ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
สมฺโพชฺฌงฺค (สติ-อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺค)
ชบ.บ.52/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มาเลยฺยสุตฺต (มาลัยหมื่น)
สพ.บ. 318/1ค
ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลาน
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55.5 ซม.
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.269/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 117 (232-239) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : สงฺคีติกถา (สังคายนา)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
หม่อมเจ้าการวิก ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2460 เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรฐวงศ์วราวัตร กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ กับหม่อมโป๊ จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ทรงศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารและโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พ.ศ. 2473 ได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Lycée Perier ประเทศฝรั่งเศส
หม่อมเจ้าการวิกมีความสนพระทัยในด้านศิลปะตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ โปรดการการเขียนภาพลายเส้นการ์ตูนล้อเลียน จึงทำให้พระองค์เริ่มเรียนรู้เทคนิคการเขียนภาพสีน้ำที่ประเทศฝรั่งเศส หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หม่อมเจ้าการวิกได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ไปประทับที่ประเทศอังกฤษเพื่อถวายการรับใช้ ระหว่างที่ตามเสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ ก็ทรงเขียนภาพทิวทัศน์ของสถานที่นั้นๆ ไว้ด้วย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น หม่อมเจ้าการวิกได้เข้าประจำการในกองทัพอังกฤษและเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยเพื่อต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ทรงใช้เวลาว่างจากการฝึกซ้อมในค่ายทหารที่ประเทศต่างๆ ด้วยการเขียนภาพสีน้ำ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หม่อมเจ้าการวิกเสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทย และได้พบกับนายโมเนต์ ซาโตมิ (Monet Satomi) อุปทูตด้านวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และศิลปินชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย ณ ขณะนั้น ซาโตมิได้แนะนำให้พระองค์ลองส่งภาพเขียนสีน้ำที่มีชื่อว่า “สิงห์” (ภูเขาลูกหนึ่งในประเทศอินเดีย) เข้าร่วมประกวดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2493) โดยได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทจิตรกรรม หลังจากนั้นหม่อมเจ้าการวิกทรงส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดต่อเนื่องหลายครั้ง (ครั้งที่ 2 6 8 9 10 และ 11) และได้รับรางวัลทุกครั้งที่ส่งเข้าร่วมการประกวด
จากนั้นพระองค์ได้รับการทูลเชิญให้ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติถึง 22 ครั้ง ในฐานะผู้มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านทัศนศิลป์ พระองค์จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการศิลปะของไทยนับแต่นั้น ทรงดำรงตำแหน่งนายกศิลปสมาคมระหว่างชาติแห่งประเทศไทย ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริมวงการศิลปะสมัยใหม่ของไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีนานาชาติ โดยการสนับสนุนศิลปินไทยให้ได้เข้าร่วมประชุม แสดงผลงานศิลปะ และศึกษาต่อในต่างประเทศ
หม่อมเจ้าการวิกเป็นจิตรกรผู้มีฝีมือสูงในการเขียนภาพสีน้ำ ผลงานในยุคแรกมีลักษณะเหมือนจริง ต่อมาจึงคลี่คลายเป็นแบบกึ่งนามธรรม พระองค์โปรดการเขียนภาพทิวทัศน์และบรรยากาศของสถานที่ต่างๆ เมื่อเสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทยแล้วจึงเริ่มเขียนภาพเกี่ยวกับวิถีชีวิตและงานประเพณีต่างๆ ของไทย เช่น ภาพ “นครปฐม” (พระร่วงโรจนฤทธิ์/ไปไหว้พระนครปฐม) ใช้เทคนิคสีน้ำบนกระดาษ ฝีแปรงเรียบง่าย แต่แสดงถึงความเชี่ยวชาญและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 9 (พ.ศ. 2501)
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงผลงานของหม่อมเจ้าการวิกไว้ในสูจิบัตรประกอบการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 11 (พ.ศ. 2503) ว่า “…ภาพทิวทัศน์ต่างๆ นั้น ท่านใช้พู่กันป้ายสีสองสามครั้งก็เสร็จ…” และ “…หม่อมเจ้าการวิกท่านเขียนรูปคนขนาดเล็ก โดยใช้วิธีใช้สีแต้มเป็นจุดๆ อย่างฉลาด…” แม้ว่าจะทรงเป็นจิตรกรสมัครเล่น แต่พระองค์ก็ทรงชำนาญในการเขียนสีน้ำอย่างยอดเยี่ยม หม่อมเจ้าการวิก สิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 สิริพระชันษา 85 ปี
พ.ศ. 2558 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศยกย่องเชิดชูพระเกียรติให้หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ทรงเป็น “บูรพศิลปิน” สาขาทัศนศิลป์
ชุมชนเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า, เจดีย์วัดสิงห์ท่า
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
ดุษฎีมาลา. เที่ยวอินเดีย. พระนคร: คุรุสภา, 2494.
ดุษฎีมาลาผู้เขียนจดหมายได้รวบรวมจดหมายที่ผู้เขียน ๆ ถึงคุณดารา เล่าเรื่องราวที่ได้ท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 35 ลงเรือที่อ่าวเบงกอลเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2493 มุ่งหน้าไปประเทศอินเดียด้วยการข้ามอ่าวเมาะตะมะ เห็นแม่น้ำอิรวดี เห็นยอดเจดีย์ชเวดากองมาถึงย่างกุ้งตรงไปกัลกัตตา ถึงเมืองกัลกัตตามีคุณถนัด นาวานุเคราะห์มารับไปพักแกรนด์โฮเต็ล ตอนค่ำได้ชมละครแขกคณะอูเดจังก้า ขึ้นเรือบินของบริษัท Air India ที่จะต้องช่างน้ำหนักผู้โดยสารและต้องเสียค่าน้ำหนักของ 75 รูปี เรือแล่นเลียบอ่าวเบงกอลรวมเวลาเดินทางถึงเมืองบังกะลอร์ 8 ชั่วโมงที่เมืองไมเซอร์ได้มีการตกแต่งเมืองด้วยแสงสีไฟในงานที่ตรงกับวันที่พระรามพานางสีดากลับเข้าเมืองอโยธยาและทำราชาภิเษกเรียกว่า “ทีปะวลี” ทีปแปลว่าประทีป วลีแปลว่ามาลัย ในอินเดียมีวันสำคัญทางศาสนามากมายโรงเรียน มีการแบ่งวรรณะ 4 วรรณะและจะอยู่ปะปนกันไม่ได้ วรรณะสูทร์ต้องหลกหลีกวรรณะอื่น เพราะสกุลต่ำต้อย พระเป็นเจ้าที่สำคัญที่สุดมีสามองค์ คือ พระพรหม พระวิศณุ และพระศิวะ ที่เมืองไมเซอร์จะมีไม้หอมที่เรียกว่า “ไม้จันทน์” เพราะกลิ่นหอมเหมือนไม้จันทน์ของไทยนำมาแกะสลักเป็นเทวรูป และที่นี่มีน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกชื่อ “กสปะ” (Jog fall) มีงาช้างจำหน่าย มีลิง ชะนี จำนวนมาก หญิงสาวแต่งงานแล้วจะต้องเจาะจมูกเพื่อใส่ตุ้มจมูกต้องใส่ตลอดจนกระทั่งเป็นหม้าย ที่นี่ทันสมัยมีการเก็บกักน้ำจากน้ำตกไว้ทำแรงไฟฟ้าจึงมีไฟพอจุดตามทิวเขาเป็นแนวยาวหากมีการไปเยี่ยมเยียถึงบ้าจะได้รับของฝากเป็นหมากและผลไม้ ที่เมืองบังกะลอร์มีเหมืองทำทองใช้คนงานสองหมื่นคน ที่นี่มีความทันสมัยเพราะมีไฟฟ้าติดตลอด มีโทรศัพท์ติดต่อกัน และคล้ายจะมีรถไฟใต้ดินเหมือนกันอังกฤษด้วย มีเกาะซีลอนซึ่งเป็นของอินเดียแต่อังกฤษมายึดและตั้งเป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ มีเมืองหลวงชื่อโคลัมโบ ผู้เขียนได้เล่าประวัติมหาตมะคานธี เกิดเมื่อ ค.ศ. 1896 ที่จังหวัดสุธรรมาบึรี พอสองขวบย้ายไปอยู่เมืองราชโกฏ เป็นคนซื้อสัตย์สุตจริต อายุ 13 ปี ได้สมรสกับเด็กหญิงกัสดรายาย อายุ 18 ปี เข้ามหาวิทยาลัยภวนคร แต่อ่อนวิชาภาษาอังกฤษเกิดท้อใจออกไปอยู่บ้านเฉย ๆ เป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไปเรียนจบกฎหมายที่อังกฤษและตั้งสำนักงานทนายความที่ราชโกฏ คานธีต่อสู้ทางการเมืองเพื่ออิสระของประเทศด้วยสันติวิธี และบำเพ็ญทุกกรกิริยาอดอาหาร อังกฤษจึงกลัวพวกแขกจะไม่ยกโทษให้หากคานธีตายลง และเขาก็ชนะประกาศอิสระภาพได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1947 และยังมีเรื่องเล่าสนุกอีกมากมายที่น่าอ่านยิ่งนัก
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เรื่อง เครื่องถ้วยชิ้นเด่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร : จานลายครามรูปกระต่ายคาบเห็ดหลินจือที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชรhttps://web.facebook.com/kamphaengphetnationalmuseum/posts/4805744249551962
วัดสระไตรนุรักษ์ หรือ วัดบ้านนาเวียง อยู่หมู่ที่ ๑ บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ประวัติวัดสระไตรนุรักษ์ หรือวัดบ้านนาเวียง สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ โดยพระครูหลักคำ (ชา) ภิกษุชาวลาว ภายหลังได้บูรณะใน พ.ศ.๒๔๕๐ ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญ ได้แก่ หอไตรหอไตร ตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอีสาน-ล้านช้าง ที่ได้รับอิทธิพลไทยใหญ่ ดังจะเห็นได้จากชุดหลังคาจั่วซ้อนชั้น และทำชายคาปีกนกซ้อนชั้นยื่นออกทั้งสี่ด้าน มุงกระเบื้องแป้นเกล็ด คล้ายกับชุดหลังคาหอไตรวัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เสาและตัวอาคารสร้างด้วยไม้ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ขนาดกว้าประมาณ ๘.๓๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๐.๕๐ เมตร บานประตูแกะสลักลายเครือเถาขดเป็นวงกลมซ้อนต่อเนื่องกันตลอดทั้งสองบาน ตรงกลางอาคารเป็นห้องทึบ ขนาดกว้างประมาณ ๓.๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๕.๐๐ เมตร สำหรับเก็บคัมภีร์ มีทางเดินโดยรอบ หอไตรหลังนี้ได้รับการบูรณะครั้งหลังสุดเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๕
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานวัดสระไตรนุรักษ์ (วัดนาเวียง) ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๗ ตอนพิเศษ ๑๑๓ วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๓ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๓ ไร่ ๑ งาน ๕ ตารางวา
----------------------------------------------
อ้างอิงจาก
กองพุทธศาสนสถาน, กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,
๒๕๓๘. หน้า ๖๗๔
คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดยโสธร. หนังสือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ๒๕๔๒.
----------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02riUfktVs2zKNb2zePx4oD57wVivqfLnL9ExaG7LXMNq4MNWvCEvpy3iw844vJxZQl&id=835594323191791
ดอกบัวดินบานรับวันหยุดยาวบัวดินจะออกดอกในช่วงฤดูฝน และจะบานมากในช่วง 2-4 วัน หลังฝนตกหนัก ดอกบัวดินจะบานในช่วงเช้า และจะหุบในช่วงเย็น โดยดอกบัวดินที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน มีดอกสีเหลือง และสีชมพูพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เปิดบริการตามปกติในวันพุธที่ 13 - วันศุกร์ ที่ 15 กรกฎาคม 2565เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันหยุดราชการกรณีพิเศษ
“วันประถมศึกษาแห่งชาติ 25 พฤศจิกายน”
วันประถมศึกษาแห่งชาติ เป็นวันที่รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อการศึกษาของไทย ที่ได้ทรงวางรากฐานให้กับการศึกษาของชาติ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนการประถมศึกษา และพระราชทานตราพระราช บัญญัติด้านการประถมศึกษาเอาไว้ ทำให้เกิดเสรีภาพทางการศึกษา และเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย จวบจนกระทั่งทุกวันนี้
การประถมศึกษาของไทยอาศัย บ้าน วัด วัง เป็นสถานศึกษามาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย จนถึงสมัยรัตน โกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงริเริ่มวางรากฐานการประถมศึกษา ของไทยขึ้น โดยจัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2414 และตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรที่วัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ. 2427 และขยายการศึกษาไปตามหัวเมืองต่างๆ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงรับภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษา สืบเนื่องจากพระราชบิดา ทรงยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงสร้างในปี พ.ศ.2453 ขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงให้จัดสร้างโรงเรียนเพาะช่างขึ้นในปี พ.ศ.2456 ทรงจัดตั้งโรงเรียนเบญจมราชาลัยเพื่อฝึกหัดครูในปี พ.ศ.2456 ทรงตั้งโรงเรียนพาณิชยการ เมื่อปีพ.ศ.2465
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ขึ้นเพื่อบังคับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเพื่อให้เด็กทุกคนรู้หนังสือ จึงทรงตราพระราฃบัญญัติประถมศึกษาออกบังคับเป็นเขต ๆ ไป เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2464 เพื่อกำหนดให้เด็กที่มีอายุ 7-14 ปีบริบูรณ์ เข้าเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน นับเป็นการเริ่มต้นการศึกษาภาคบังคับในระดับประถมศึกษา โดยพระราชบัญญัติประถมศึกษานี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2464
ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันประถมศึกษาแห่งชาติ และได้จัดงานวันประถมศึกษาแห่งชาติเป็นประจำมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2491-2508 ต่อมาโรงเรียนประถมศึกษาได้ถูกโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่นั้นมางานวันประถมศึกษาแห่งชาติจึงเปลี่ยนชื่อเป็น วันศึกษาประชาบาล
ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2523 ได้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาขึ้น จึงได้โอนโรงเรียนประชาบาลกลับมาสังกัดคณะกรรมการการศึกษา การจัดงานวันศึกษาประชาบาลจึงสิ้นสุดลง และกลับมาจัดวันประถมศึกษาแห่งชาติขึ้นใหม่ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 วันประถมศึกษาแห่งชาติจึงเปลี่ยนจากวันที่ 1 ตุลาคม มาเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่พระองค์เป็นผู้วางรากฐานและสนับสนุนการประถมศึกษาอย่างดี
#วันประถมศึกษาแห่งชาติ
#กระทรวงศึกษาธิการ
#พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
#พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
#หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกจันทบุรี