ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,650 รายการ

องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “สามเมือง แก้วแหวน ปูชนียบุคคลแห่งวงการพลอยของจันทบุรี : ผู้คิดค้นการเผาพลอยคนแรกของไทย” จันทบุรีมีชื่อเสียงเกี่ยวกับธุรกิจการค้าอัญมณีเลื่องลือไปทั่วโลก นอกจากจะเป็นถิ่นกำเนิดของพลอยหลากสีที่มีคุณภาพ ยังเป็นศูนย์รวมของช่างพลอยมากฝีมือและประสบการณ์ ด้วยภูมิปัญญาด้านงานช่างอัญมณีที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น ทั้งกรรมวิธีการปรับปรุงคุณภาพสีสันของพลอย การเจียระไนด้วยทักษะฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการประกอบตัวเรือนอย่างวิจิตรบรรจง ทำให้พลอยเมืองจันท์เป็นที่ชื่นชอบและได้รับการยอมรับในตลาดค้าพลอยทั่วโลกว่าเป็นพลอยที่มีความสวยงามและมีคุณภาพ อย่างไรก็ตามพลอยที่มีสีสันสวยงามนี้ เกิดจากภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการเผาพลอยที่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากความช่างสังเกตของคุณสามเมือง แก้วแหวน ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นนวัตกรรมเตาเผาที่เหมาะสมกับพลอยหลากหลายชนิด และส่งผลให้ชื่อเสียงของคุณสามเมืองและพลอยเมืองจันท์เป็นที่รู้จักในระดับสากล จากหนังสือเรื่อง “ไม้ขีดไฟก้านแรก” ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณสามเมือง แก้วแหวน ปูชนียบุคคลแห่งวงการพลอยของจันทบุรีว่า คุณสามเมืองเริ่มทำอาชีพค้าขายพลอยหลังลาออกจากการรับราชการตำรวจเมื่ออายุ 30 ปี ด้วยการลองผิดลองถูกทั้งการซื้อขายและการปะพลอย ต่อมาวันหนึ่งได้โกลนพลอยสตาร์เม็ดหนึ่งแตก แต่ถูกคิดค่าจ้างปะติดแพง จึงเกิดความคิดในการปะพลอยเอง โดยใช้ความร้อนและน้ำประสานทองเป็นตัวเชื่อม จากการปะพลอยนี้เองคุณสามเมืองได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสีพลอย โดยเนื้อพลอยจะใสขึ้นกว่าเดิม และมีสีจางลงเล็กน้อยเมื่อถูกความร้อนมาก ๆ ความสงสัยจุดประกายเล็ก ๆ ขึ้นในใจเป็นครั้งแรกว่าความร้อนต้องเป็นสาเหตุหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของสีพลอยเป็นแน่ จากความช่างสังเกตมาประจวบกับเหตุเพลิงไหม้ตลาดเมืองจันทบุรีครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2511 สร้างความเสียหายให้ร้านค้าพลอยเป็นจำนวนมาก พลอยก้อนในร้านถูกเผาไหม้จมดิน และมีผู้นำมาขายให้ คุณสามเมืองสังเกตเห็นชัดว่าพลอยทุกเม็ดมีเนื้อใสหมด ทำให้เชื่อมั่นว่าความร้อนสามารถทำให้พลอยเปลี่ยนสีได้ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าการเผาพลอยอย่างจริงจัง ผ่านการลองผิดลองถูก และได้รับความร่วมมือในการผลิตเตาเผาด้วยถ่านหินซึ่งทนความร้อนสูงของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ทำให้สามารถเผาพลอยจนกระทั่งทำให้หม่าหรือความขุ่นในเนื้อพลอยหายไปกลายเป็นพลอยที่มีสีสันสวยงาม โดยพลอยเม็ดแรกที่เผาสำเร็จเป็นพลอยแซปไฟร์สีน้ำเงิน จึงกล่าวได้ว่าผู้คิดค้นวิธีการเผาพลอยขึ้นคนแรกในวงการพลอยเมืองไทย คือ “คุณสามเมือง แก้วแหวน” นั่นเอง คุณสามเมืองได้พัฒนาการเผาพลอยด้วยเตาเผาแบบต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพลอยแต่ละชนิด โดยพบว่าเตาน้ำมันเหมาะกับการเผาพลอยสีน้ำเงิน เนื่องจากมีคาร์บอนมาก เตาไฟฟ้าเหมาะสำหรับเผาพลอยแดง เพราะไม่มีคาร์บอนมาสันดาปให้เกิดสีม่วง และเตาแก๊สเป็นเตาสารพัดประโยชน์ที่ปรับให้ใช้ได้กับพลอยทุกสี เพราะสามารถปรับระดับความร้อนได้หลากหลาย โดยมีเพื่อนในวงการพลอยร่วมกันค้นคว้าและสนับสนุน ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปี จนเป็นผลสำเร็จในช่วง พ.ศ. 2523 - 2524 จากการพัฒนาเตาแก๊สที่ได้นั้น ทำให้สามารถเผาบุษราคัมได้สีดีที่สุด หลังจากนั้นมีการนำบุษราคัมที่ผ่านการเผานี้ไปจัดแสดงที่สหรัฐอเมริกา สร้างความสนใจแก่นักอัญมณีศาสตร์ในกรรมวิธีการผลิตเป็นอย่างมาก มีการนำตัวอย่างกลับไปทดลองในห้องปฏิบัติการ รวมทั้งผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจและเดินทางมาทำข่าวถึงจันทบุรี ต่อมาได้มีการรับรองคุณภาพพลอยที่เผาด้วยความร้อน (Heat Treatment) และมีการตีพิมพ์เนื้อหาการปรับปรุงคุณภาพพลอยจากการเผาของจันทบุรี ลงในวารสาร Gems & Gemology Volume XVIII, Winter 1982 คุณสามเมืองจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “King of Orange Sapphires” และเป็นที่รู้จักในระดับสากลตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันพลอยสีที่ขายกันทั่วโลกราวร้อยละ 80 ล้วนผ่านการปรับปรุงคุณภาพจากจันทบุรี ทำให้จันทบุรีได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากภูมิปัญญาในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พลอยสีที่คุณสามเมืองได้สร้างไว้เป็นคุณูปการ และถ่ายทอดส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดมาเพื่อเป็นสมบัติของชาติ เป็นความภาคภูมิใจของชาวจันทบุรีและชาวไทย อ้างอิง : เมธี จึงสงวนสิทธิ์. จันทบูร = Chining Moon. จันทบุรี: ไชน์นิ่งมูน, 2560. สามเมือง แก้วแหวน. ไม้ขีดไฟก้านแรก. กรุงเทพฯ: บีสแควร์ พริ้นท์ แอนด์ดีไซน์, 2564. Keller, Peter C. “The Chanthaburi - Trat Gem Field, Thailand.” Gems & Gemology. (Winter 1982): pp. 186 - 196. [Online]. Retrieved 26 September 2023, from: https:// www.gia.edu/doc/WN82.pdf ผู้เรียบเรียง : นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี


ผู้เรียบเรียง : นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ


6 -29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ อยากชวนน้องๆหนูๆ มาสนุกกับ "นิทานสร้างงานศิลป์ ตอน ขนมปังนอกกล่อง" ชมนิทรรศการ "ไขความลับขนมปังเนื้อนุ่มฟู" ซึ่งเป็นการจัดแสดงขนมปังรูปแบบหลากหลาย และส่วนประกอบต่าง ๆ ก่อนจะมาเป็นขนมปังเนื้อนุ่มที่พวกเรากินกันทุกวัน การจัดแสดงภาพวาดศิลปะธีมขนมปัง เป็นเมนูขนมปังที่เต็มไปด้วยจินตนาการ โดยพี่มีมี่ สรรประภา วุฒิวร นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และเด็กๆ จากโรงเรียนอนุบาลช้างเผือก กิจกรรมเล่านิทานภาพ เรื่องราวของเจ้าขนมปัง กิจกรรม Workshop การทำขนมปังตามจินตนาการ (***ผู้เข้าร่วมต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เนื่องจากต้องเตรียมอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม สามารถติดต่อมาเพื่อจัดกลุ่มทำกิจกรรมได้ค่ะ***) ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกรายการ พกหัวใจของคุณที่พร้อมจะนุ่มฟู มาพบกันตั้งแต่วันที่ 6-29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09:30 - 15:00 น. (ปิดทำการทุกวันอาทิตย์-จันทร์) ที่ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ห้อง Co-Working Space หนังสือพิมพ์และวารสาร


          โบราณสถานวัดบ้านเจียง ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านเจียงด้านทิศตะวันตก เดิมเรียกว่า "วัดปราสาท" มีโบราณสถานวางตัวตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก ประกอบด้วยเจดีย์และวิหาร เจดีย์เป็นทรงปราสาทยอดระฆัง มีส่วนฐานบัวคว่าบัวหงายแบบล้านนา รองรับส่วนเรือนธาตุยกเก็จประดับซุ้มจระนาทั้งสี่ด้าน กรอบซุ้มจระนาตกแต่งเป็นวงโค้งประดับมกรคายนาคที่ปลายวงโค้ง เหนือขึ้นไปเป็นชุดบัวคว่า - บัวหงาย รองรับชุดหน้ากระดานแปดเหลี่ยม ส่วนยอดพังทลาย รอบฐานเจดีย์พบหลักฐานเป็นลานประทักษิณล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน วิหารอยู่ด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วิหารคงเหลือองค์ประกอบเพียงโถงประธานและฐานชุกชี           จากรูปแบบเจดีย์ วิหาร และโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้น - ขุดแต่งทางโบราณคดี พุทธศักราช ๒๕๖๔ อาทิ เครื่องถ้วยเนื้อแกร่งจากแหล่งเตาภาคเหนือ (แหล่งเตาพาน จังหวัดเชียงราย และแหล่งเตา สันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่) กาหนดอายุโบราณสถานวัดบ้านเจียง (เจดีย์ - วิหาร) ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ -๒๒ หรือประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ ปีมาแล้ว             Wat Ban Jiang Monument is located on the west side of Ban Jiang Temple. It was originally called "Wat Prasat". The ancient ruins are oriented east to west and consist of the principal chedi and vihara. The principal chedi is Stupa in prasat form with bell-shaped on top . The lowest part of this chedi is an Lanna lotus-based style which supports the chedi’s square indented body. Each side of the body features a curved shape with the Makara disgorges the Naga decoration at the end of curved roof above the niche. The upper part of the niche is a set of octagonal shaped. Unfortunately, the top of the chedi collapsed. A circumambulatory path surrounds the chedi. The vihara is on the east of the chedi which is rectangular shape. This vihara remains a feature of main hall and a brick pedestal supporting the principal Buddha image.           According to the architectural styles and archaeological evidence by archaeological excavations in 2021, stone wares were found which indicates that they were produced in the Northen Ceramics Kilns (Phan Kiln in Chiang Rai Province and San Kamphaeng Kiln in Chiang Mai Province). Wat Ban Jiang Monument can be dated between the 16th – 17th century or approximately 300 – 400 years ago.


            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี เชิญชมนิทรรศการหมุนเวียน "Object of the Month" วัตถุจากคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ประจำเดือน "กรกฎาคม" เชิญพบกับ “เรื่องเล่าจากเต่าปูนปั้น"             โบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ ได้แก่ "เต่าปูนปั้น" ศิลปะลพบุรี วัสดุทำจากปูนปั้น ขนาดกว้าง ๑๖ เซนติเมตร ยาว ๒๘ เซนติเมตร มีลักษณะประติมากรรมรูปเต่า ประกอบด้วยส่วนหัว ขาหน้าทั้งสองข้างและลำตัว กระดองขีดเป็นลายตารางสี่เหลี่ยม เท้ามีลักษณะเหมือนเต่าน้ำจืด คือ เท้าแบน มีนิ้วเท้า บริเวณปากด้านขวามีปุ่มยื่นคล้ายคาบวัตถุ ส่วนปากด้านซ้ายมีร่องรอยแตกหัก พบที่โบราณสถานเนินทางพระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานเนินทางพระ เต่าในพระพุทธศาสนา เต่าในศาสนาฮินดู และความเชื่อเรื่องการปล่อยเต่าในวันเกิด             ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ “เรื่องเล่าจากเต่าปูนปั้น" ได้ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร  ณ ห้องโถงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ หรือเฟสบุ๊ก: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี Suphanburi National Museum



เรือพระราชพิธี หมายถึง เรือที่เกี่ยวข้องกับงานพิธีกรรมของราชสำนัก เป็นพระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์ไทยใช้สำหรับการเสด็จ ฯ ทางชลมารค เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เช่น การพระราชสงคราม การเสด็จพระราชดำเนิน และการประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในสมัยโบราณ เรื่องราวเกี่ยวกับเรือพระราชพิธีนี้มีปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายชิ้น ได้แก่ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ กฎหมายตราสามดวง พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา บันทึกของชาวตะวันตก และคำให้การชาวกรุงเก่า อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เรือพระราชพิธีนี้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และมีพัฒนาการเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทั้งรูปแบบของเรือ การใช้งาน และการจัดริ้วกระบวนเรือพระราชพิธีที่ใช้ในการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค    เรือพระราชพิธี มักใช้ในการประกอบการพระราชดำเนิน และประกอบการพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน พระราชพิธีบรมราชาภิเษก การอัญเชิญพระพุทธรูปที่สำคัญจากหัวเมืองมาประดิษฐานในเมืองหลวง การอัญเชิญพระบรมศพหรือพระอังคาร ตลอดจนการต้อนรับทูตจากต่างประเทศ เป็นต้น โดยจัดเป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นริ้วกระบวนเรือที่จัดขึ้นในการที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในการต่าง ๆ การจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค กล่าวได้ว่ามีวิวัฒนาการมาจากการจัดกระบวนทัพเรือ โดยกองเรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม และมีการประโคมดนตรีไปในกระบวน การจัดริ้วกระบวนแบ่งออกเป็น ๒ สาย เรียกว่า กระบวนพยุหยาตราใหม่ ซึ่งจัดเป็น ๔ สาย และกระบวนพยุหยาตราน้อย จัดเป็น  ๒ สาย ต่างกันโดยทราบได้จากจำนวนเรือในริ้วกระบวนว่ามีมากน้อยเท่าใดนั่นเอง   ลักษณะและชื่อเรือพระราชพิธีที่ใช้ประกอบกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค  สามารถแบ่งออกตามลักษณะหน้าที่และการใช้งาน ดังนี้ ๑. เรือพระที่นั่ง เป็นเรือที่สำคัญที่สุดในกระบวน เนื่องจากเป็นเรือที่พระมหากษัตริย์ทรงประทับ มีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก่ เรือต้น เรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งรอง เรือพระที่นั่งกิ่ง เรือพระที่นั่งเอกชัย เรือพระที่นั่งศรี เรือพระที่นั่งกราบ เรือพลับพลา และเรือพระประเทียบ    ๒. เรือเหล่าแสนยากร เป็นเรือประกอบกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่นอกเหนือจากเรือพระที่นั่ง ซึ่งมีลักษณะหน้าที่ต่างกันออกไป ได้แก่    - เรือดั้ง ทำหน้าที่ป้องกันหน้ากระบวนเรือ ใช้เป็นเรือกระบวนสายนอก    - เรือพิฆาต เป็นเรือรบไทยโบราณ มีปืนจ่ารงตั้งที่หัวเรือ ในเรือนำเหล่านี้ใช้ขุนศาลเป็นนายเรือ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เรือขุนศาล” เหตุที่เรียกว่าเรือพิฆาตเพราะในเวลารบจริง ต้องออกจากกระบวนไปลาดตระเวนหาข่าวข้าศึก มักมีชื่อเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น มังกร เหรา สิงโต กิเลน เสือ เป็นต้น    - เรือคู่ชัก เป็นเรือไชยรูปสัตว์ ทำหน้าที่ชักลากเรือพระที่นั่งในกรณีที่มีฝีพายไม่พอ    - เรือโขมดยา เป็นเรือไชยที่หัวเขียนด้วยลายน้ำยา หัวท้ายงอนคล้ายเรือกัญญา     - เรือแซง ใช้เรือกราบกัญญา เป็นเรือทหาร เรือแซงจะขนาบทั้งสองข้างของเรือพระที่นั่ง โดยอยู่ในริ้วนอกสุดของกระบวน    - เรือตำรวจ เป็นเรือที่พระตำรวจลงประจำ มีหน้าที่เป็นองครักษ์ ซึ่งเป็นข้าราชการในพระราชสำนัก    - เรือศีรษะสัตว์ หรือเรือรูปสัตว์ เป็นได้ทั้งเรือพิฆาตและเรือพระที่นั่ง แต่ถ้าเป็นเรือพิฆาต จะต้องเป็นศีรษะสัตว์ชั้นรอง ส่วนเรือพระที่นั่ง หัวเรือจะเป็นรูปสัตว์ตามพระราชลัญจกร    - เรือกลอง เป็นเรือสัญญาณเพื่อให้เรืออื่นในกระบวนหยุดพายหรือจ้ำ โดยใช้กลองเป็นสัญญาณ    - เรือประตู เป็นเรือคั่นระหว่างกระบวนย่อย     - เรือกัน เป็นเรือที่ทำหน้าที่ป้องกันศัตรูมิให้จู่โจมมาถึงเรือพระที่นั่ง    - เรือริ้ว เป็นเรือที่เข้ากระบวนยาวเป็นสายเรียงขนานกัน มีธงประจำเรือ   เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ศิลปกรรมทางสายน้ำที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเรือมรดกโลก เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่มีความงดงามทางด้านศิลปกรรม และแสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะในการต่อเรือของช่างไทยโบราณ ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติได้อย่างดียิ่ง อีกทั้งยังมีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ชาติไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความสำคัญดังกล่าว องค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร (World Ship Trust) ได้ยกย่องให้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือมรดกโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมอบเหรียญรางวัลเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ หรือ เหรียญรางวัลมรดกทางทะเลขององค์กรเรือโลกให้กับประเทศไทย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลำปัจจุบันสร้างขึ้นในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อทดแทนเรือลำเดิมที่ได้สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ และแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๖ ประกอบพิธีลงน้ำเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ หัวเรือพระที่นั่งมีโขนเรือรูปหัวหงส์ ลำตัวเรือทอดยาวคือส่วนตัวหงส์ จำหลักไม้ลงรักปิดทองประดับกระจกมีพู่ห้อย ปลายพู่เป็นแก้วผลึก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือทาสีแดง ตอนกลางลำเรือมีที่ประทับเรียกว่า ราชบัลลังก์กัญญา สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เรือมีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ลึกจนถึงท้องเรือ ๙๔ เซนติเมตร กินน้ำลึก ๔๑ เซนติเมตร ใช้กำลังพลประกอบด้วยฝีพาย ๕๐ คน นายเรือ ๒ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาณ ๑ คน คนถือฉัตร ๗ คน และคนขานยาว ๑ คน   เรื่องราวของเรือพระราชพิธียังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจและชวนให้ศึกษา นับเป็นหนึ่งในงานศิลปกรรมของไทยที่มีคุณค่ายิ่ง อีกทั้งยังมีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน หากผู้อ่านสนใจสามารถค้นคว้าและอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือเรือพระราชพิธีและหนังสืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี    เรียบเรียงโดย นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี  สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี กรมศิลปากร   แหล่งข้อมูลเอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร.  เรือพระราชพิธี.  พิมพ์ครั้งที่ ๕.  กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.   นงค์นุช ไพรพิบูลยกิจ.  เรือพระราชพิธี.  กรุงเทพฯ: เอส.ที.พี. เวิลด์ มีเดีย, ๒๕๔๒. เรือพระราชพิธี.  กรุงเทพฯ: โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย, ๒๕๔๘.   ศานติ ภักดีคำ.  พระเสด็จโดยแดนชล: เรือพระราชพิธีและขบวนพยุหยาตราทางชลมารค. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๒.    


การขออนุญาตส่งหรือนําโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ หรือชิ้นส่วนของโบราณวัตถุ หรือชิ้นส่วนของ ศิลปวัตถุในความครอบครองของกรมศิลปากรออกนอกราชอาณาจั กร เพื่อการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ซ่อมแซม หรือประกอบการเป็นการชั่วคราว รวมทั้งการนําไปแปรสภาพ หรือทําลายโดยกระบวนการ วิเคราะห์โดยไม่นํากลับเข้ามา



ชื่อเรื่อง                     วัดนิเวศธรรมประวัติผู้แต่ง                       -ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นหมวดหมู่                   ศาสนาเลขหมู่                      294.3135 ว416สถานที่พิมพ์               จ.อยุธยาสำนักพิมพ์                 โรงพิมพฺ์เทียนวัฒนาปีที่พิมพ์                    2528ลักษณะวัสดุ               70  หน้าหัวเรื่อง                     ศาสนาภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก      วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมกอทิกเลียนแบบโบสถ์คริสต์          


ชื่อผู้แต่ง        พระพรหมมุนี (วิน ธมฺมสาร) ชื่อเรื่อง         ทางสงบ ครั้งที่พิมพ์     - สถานที่พิมพ์   พระนคร สำนักพิมพ์     โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ปีที่พิมพ์        ๒๕๑๑ จำนวนหน้า    ๑๒๑ หน้า รายละเอียด                   คณะพุทธบริษัท วัดราชผาติการาม รวบรวมทุนจัดพิมพ์ธรรมกถาที่พระพรหมมุนีแสดงในวันพระที่วัดราชผาติการาม ด้วยกุศลเจตนาที่จะเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาให้แพร่หลายสำเร็จ เป็นการช่วยกันประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา จัดพิมพ์มาแล้ว ๔ ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ ๕ จัดพิมพ์เป็นพุทธบูชาในวันเข้าพรรษา วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๑๑


“รมว.สุดาวรรณ” ปักหมุดเส้นทางล่องเรือ ชมเสน่ห์เจ้าพระยา - ยลวัด - โบราณสถานและจิตรกรรมล้ำค่า  “ล่องคลอง มองศิลป์ ถิ่นธนบุรี” สร้างต้นแบบการท่องเที่ยวทางเรือ เชื่อมโยงแหล่งมรดกวัฒนธรรมกรุงธนบุรี ดึงดูดนักท่องเที่ยว ต่อยอดนำทุนทางวัฒนธรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ - ขับเคลื่อน Soft Power ไทย              นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า มอบหมายให้กรมศิลปากรจัดโครงการส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โครงการ “ล่องคลอง มองศิลป์ ถิ่นธนบุรี” เพื่อสร้างต้นแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวทางเรือในมิติด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมผ่านคุณค่าของโบราณวัตถุโบราณสถาน ศาสนสถาน และวิถีชุมชนของแหล่งมรดกวัฒนธรรมริมคลองโบราณ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยตระหนักถึงการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน                นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและ Soft Power ของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปสู่ระดับนานาชาติ และนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2570 กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร จึงจัดทำโครงการ “ล่องคลอง มองศิลป์ ถิ่นธนบุรี” สร้างเส้นทางท่องเที่ยวทางเรือไปยังโบราณสถานและศาสนสถานสำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมโยงจากคลองบางกอกใหญ่ – คลองด่าน โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกรุงเทพมหานครและเครือข่ายพัฒนาเมืองและการท่องเที่ยว เข้าร่วมกิจกรรม เริ่มเดินทางจากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร วัดอินทารามวรวิหาร วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร วัดนางนองวรวิหาร วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร ซึ่งล้วนเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความสวยงามทางสถาปัตยกรรม ที่กรมศิลปากรได้เข้าไปดำเนินการอนุรักษ์และบูรณะ โดยเฉพาะวัดอัปสรสวรรค์ กรมศิลปากรได้ร่วมกับทางวัด จัดทำโครงการบูรณะศาลาการเปรียญ ซึ่งถือเป็นศาลาเครื่องไม้ที่เก่าแก่หลังหนึ่งในกรุงเทพมหานคร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยก่อนเข้าทำการบูรณะศาลาการเปรียญมีสภาพชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมากจนไม่สามารถใช้ประกอบกิจกรรมทางศาสนาได้ ปัจจุบันได้มีการบูรณะจนเกือบแล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยยึดถือตามรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม และเสริมความมั่นคงให้เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2569                “นอกจากจะได้สักการะพระพุทธรูปสำคัญของวัดต่าง ๆ แล้ว ยังได้ชมโบราณสถาน งานจิตรกรรมและศิลปกรรมในแบบพระราชนิยม เป็นการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวมุมมองใหม่ ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เข้าร่วมกิจกรรมสามารถนำแนวคิดไปบูรณาการต่อยอด ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เกิดกิจกรรมอื่น ๆ ชูอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริม สร้างสรรค์ ผลักดันทุนทางวัฒนธรรมไปใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน เกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชนหรือผู้ประกอบการ และเป็นการทำนุบำรุงศาสนสถานอีกด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว              ทั้งนี้ “ธนบุรี” เป็นย่านเก่าแก่ที่มีประวัติและพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยปัจจัยสำคัญทางภูมิศาสตร์ เมืองธนบุรีได้กลายเป็นศูนย์กลางการปกครองหลังสิ้นสุดกรุงศรีอยุธยา ยังปรากฏร่องรอยพระราชวัง ป้อมปราการ วัด บ้านเรือนต่างๆ โดยมีเส้นทางการคมนาคมที่สำคัญ เช่น คลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ คลองชักพระ คลองบางกอกน้อย คลองคูเมืองเดิม และคลองด่าน ฯลฯ ซึ่งใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลักตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและกลายเป็นแหล่งที่พำนักตั้งถิ่นฐานของผู้คนที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมจนก่อเกิดเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพสามารถเชื่อมโยงพื้นที่ในมิติ ต่าง ๆ ทั้งด้านการคมนาคม ศาสนา ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตและชุมชน สร้างคุณค่าให้มรดกวัฒนธรรมเป็นต้นทุนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน-----------------------------------------------------วัดอินทารามวรวิหาร วัดอัปสรสวรรค์วรวิหารวัดนางนองวรวิหาร วัดราชโอรสารามราชวรวิหารวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร --------------------------------------------- ข้อมูลวัดสำคัญทั้ง 5 แห่ง https://finearts.go.th/archae/categorie/Thonburi



ชื่อเรื่อง                    สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       91/1หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               80 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                   เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด  ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                                  120/7 หมวดหมู่                               พุทธศาสนาประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                           28 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 56.5 ซม.                                       บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.