ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ
ผู้แต่ง : พระพุทธพุกาม, พระพุทธญาณ.
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร
ปีที่พิมพ์ : 2482
หมายเหตุ : นายพันตำรวจเอก พระยาทรงพลภาพ พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานประชุมเพลิง คุณหญิงทรงพลภาพ (ชุน พลธร) ณ เมรุวัดจักรวรรดิราชาวาส วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2482
หนังสือตำนานมูลศาสนา มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติทางพุทธศาสนา และเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประชาชนในแหลมสุวรรณภูมิสมัยโบราณ
-- สมเด็จย่ากับงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข --
๐ นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ อันเป็นปีที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จได้ราวปีเศษ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้อัญเชิญสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมเพื่อพักผ่อนพระอิริยาบถ ณ พระตำหนักแห่งใหม่นี้ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมครั้งนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงพระดำเนินไปตามป่าเขาและแวะเยี่ยมเยียนชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ ในละแวกนั้น ทำให้ได้ทรงพบเห็นราษฎรหลังจากนั้นเป็นต้นมา
๐ ทุกครั้งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จเยี่ยมประชาชนในท้องที่ห่างไกลก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงที่ตามเสด็จช่วยรักษาพยาบาลชาวบ้านที่ป่วยไข้ซึ่งพระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรการปฏิบัติงานด้วยพระองค์เอง ทุกครั้งอย่างไรก็ตามในแต่ละแห่งที่เสด็จเยี่ยมทรงใช้เวลาราว ๓-๔ ชั่วโมง ทำให้แพทย์ที่ตามเสด็จฯ เพียง ๑ - ๒ ท่าน ไม่สามารถทำการรักษาผู้ป่วยที่มีจำนวนนับร้อยได้ทัน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงได้ทรงมีพระราชดำริที่จัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาในพระองค์ขึ้น โดยให้ทดลองจัดตั้งขึ้นก่อนในปีพ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งปรากฏว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
๐ ดังนั้นในปีถัดมา (พุทธศักราช ๒๕๑๒) สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงทรงมีพระราชปรารภถึงแนวพระราชดำริในการจัดตั้งหน่วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกรเข้ามาเป็นอาสาสมัครของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในพระองค์นี้และได้จัดให้มีการประชุมอาสาสมัครเหล่านี้ขึ้นเป็นครั้งแรกที่พระ ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลการประชุมในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิด “หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล” หรือที่พระราชทานชื่อย่อ “พอ.สว.” ขึ้น ที่นี่หน่วยแพทย์ พอ.สว. จะประกอบไปด้วยแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นอาสาสมัครทำงานด้วยความเสียสละโดยมิได้รับเงินเดือน หรือค่าตอบแทนพิเศษอื่นใดและจะเคลื่อนที่ออกไปให้บริการตรวจรักษาชาวบ้านตามท้องถิ่นต่างๆ ที่กันดารห่างไกล ความเจริญเฉพาะในวันเสาร์และวันอาทิตย์ซึ่งการออกปฏิบัติดังกล่าวเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๒
ในการดำเนินงานทางโบราณคดีในกรุงเทพมหานคร เศษภาชนะดินเผาประเภทหนึ่งที่พบทั่วไป ในแหล่ง คือ เศษภาชนะดินเผาก้นกลม ตัวภาชนะคอดสั้น ขอบปากตั้งตรง หรือที่เรียกว่า ภาชนะทรงหม้อตาล ภาชนะดินเผาประเภทนี้ สันนิษฐานว่าใช้เป็นภาชนะบรรจุน้ำตาลเพื่อใช้ในครัวเรือน ซึ่งนับแต่สมัยอยุธยา – รัตนโกสินทร์ น้ำตาลเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่พ่อค้าชาวต่างประเทศนิยมชื้อจากไทย เนื่องจากคุณภาพดี ราคาถูก โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕) น้ำตาลนับเป็นสินค้าสำคัญที่ชาวต่างประเทศให้ความสนใจ นอกเหนือจากข้าว เครื่องเทศ พริกไทยดำ รง ฝาง ฯลฯ บรรดาพืชผลเหล่านี้ส่งมาจากพื้นที่ตอนในของไทยมารวมอยู่ที่เมืองบางกอก แล้วจึงนำลงเรือสินค้าส่งต่อไปยังสิงคโปร์ บอมเบย์(ปัจจุบัน คือ มุมไบ ประเทศอินเดีย) และประเทศอังกฤษ เพื่อขายให้กับดินแดนต่างๆในยุโรป หนังสือวชิรญาณวิเศษ ร.ศ.๑๐๙ – ๑๑๐(พ.ศ.๒๔๓๓ – ๒๔๓๔) กล่าวถึง ผลผลิตน้ำตาลของไทยว่า “...สรรพน้ำตาลต่างๆที่ทำอยู่หรือมีอยู่ในประเทศเรานี้ มีอยู่ ๖ อย่าง คือ น้ำตาลทราย ๑ น้ำอ้อย ๑ น้ำตาลโตนด ๑ น้ำตาลมะพร้าว ๑ น้ำตาลจาก ๑ แต่น้ำตาลทรายนี้ต้องทำด้วยน้ำอ้อย น้ำตาลโตนดทำด้วยทะลายตาลหรืองวงตาลที่แรกออก น้ำตาลกรวดทำด้วยน้ำตาลทราย น้ำตาลมะพร้าวทำด้วยจั่นมะพร้าว น้ำตาลจากทำด้วยงวงจาก...” น้ำตาลที่มีการผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทหม้อดินเผานั้นมีเฉพาะน้ำตาลโตนด ซึ่งราคาการจำหน่ายโดยทั่วไป ๑๔ หม้อเป็นเงิน ๑ บาท หากเป็นช่วงน้ำตาลโตนดขาดแคลน อาจจำหน่ายในราคา ๘ หม้อ ๑ บาท ภาชนะดินเผาทรงหม้อตาลที่พบส่วนใหญ่มีขนาดสูง ๗ – ๘ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนปาก ๑๘ – ๒๓ เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม ภาชนะดินเผารูปทรงนี้ยังพบในแหล่งโบราณคดีบริเวณศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช แหล่งโบราณคดีคลองคูเมือง(คลองบ้านขมิ้น) เช่นกัน โดยพบว่า ภาชนะดินเผาแบบนี้ หากมีขนาดเล็ก(ขนาดสูง ๓ – ๔ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนปาก ๑๒.๖ – ๑๕ เซนติเมตร) มักพบมีปูนสีขาวบรรจุอยู่ภายในภาชนะดินเผานั้น (ซ้าย) ต้นมะพร้าว พืชชนิดหนึ่งที่ให้น้ำตาลในสยาม จากงานเขียนของซีมง เดอ ลา ลูแบร์(Simon de la Loubère) (ขวา) ซีมง เดอ ลา ลูแบร์(Simon de la Loubère) (พ.ศ.๒๑๘๕ – ๒๒๗๒) หัวหน้าคณะทูตฝรั่งเศสซึ่งเดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๒๒๓๐ (ซ้าย) ภาชนะดินเผาทรงหม้อตาล พบจากจากการดำเนินงานทางโบราณคดีบริเวณสนามด้านข้างพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ขวา) ภาชนะดินเผาทรงหม้อตาล พบจากการงมในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ (ซ้าย – ขวา) ภาชนะดินเผาทรงหม้อตาลขนาดเล็ก พบจากแหล่งโบราณคดีคลองคูเมืองเดิม(คลองบ้านขมิ้น) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวเมธินี จิระวัฒนา นักโบราณคดีชำนาญการ กองโบราณคดี------------------------------------------------
ชื่อเรื่อง กฐินทานานิสํสกถา (อานิสงส์กฐิน)สพ.บ. 184/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 50 หน้า กว้าง 4.8 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง ไตรโลกวินิจฉัยบทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ภาษาบาลี-ไทย ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณภิธมฺมเทสนา (เทศนาสังคิณี-ยมก)สพ.บ. 127/4ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 24 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.91/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 5 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 54 (122-128) ผูก 5 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (พระอภิธัมมสังคิรี-พระสมันตมหาปัฎฐาน) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ขอมภาษา : บาลี-ไทยบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง ปฐมสมฺโพธิ (ปฐมสมโพธิกถา)สพ.บ. 161/14ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 50 หน้า กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา พระพุทธเจ้า
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๙๒
เจ้าอาวาสวัดนาจอมเทียน ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.30/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
พระพุทธรูปนั่งปางแสดงธรรม มีพระมัสสุ สำริด สูง ๒๓ เซนติเมตร ศิลปะทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ (ประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว) พบจากเจดีย์หมายเลข ๑๓ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง พระพุทธรูปนั่ง ปางแสดงธรรม พระเศียรใหญ่ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา พระนาสิกใหญ่งุ้ม พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระโอษฐ์หนาอมยิ้ม มีพระมัสสุอยู่เหนือขอบพระโอษฐ์ พระกรรณยาวเจาะเป็นช่อง เม็ดพระศกเล็ก พระอุษณีษะทรงกรวย พระรัศมีรูปดอกบัวตูม ครองจีวรห่มเฉียง จีวรเรียบบางแนบพระวรกาย ขอบสบงเป็นแนวที่บั้นพระองค์ มีชายสังฆาฏิอยู่เหนือพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ขวายกขึ้นระดับพระอุระ แสดงวิตรรกะมุทรา (ปางแสดงธรรม) พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นยึดชายจีวรไว้เหนือระดับพระเพลา ประทับนั่งขัดสมาธิราบอย่างหลวมๆ พระบาทซ้ายอยู่บนพระบาทขวา พระพุทธรูปองค์นี้แสดงถึงสุนทรียภาพและความนิยมแบบพื้นเมืองอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะทวารวดี ได้แก่ พระขนงที่ต่อกันเป็นรูปปีกกา และการแสดงวิตรรกะมุทรา เริ่มปรากฏอิทธิพลศิลปะเขมรขึ้น เห็นได้จากรูปแบบพระพักตร์สี่เหลี่ยม และพระพุทธรูปมีพระมัสสุเหนือขอบพระโอษฐ์ นอกจากนั้นรูปแบบพระรัศมีและสังฆาฏิที่พาดเหนือพระอังสาซ้ายนั้น เป็นอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบปาละ ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๗ (ประมาณ ๙๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ดังนั้นจึงอาจกำหนดอายุพระพุทธรูปองค์นี้ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ (ประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว) การทำพระมัสสุหรือไรมัสสุ ในประติมากรรมสมัยทวารวดี น่าจะได้รับอิทธิพลโดยตรงจากศิลปะเขมร เนื่องจากการทำพระมัสสุนั้นมักปรากฏในกลุ่มเทวรูป และประติมากรรมภาพบุคคลหรือยักษ์ เริ่มตั้งแต่ศิลปะเขมร สมัยบาแค็ง (ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว) เป็นต้นมา ทั้งนี้นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า การทำพระมัสสุหรือไรมัสสุในพระพุทธรูป อาจเกิดจากความเคยชินของช่างในการสร้างประติมากรรมที่เป็นเทวรูปก็เป็นได้ ----------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1501162320081515&id=153378118193282&sfnsn=mo ----------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. ศิลปะทวารวดี ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, ๒๕๕๒. พนมบุตร จันทรโชติ และคณะ. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง และเรื่องราวสุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๐. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒