรุปความว่า เมื่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ใหญ่ต้นหนึ่ง ทางไปเมืองพุกาม ประเทศพม่า ครั้งนั้นได้มีพ่อค้าชาวเชียงใหม่เดินทางไปค้าขายในเมืองพุกาม ได้ไปพักค้างคืนอยู่ใกล้ต้นไม้นั้น ในคืนนั้นรุกขเทวดาอันมีชาติเดิมเป็นพระเจ้ากือนา ทรงแสดงตนให้ปรากฏ และได้บอกเล่าว่าตนคือ พระเจ้ากือนาได้มาบังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่นี้ ขอให้พวกพ่อค้าได้ทูลพระเจ้าแสนเมืองมา ราชโอรสด้วยว่า ให้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งให้สูงกว่าพระเจดีย์ทั้งหลาย โดยให้คนทั้งหลายซึ่งอยู่ไกลประมาณ ๒๐๐๐ วา หรือ ๔ กิโลเมตร ได้เห็นแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับตน เพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลกด้วยบุญกุศลนั้น เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมาทรงทราบ และทรงแสดงถึงความกตัญญู เพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระราชบิดา หลังจากนั้นทรงพบพระเจดีย์องค์เล็กที่สร้างไว้แต่ในครั้งอดีต
เมื่อวันพุธ ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๗ เหนือ ปีมะเมีย พ.ศ. ๑๙๓๔ ตรงกับจุลศักราช ๗๕๒ เวลาเย็นเป็นมหาฤกษ์ พระเจ้าแสนเมืองมาพร้อมเสนาอำมาตย์และสมณพราหมณ์ อุบาสก อุบสิกา ได้ทำพิธียกเอาต้นมหาโพธิ์ต้นหนึ่ง ซึ่งใช้เงินประดิษฐ์เป็นลำต้น ใช้ทองคำประดิษฐ์เป็นใบ และยอดสูงเท่าองค์พระเจ้าแสนเมืองมา เข้าไปไว้ในท่ามกลางมหาเจดีย์อันจะเริ่มก่อนั้น แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่ง พระพุทธรูปเงินองค์หนึ่ง ประดิษฐานไว้ ณ โคนต้นมหาโพธิ์กันพร้อมด้วยเครื่องสักการบูชาเป็นอันมาก และได้เริ่มก่อสร้างพระมหาเจดีย์ตั้งแต่วันนั้นมาโดยลำดับ การก่อสร้างได้ดำเนินมานานถึง ๑๐ ปี ก็มาพบอุปสรรคหลายอย่างประกอบกับพระเจ้าแสนเมืองมาสวรรคต การก่อสร้างจึงต้องหยุดชะงักตามไปด้วย
ต่อมาในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์มังราย ผู้เป็นรัชทายาทสืบพระราชสมบัติ แต่ในขณะนั้นพระเจ้าสามฝั่งแกนนั้นยังทรงพระเยาว์อยู่มาก พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามว่า “พระนางติโลกจุฑาราชเทวี” จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระนางติโลกจุฑาราชเทวีพระราชมารดาได้ดำเนินการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ โดยหน้ามุขประสาทนั้นต่อขึ้นไปอีกนานได้ ๔ ปี จนถึงปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในวันเพ็ญ เดือน ๑๐ สำเร็จเป็นเจดีย์โดยสมบูรณ์ พระนางติโลกจุฑาเทวีพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ สมณะ ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ร่วมทำพิธียกฉัตรยอดมหาเจดีย์อันสร้างด้วยทองคำหนัก ๘,๙๐๒ เสี้ยวคำ ทั้งเอาแก้วสามดวงชุมนุมกันใส่ยังยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ส่วนสูงนับแต่ธรณีถึงยอด ๓๙ วา มหายอดเจดีย์นั้นกว้าง ๒๐ วาในทุกด้าน พระมหาเจดีย์ประดับไปด้วยซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน มีพระพุทธรูปใหญ่นั่งสมาธิ ทั้ง ๔ ด้าน มีรูปนาค ๘ ตัวๆ ๕ หัว อยู่ใน ๒ ข้างบันได มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายปราสาท มีรูปช้าง ๒๘ เชือก และรูปร่างของมหาเจดีย์ที่สร้างสำเร็จแล้วสามารถมองเห็นจากระยะไกลถึง ๒,๐๐๐ วา ซึ่งเป็นไปตามพระราชประสงค์
เมื่อปีพ.ศ. ๑๙๘๖ พระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๙ พระราชโอรสในพระเจ้าแสนเมืองมา ซึ่งสมัยนั้นพระมหาสัทธรรมกิตติเถระ เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดโชติการามวิหาร มีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์ และพระวิหารที่ชำรุดทรุดโทรม จึงปรึกษากับหมื่นช่าง ซึ่งเป็นชาวพุกาม ประเทศพม่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากทางด้านนี้ ต่อมาหมื่นช่างรับอาสาไปกราบทูลพระเจ้าติโลกราช พระองค์จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสที่จะดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ ซึ่งตรงกับปีพ.ศ. ๒๐๑๗ ปีมะเส็ง
ครั้งนั้นได้ทำการปรับเปลี่ยนวิหารขึ้นใหม่ มีความยาว ๑๙ วา ส่วนกว้าง ๔ วา นอกจากนี้ยังได้สร้างธรรมาสน์และแท่นแก้วอันเป็นประดิษฐานพระประธานด้วย หลังจากนั้นอีก ๖ ปี พระเจ้าติโลกราช โปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต ซึ่งเป็นนายช่างเอก (หมื่นด้ำพร้าคต ได้ปรากฏชื่อในตำนานต่างๆ กัน คือ ตำนานโยนก เรียกว่า หมื่นด้ำพร้าคต, ชินกาลมาลินีปกรณ์ เรียกว่า สีหโคตรเสนาบดี, ตำนานพระธาตุวัดเจดีย์หลวง เรียกว่า หมื่นด้ำสีหโคตร ส่วนตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า หมื่นด้ำพร้าคต) บูรณะเสริมสร้างพระมหาเจดีย์ กลางเวียงเชียงใหม่ ในระหว่างนั้นได้หาทางขึ้นเพื่อที่จะซ่อมแซม และพยายามขึ้นไปดูข้างบนอยู่ ๓ วัน แต่ก็ไม่สามารถหาทางขึ้นไป จึงนำความไปปรึกษากับเจ้าอาวาส โดยพระมหาสัทธรรมกิตติเถระ ได้แนะนำว่าต้องมีชายอยู่ ๖ คนที่จะขึ้นไปซ่อมแซม ได้แก่ สมภาร ๑, สิน ๑. ใจมัก ๑, อ้าย ๑, อุ่น ๑, และหมื่นด้ำพร้าคต ซึ่งในที่สุดสามารถดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ได้ โดยทำการดัดแปลงแก้ไขตั้งแต่ยอดเจดีย์จังโกทองคำ และแกนเหล็กเรื่อยมาจนถึงซุ้มโขงมหาเจดีย์
ต่อมาหมื่นด้ำพร้าคต ได้ให้ขุดรากลงเข็ม ให้ขยายกว้างออกไปด้านละ ๔ วา ลึกประมาณ ๒ วา แล้วจึงถมด้วยหินอ่อนและทรายจนแน่น หลังจากนั้นหมื่นด้ำพร้าคต จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าติโลกราช ว่าพระมหาเจดีย์ที่จะก่อสร้างใหม่นี้ จะมีรูปร่างเป็นอย่างไร โดยพระเจ้าติโลกราช ได้ตรัสถึงพระสุบินนิมิตของพระองค์ว่า ในพระองค์นิมิต มีเทวดาตนหนึ่งนำรูปพระเจดีย์ที่สวยงามมาก ซึ่งในส่วนเบื้องบนของพระเจดีย์ พระองค์จำได้อย่างแม่นยำ แต่ส่วนด้านล่างจำได้บางส่วน อย่างไรก็ตามยังคงเป็นพระเจดีย์ที่มีสัดส่วนสวยงาม โดยเทวดาที่นำรูปพระเจดีย์มาให้ดูในพระสุบินนิมิต คือ พระเจ้ากือนา พระอัยกาผู้จุติไปบังเกิดเป็นเทวดาองค์นั้นเอง
พระเจ้าติโลกราช ทรงวางดินเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๒ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๐ ปีจอ โดยพระองค์โปรดให้ปฏิสังขรณ์จากแบบเดิมให้ใหญ่ขึ้น โดยพระองค์ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต พร้อมด้วยคณะช่างเขียนไปถ่ายแบบโลหะปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ ณ เมืองลังกา ประเทศอินเดีย เพื่อดูพระเจดีย์ที่มีลักษณะรูปทรงงาม และมีลักษณะแปลกกว่าองค์อื่นๆ แล้วกลับมาปฏิสังขรณ์กุฏิมหาธาตุ หรือเจดีย์ลักษณะบุราคม คือเจดีย์หลวง กลางเวียงเมืองเชียงใหม่ ครั้นแล้วเสร็จทรงบรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งนำมาจากทวีปลังกา เพื่อมาไว้ในมหาสถูป แล้วหุ้มทองจังโกพระเจดีย์ โดยมีฐานกว้างประมาณด้านละ ๒๘ วา และสูงประมาณ ๔๕ วา มีพระพุทธรูปใหญ่สร้างด้วยปูนนั่งสมาธิอยู่ ณ โขงไม้มหาโพธิ์ อยู่ภายในซุ้มทั้งสี่ด้าน มีบันไดทั้งสี่ด้านเป็นรูปพญานาคอยู่ ๘ ตัวๆ ละ ๕ หัว มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายประสาท มีรูปช้าง ๒๘ ตัวอยู่รอบๆ องค์พระเจดีย์ เมื่อขึ้นไปแค่คอพระเจดีย์ข้างบนสามารถมองเห็นภูมิประเทศรอบๆ ตัวเมืองได้ในระยะไกล ซึ่งพระเจดีย์ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปีพ.ศ. ๒๐๒๔ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๓ นับเป็นเวลา ๓ ปี
หลังจากนั้นในปีพ.ศ. ๒๐๘๘ ในรัชสมัยพระนางจิรประภาเทวี พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๑๔ ได้เกิดพายุฝนตกหนักและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ยอดพระเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมาเหลือให้เห็นดังสภาพปัจจุบัน วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จึงนับเป็นวัดที่สำคัญมากวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่มาตั้งแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ซึ่งมีประเพณีบูชาเสาอินทขีล นับเป็นประเพณีของชาวเชียงใหม่เป็นประจำทุกปี
เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง :ประชากิจกรจักร, พระยา (แช่ม บุนนาค). พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖.
ประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่. สมโภช ๖๐๐ ปี พระธาตุเจดีย์หลวง. เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๘.
พระรัตนปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. แปลโดย แสง มนวิทูร. พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๑.
วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่. ตำนานวัดเจดีย์หลวง และตำนานอินทขิล. ม.ป.ท.: ม.ป.พ., ๒๕๒๓.
เจดีย์หลวง เป็นมหาเจดีย์ทรงปราสาทที่ยิ่งใหญ่แบบล้านนา โดยอาศัยองค์ประกอบของเจดีย์ทรงระฆังมาไว้เหนือฐานทักษิณสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของเจดีย์รูปทรงปราสาท ซึ่งองค์ระฆังส่วนยอดเจดีย์ได้พังทลายหักโค่นลงในสมัยพระนางจิระประภา เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว ส่วนบนของฐานทักษิณประดับด้วยช้างล้อมด้านทั้งสี่มีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ด้าน
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระเจ้าแผ่นดินมคธ ประเทศอินเดีย โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ซึ่งเป็นเป็นพระภิกษุ และนักปราชญ์ชาวพุทธ ได้ส่งพระสมณทูตออกไปประกาศศาสนา คือ พระโสณะและพระอุตตระ เป็นเป็นชาวชมพูทวีป และได้ถูกส่งมายังดินแดนสุวรรณภูมิในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะปรากฏในคัมภีร์ชาดกของพระพุทธศาสนา เช่น มหาชนกชาดก เป็นต้น เกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และประกาศศาสนามีปูชนียวัตถุ นอกจากนี้ได้กล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ คือ พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เป็นต้น
ในสมัยก่อนที่จะมาเป็นพระธาตุเจดีย์หลวง เป็นเพียงเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุขนาดเล็ก สูง ๓ ศอก ไว้เพื่อสักการบูชาเป็นสิริมงคลและยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งจากตำนานเล่าว่ามีมนุษย์ผู้หนึ่งอายุกว่า ๑๒๐ ปี มีใจเลื่อมใสในพระบรมธาตุนั้น ถึงกับนำเอาเอาผ้าที่ห่มชุบน้ำมันจุดบูชา และได้มีคำทำนายในกาลก่อนตามบุพพนิมิตรนี้ว่า ต่อไปข้างหน้าที่ตรงนี้จะเป็นพระอารามใหญ่ ชื่อว่า “วัดโชติการามวิหาร” แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว
พระธาตุเจดีย์หลวง ใช้ระยะเวลาในการสร้างหลายสมัยกว่าจะแล้วเสร็จ โดยในหน้าหนังสือเรื่อง ชินกาลมาลีปกรณ์ (หน้า ๙๖) ระบุว่าพระเจ้าผายู พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๕ แห่ง ราชวงศ์มังราย เป็นผู้สร้างเจดีย์หลวงขึ้นกลางเมือง มีความสูง ๗๖ ศอก ฐานแต่ละด้านกว้าง ๔๘ ศอก
ต่อมาในปีพ.ศ. ๑๙๓๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๗ โอรสของ พระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๖ กล่าวถึงตำนานของวัดเจดีย์หลวง สรุปความว่า เมื่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ใหญ่ต้นหนึ่ง ทางไปเมืองพุกาม ประเทศพม่า ครั้งนั้นได้มีพ่อค้าชาวเชียงใหม่เดินทางไปค้าขายในเมืองพุกาม ได้ไปพักค้างคืนอยู่ใกล้ต้นไม้นั้น ในคืนนั้นรุกขเทวดาอันมีชาติเดิมเป็นพระเจ้ากือนา ทรงแสดงตนให้ปรากฏ และได้บอกเล่าว่าตนคือ พระเจ้ากือนาได้มาบังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่นี้ ขอให้พวกพ่อค้าได้ทูลพระเจ้าแสนเมืองมา ราชโอรสด้วยว่า ให้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งให้สูงกว่าพระเจดีย์ทั้งหลาย โดยให้คนทั้งหลายซึ่งอยู่ไกลประมาณ ๒๐๐๐ วา หรือ ๔ กิโลเมตร ได้เห็นแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับตน เพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลกด้วยบุญกุศลนั้น เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมาทรงทราบ และทรงแสดงถึงความกตัญญู เพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระราชบิดา หลังจากนั้นทรงพบพระเจดีย์องค์เล็กที่สร้างไว้แต่ในครั้งอดีต
เมื่อวันพุธ ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๗ เหนือ ปีมะเมีย พ.ศ. ๑๙๓๔ ตรงกับจุลศักราช ๗๕๒ เวลาเย็นเป็นมหาฤกษ์ พระเจ้าแสนเมืองมาพร้อมเสนาอำมาตย์และสมณพราหมณ์ อุบาสก อุบสิกา ได้ทำพิธียกเอาต้นมหาโพธิ์ต้นหนึ่ง ซึ่งใช้เงินประดิษฐ์เป็นลำต้น ใช้ทองคำประดิษฐ์เป็นใบ และยอดสูงเท่าองค์พระเจ้าแสนเมืองมา เข้าไปไว้ในท่ามกลางมหาเจดีย์อันจะเริ่มก่อนั้น แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่ง พระพุทธรูปเงินองค์หนึ่ง ประดิษฐานไว้ ณ โคนต้นมหาโพธิ์กันพร้อมด้วยเครื่องสักการบูชาเป็นอันมาก และได้เริ่มก่อสร้างพระมหาเจดีย์ตั้งแต่วันนั้นมาโดยลำดับ การก่อสร้างได้ดำเนินมานานถึง ๑๐ ปี ก็มาพบอุปสรรคหลายอย่างประกอบกับพระเจ้าแสนเมืองมาสวรรคต การก่อสร้างจึงต้องหยุดชะงักตามไปด้วย
ต่อมาในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์มังราย ผู้เป็นรัชทายาทสืบพระราชสมบัติ แต่ในขณะนั้นพระเจ้าสามฝั่งแกนนั้นยังทรงพระเยาว์อยู่มาก พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามว่า “พระนางติโลกจุฑาราชเทวี” จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระนางติโลกจุฑาราชเทวีพระราชมารดาได้ดำเนินการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ โดยหน้ามุขประสาทนั้นต่อขึ้นไปอีกนานได้ ๔ ปี จนถึงปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในวันเพ็ญ เดือน ๑๐ สำเร็จเป็นเจดีย์โดยสมบูรณ์ พระนางติโลกจุฑาเทวีพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ สมณะ ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ร่วมทำพิธียกฉัตรยอดมหาเจดีย์อันสร้างด้วยทองคำหนัก ๘,๙๐๒ เสี้ยวคำ ทั้งเอาแก้วสามดวงชุมนุมกันใส่ยังยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ส่วนสูงนับแต่ธรณีถึงยอด ๓๙ วา มหายอดเจดีย์นั้นกว้าง ๒๐ วาในทุกด้าน พระมหาเจดีย์ประดับไปด้วยซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน มีพระพุทธรูปใหญ่นั่งสมาธิ ทั้ง ๔ ด้าน มีรูปนาค ๘ ตัวๆ ๕ หัว อยู่ใน ๒ ข้างบันได มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายปราสาท มีรูปช้าง ๒๘ เชือก และรูปร่างของมหาเจดีย์ที่สร้างสำเร็จแล้วสามารถมองเห็นจากระยะไกลถึง ๒,๐๐๐ วา ซึ่งเป็นไปตามพระราชประสงค์
เมื่อปีพ.ศ. ๑๙๘๖ พระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๙ พระราชโอรสในพระเจ้าแสนเมืองมา ซึ่งสมัยนั้นพระมหาสัทธรรมกิตติเถระ เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดโชติการามวิหาร มีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์ และพระวิหารที่ชำรุดทรุดโทรม จึงปรึกษากับหมื่นช่าง ซึ่งเป็นชาวพุกาม ประเทศพม่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากทางด้านนี้ ต่อมาหมื่นช่างรับอาสาไปกราบทูลพระเจ้าติโลกราช พระองค์จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสที่จะดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ ซึ่งตรงกับปีพ.ศ. ๒๐๑๗ ปีมะเส็ง
ครั้งนั้นได้ทำการปรับเปลี่ยนวิหารขึ้นใหม่ มีความยาว ๑๙ วา ส่วนกว้าง ๔ วา นอกจากนี้ยังได้สร้างธรรมาสน์และแท่นแก้วอันเป็นประดิษฐานพระประธานด้วย หลังจากนั้นอีก ๖ ปี พระเจ้าติโลกราช โปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต ซึ่งเป็นนายช่างเอก (หมื่นด้ำพร้าคต ได้ปรากฏชื่อในตำนานต่างๆ กัน คือ ตำนานโยนก เรียกว่า หมื่นด้ำพร้าคต, ชินกาลมาลินีปกรณ์ เรียกว่า สีหโคตรเสนาบดี, ตำนานพระธาตุวัดเจดีย์หลวง เรียกว่า หมื่นด้ำสีหโคตร ส่วนตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า หมื่นด้ำพร้าคต) บูรณะเสริมสร้างพระมหาเจดีย์ กลางเวียงเชียงใหม่ ในระหว่างนั้นได้หาทางขึ้นเพื่อที่จะซ่อมแซม และพยายามขึ้นไปดูข้างบนอยู่ ๓ วัน แต่ก็ไม่สามารถหาทางขึ้นไป จึงนำความไปปรึกษากับเจ้าอาวาส โดยพระมหาสัทธรรมกิตติเถระ ได้แนะนำว่าต้องมีชายอยู่ ๖ คนที่จะขึ้นไปซ่อมแซม ได้แก่ สมภาร ๑, สิน ๑. ใจมัก ๑, อ้าย ๑, อุ่น ๑, และหมื่นด้ำพร้าคต ซึ่งในที่สุดสามารถดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ได้ โดยทำการดัดแปลงแก้ไขตั้งแต่ยอดเจดีย์จังโกทองคำ และแกนเหล็กเรื่อยมาจนถึงซุ้มโขงมหาเจดีย์
ต่อมาหมื่นด้ำพร้าคต ได้ให้ขุดรากลงเข็ม ให้ขยายกว้างออกไปด้านละ ๔ วา ลึกประมาณ ๒ วา แล้วจึงถมด้วยหินอ่อนและทรายจนแน่น หลังจากนั้นหมื่นด้ำพร้าคต จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าติโลกราช ว่าพระมหาเจดีย์ที่จะก่อสร้างใหม่นี้ จะมีรูปร่างเป็นอย่างไร โดยพระเจ้าติโลกราช ได้ตรัสถึงพระสุบินนิมิตของพระองค์ว่า ในพระองค์นิมิต มีเทวดาตนหนึ่งนำรูปพระเจดีย์ที่สวยงามมาก ซึ่งในส่วนเบื้องบนของพระเจดีย์ พระองค์จำได้อย่างแม่นยำ แต่ส่วนด้านล่างจำได้บางส่วน อย่างไรก็ตามยังคงเป็นพระเจดีย์ที่มีสัดส่วนสวยงาม โดยเทวดาที่นำรูปพระเจดีย์มาให้ดูในพระสุบินนิมิต คือ พระเจ้ากือนา พระอัยกาผู้จุติไปบังเกิดเป็นเทวดาองค์นั้นเอง
พระเจ้าติโลกราช ทรงวางดินเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๒ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๐ ปีจอ โดยพระองค์โปรดให้ปฏิสังขรณ์จากแบบเดิมให้ใหญ่ขึ้น โดยพระองค์ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต พร้อมด้วยคณะช่างเขียนไปถ่ายแบบโลหะปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ ณ เมืองลังกา ประเทศอินเดีย เพื่อดูพระเจดีย์ที่มีลักษณะรูปทรงงาม และมีลักษณะแปลกกว่าองค์อื่นๆ แล้วกลับมาปฏิสังขรณ์กุฏิมหาธาตุ หรือเจดีย์ลักษณะบุราคม คือเจดีย์หลวง กลางเวียงเมืองเชียงใหม่ ครั้นแล้วเสร็จทรงบรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งนำมาจากทวีปลังกา เพื่อมาไว้ในมหาสถูป แล้วหุ้มทองจังโกพระเจดีย์ โดยมีฐานกว้างประมาณด้านละ ๒๘ วา และสูงประมาณ ๔๕ วา มีพระพุทธรูปใหญ่สร้างด้วยปูนนั่งสมาธิอยู่ ณ โขงไม้มหาโพธิ์ อยู่ภายในซุ้มทั้งสี่ด้าน มีบันไดทั้งสี่ด้านเป็นรูปพญานาคอยู่ ๘ ตัวๆ ละ ๕ หัว มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายประสาท มีรูปช้าง ๒๘ ตัวอยู่รอบๆ องค์พระเจดีย์ เมื่อขึ้นไปแค่คอพระเจดีย์ข้างบนสามารถมองเห็นภูมิประเทศรอบๆ ตัวเมืองได้ในระยะไกล ซึ่งพระเจดีย์ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปีพ.ศ. ๒๐๒๔ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๓ นับเป็นเวลา ๓ ปี
หลังจากนั้นในปีพ.ศ. ๒๐๘๘ ในรัชสมัยพระนางจิรประภาเทวี พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๑๔ ได้เกิดพายุฝนตกหนักและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ยอดพระเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมาเหลือให้เห็นดังสภาพปัจจุบัน วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จึงนับเป็นวัดที่สำคัญมากวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่มาตั้งแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ซึ่งมีประเพณีบูชาเสาอินทขีล นับเป็นประเพณีของชาวเชียงใหม่เป็นประจำทุกปี
เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง :ประชากิจกรจักร, พระยา (แช่ม บุนนาค). พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖.
ประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่. สมโภช ๖๐๐ ปี พระธาตุเจดีย์หลวง. เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๘.
พระรัตนปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. แปลโดย แสง มนวิทูร. พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๑.
วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่. ตำนานวัดเจดีย์หลวง และตำนานอินทขิล. ม.ป.ท.: ม.ป.พ., ๒๕๒๓.
วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๘ เวลา ๑๐.๐๐ น. นักเรียนชั้นอนุบาล ๒-๓ โรงเรียนบ้านแกน้อย ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ จำนวน ๒๕ คน คุณครู ๖ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมีนายธนากร วงศ์สิริพัฒนะ นักวิชาการวัฒนธรรม ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๑๐.๐๐ น. คณะนักท่องเที่ยวจากจังหวัดศรีสะเกษ ทริป "พาแม่เที่ยวสุรินทร์ถิ่นมนต์ขลัง" จำนวน ๙๐ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ นำโดย ททท.สำนักงานสุรินทร์และศรีสะเกษ ร่วมกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ โดยมีนางปริญญา สุขใหญ่ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ให้การต้อนรับ นายธนากร วงศ์สิริพัฒนะ นักวิชาการวัฒนธรรม บรรยายนำชม