ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,825 รายการ

ประติมากรรมรูปพุทธประวัติ ตอน มารวิชัย สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ กรมพระราชพิธีส่งมาจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องธนบุรี-รัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประติมากรรมทองเหลืองประดับแก้วสี แสดงตอนมารวิชัย กึ่งกลางเป็นฐานชุกชี และเบื้องหลังคือต้นโพธิ์ที่ใบประดับแก้วสี เบื้องล่างมีรูปพระแม่ธรณียืนบิดมวยผม ด้านซ้ายของฐานชุกชีเป็นรูปหมู่พญามาร ซึ่งมีพระยาวัสวดีมาราธิราชทรงอาวุธประทับบนคอช้างคีรีเมขลามหาคชสาร และบริวารถือวารถืออาวุธมุ่งไปยังโพธิบัลลังก์ ด้านขวาเป็นรูปพระยาวัสวดีมาราธิราชยกมือไหว้ มืออื่นแสดงการถือดอกบัว (ยอมแพ้ต่อพระบารมีของพระพุทธเจ้า) ส่วนบริวารจมไปกับสายน้ำ บางตนแสดงการยกมือไหว้เหนือศีรษะ บางตนถูกจระเข้สังหาร  ประติมากรรมพุทธประวัติชิ้นนี้เป็น ๑ ใน ๒๗ รายการ ที่เล่าเรื่องปฐมสมโพธิตอนต่าง ๆ แม้ไม่ปรากฏประวัติของผู้สร้างและปีที่สร้าง แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เนื่องด้วยในรัชกาลของพระองค์มีการเรียบเรียงพุทธประวัติขึ้นใหม่ชื่อว่า “ปฐมสมโพธิกถา” โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ประกอบกับเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรงได้คิดค้นรูปแบบของพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าที่สัมพันธ์กับเรื่องราวพุทธประวัติเป็นปางต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมรวม ๔๐ ปาง  เหตุการณ์ตอนมารวิชัย เป็นเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ ในเรื่องปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ ๙ มารวิชัยปริวรรต กล่าวว่าเป็นตอนที่พระโพธิสัตว์ (เจ้าชายสิทธัตถะ) เผชิญหน้ากับเหล่าพญามารที่ประสงค์จะทำร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ถึง ๙ ประการ แต่ก็มิอาจทำอันตรายใดๆ แก่พระโพธิสัตว์ได้ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า  “...ลำดับนั้น [ฝ่ายพญามาร-ผู้เขียน] ก็แสดงฤทธิให้เป็นห่าฝนนานาวิธาวุธวิเศษ มีประเภทคือคมข้างเดียวแลคมทั้งสองข้าง บ้างก็เป็นพระขรรค์แลดาบหอกจักรธนูศรเสน่าเกาทัณฑ์เป็นต้น ให้ตกลงมาเป็นควันเป็นเปลวเพลิงมาบนอัมพราประเทศ พอถึงพระกายก็กลายเป็นทิพยมาลาเลื่อนลอยลงบูชาทั้งสิ้น...” ในท้ายที่สุดพระโพธิ์สัตว์ทรงใช้พระดัชนี (นิ้วชี้) แตะที่พื้นแผ่นดินพร้อมเปล่งวาจาเรียกพระแม่ธรณีขึ้นมาเป็นพยานในการแสดงพระบารมีของพระองค์ที่ได้สั่งสมไว้เพื่อขจัดเหล่ามารทั้งปวง เมื่อพระแม่ธรณีปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพระโพธิสัตว์ได้บิดน้ำจากเมาลี ซึ่งแทนด้วยคุณธรรมที่พระโพธิ์สัตว์สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ กลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาเหล่าพญามารทั้งปวง ดังข้อความว่า  “...ครั้งนั้นหมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการ*ไปสิ้น ส่วนคีรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ก็ลอยไปตามธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...” หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พระโพธิ์สัตว์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดับสิ้นซึ่งกิเลสทั้งปวง ดังข้อความว่า “...พอเป็นเวลาตัมพารุณสมัย** ไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า สมเด็จพระมหาสัตว์ก็ตรัสรู้พระสัพพัญญุตัญญาณ ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน***...” ซึ่งการตรัสรู้ของพระองค์ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อีกทั้งวันดังกล่าวยังตรงกับเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธเจ้าอีกสองเหตุการณ์ คือ การประสูติ และปรินิพพานของพระองค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี จึงถูกกำหนดเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่รู้จักกันในนามของวันวิสาขบูชา (Vesak Day) และถือเป็น “วันสำคัญของโลก” อีกด้วย   *ปลาตนาการ หมายถึง การหนีหายไปสิ้น **ตัมพารุณสมัย หมายถึง เวลารุ่งอรุณ ***สมุจเฉทปหาน หมายถึงการละกิเลสได้ขาดอย่างพระอรหันต์ ------------------------------------------------------- อ้างอิง ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ: กองวรรณคดีและ ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๓๐. (รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดพิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณในมหามงคลเฉลิมพระเกียรติวันพระบรมราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วันอังคารที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐). เสริมกิจ ชัยมงคล. “ประติมากรรมขนาดเล็ก เล่าเรื่องปฐมสมโพธิหรือพระพุทธประวัติที่จัดแสดงภายใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร.” ใน พิพิธวิทยาการ รวมบทความวิชาการด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์วิทยา ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: กลุ่มวิจัย สำนักพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔.   -------------------------------------------- เรียบเรียงข้อมูล :  นายพนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  


จารึกหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน ลพ. ๑๓ จารึกหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน ลพ.๑๓  ตามประวัติกล่าวว่าพบที่วัดแสนข้าวห่อ (ร้าง) เป็นบริเวณด้านหลังวัดพระธาตุหริภุญชัยอันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ในปัจจุบัน ลักษณะจารึกเป็นแท่งสี่เหลี่ยมทำจากหินทรายสีแดง สูง ๑๒๘ ซม. กว้าง ๔๐ ซม. หนา ๔๐ ซม.  สภาพชำรุด ข้อความจารึกไม่สมบูรณ์ ปรากฏจารึกอักษรฝักขาม ภาษาไทย เพียง ๒ ด้าน ด้านที่แรก มีจำนวน ๑๔ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๓ บรรทัด เนื้อหาจารึกหลักนี้แตกต่างจากจารึหลักอื่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ    หริภุญไชย ที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการพระศาสนากล่าวถึงเรื่องราวของการสร้างวัดวาอาราม สร้างพระพระพุทธรูปและถวายผู้คน สิ่งของ แก่พระอาราม ในเนื้อหาได้กล่าวถึงการกระทำสัตย์ปฏิญาณ ที่พระมหากษัตริย์ทรงรับสั่ง และทรงรับคำสั่งจากพระเชษฐาเกี่ยวกับราชสมบัติ และมีข้อความตอนท้ายที่กล่าวถึงหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน และด้านที่  ๒ ที่มีตอนท้ายกล่าวขอให้เทวดามาอนุโมทนาในการกระทำวรสัตยาธิษฐาน ลักษณะและรูปแบบอักษรที่ใช้จารึกนั้น กำหนดอายุประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ อ้างอิงก่องแก้ว วีระประจักษ์ (และคนอื่นๆ). จารึกล้านนา ภาค ๒ เล่ม ๑-๒ : จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ :กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.คงเดช ประพัฒน์ทอง, วิเคราะห์ศิลาจารึกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๒.


เรื่อง ประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวีย ปรีดี หงษ์สต้น. ประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวีย. กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป, 2564. ห้องหนังสือทั่วไป 1 เลขเรียกหนังสือ 948 ป472ป การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จะช่วยให้เข้าใจความเป็นมาของสภาพแวดล้อมทางสังคมและพื้นที่นั้นๆ มากขึ้น ทำให้เรื่องราวที่ดูเหมือนจะไกลตัวกลับมีความน่าสนใจ หรือในบางครั้งส่งผลให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับสถานที่นั้น จุดเริ่มต้นในการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างง่าย นั่นคือ เลือกอ่านหนังสือสักหนึ่งเล่มที่มีเนื้อหาตรงตามความสนใจ แล้วเริ่มเดินทางไปตามเส้นทางประวัติศาสตร์นั้น ประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวีย เล่มนี้ ผู้เขียนพาเราไปพบกับ สแกนดิเนเวีย ภูมิภาคที่เป็นส่วนหนึ่งของทวีปยุโรปเหนือ ประกอบไปด้วยประเทศเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน เป็นกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการประวัติศาสตร์ยุโรปเหนือและรัสเซีย สแกนดิเนเวียเริ่มมีบทบาทในประวัติศาสตร์โลกและก่อเกิดอารยธรรมที่สืบเนื่องนับพันปี เมื่อชาวสแกนดิเนเวียขยายอำนาจไปตามดินแดนต่างๆ เรียกว่า ยุคไวกิ้ง โดยจุดประสงค์ในการเดินทางของชาวไวกิ้ง คือ การค้าขาย (สิ่งของและทาส) การปล้น การหาที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการจาริกตามความเชื่อ เรื่องหนึ่งที่เป็นภาพจำของสังคมยุคไวกิ้ง คือ การค้าทาส พวกเขาใช้ทาสในการทำกิจการหลายอย่าง อาทิ การผลิต การรบ จนอาจกล่าวได้ว่าทาสถือเป็นใจกลางของสังคมไวกิ้ง นอกจากทาสแล้วสังคมไวกิ้งยังประกอบด้วย ไวกิ้งอิสระ ซึ่งก็คือ ชาวนา ชาวไร่ แรงงานรับจ้าง และอาชีพที่เป็นปัญญาชน อาทิ หมอความ หมอรักษาโรค และกลุ่มสุดท้ายที่เหนือกว่ากลุ่มอื่น คือ ผู้นำไวกิ้ง ซึ่งก็คือหัวหน้าเผ่าและกษัตริย์ เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่โลกยุคร่วมสมัย โลกรับรู้การมีอยู่ของภูมิภาคสแกนดิเนเวียในฐานะกลุ่มประเทศที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตยอดเยี่ยม รัฐสวัสดิการครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนถึงเสียชีวิต ระบบการศึกษาดี และประชากรมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน หากจะให้เห็นภาพชัดเจนที่สุดว่าสแกนดิเนเวียมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของเราอย่างไร คงต้องเริ่มต้นที่ผลิตผลและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ อาทิ ของเล่นเลโก้ต้นกำเนิดจากเดนมาร์ก รถยนต์วอลโว่จากสวีเดน เสื้อผ้าแบรนด์ เอชแอนด์เอ็ม (H&M) เฟอร์นิเจอร์อิเกีย (IKEA) รวมไปถึงเกมเฮย์เดย์ (HayDay) และเกมแองกี้เบิร์ด (Angry Bird) ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เรื่องราวของภูมิภาคสแกนดิเนเวียยังมีให้เรียนรู้และนำมาเป็นเรื่องเล่าได้อย่างไม่รู้จบ ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติชลบุรี (วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 09.00 - 17.00 น.)




สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 148/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/6กเอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อผู้แต่ง          สมบัติ  พลายน้อย ชื่อเรื่อง           ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย ครั้งที่พิมพ์       พิมพ์ครั้งที่ ๓ สถานที่พิมพ์     พระนคร สำนักพิมพ์       รวมสาส์น ปีที่พิมพ์          ๒๕๒๓ จำนวนหน้า      ๕๔๔  หน้า รายละเอียด                    หนังสือ ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย เป็นหนังสือสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งได้รวบรวมชาวต่างชาติที่ได้มาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่ ปลัดเล หมอสมิธ เลโอโนเวลส์ สังฆราชเลอกัว เป็นต้น เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชาวต่างชาติเหล่านั้นที่ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความเป็นมาของนิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย พร้อมภาพประกอบ



ชื่อเรื่อง : สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชื่อผู้แต่ง : จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2514 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์ จำนวนหน้า : 150 หน้า สาระสังเขป : เรื่อง สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก หลวงสถิตยุทธการ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. (สถิต สถิตยุทธการ) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2514 ได้รวบรวมจากราชกิจจานุเบกษาเฉพาะเล่ม 1 จ.ศ. 1236 (พ.ศ. 2417) เป็นหนังสือสำคัญในด้านประวัติศาสตร์การปกครองของไทยที่ช่วยให้เราทราบถึงพระบรมราโชบายและพระราชอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในอันที่จะปรับปรุงการปกครองละการบริหารบ้านเมืองให้เกิดประโยชน์สุขแท้แก่พสกนิกรไทยเมื่อปี พ.ศ. 2417


ผู้แต่ง             สุรชัย เครือประดับ. ชื่อเรื่อง           ไหว้ครูดนตรีไทย และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทยครั้งที่พิมพ์       -ปีที่พิมพ์          ๒๕๒๔สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯสำนักพิมพ์       มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)จำนวนหน้า      ๕๒ หน้ารายละเอียด                 ไหว้ครูดนตรีไทย และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย นี้ มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ  (ศร ศิลปบรรเลง) จัดพิมพ์ขึ้น เพื่อถวายพระกุศลแด่หม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล ในวโรกาสวันประสูติครบรอบ ๑๐๐ ปี ๒๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ มีเนื้อหา ไหว้ครูดนตรีไทย และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย พัฒนาการแห่งดนตรีไทยสมัยต่างๆ


         ภาพ ‘ริมธารรัก’ ของ ประสงค์ ปัทมานุช          100 ปี ศิลปสู่สยาม สุนทรียศิลปแห่งนวสมัย          ประสงค์ ปัทมานุช (พ.ศ. 2461 – 2532) ศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาทัศนศิลป์ (มัณฑนศิลป์) ประจำปี 2497 และศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี 2529 เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานจิตรกรรมได้อย่างโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กล่าวถึงท่านไว้ในบทความ ‘ศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย’ ว่า “ประสงค์ ปัทมานุช เป็นจิตรกร – มัณฑนากรโดยกำเนิด ด้วยแนวโน้มในการแสดงออกแบบใหม่อย่างน่าประหลาด” ประสงค์มีความสนใจในด้านศิลปะและการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้นได้เริ่มศึกษาวิชาศิลปะขั้นต้นที่โรงเรียนเพาะช่าง จนมีความรู้แตกฉานในด้านการเขียนภาพไทยและลายไทย ต่อมาจึงเข้าศึกษาที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม ด้านจิตรกรรม กับศาสตราจารย์ศิลป์เป็นเวลา 4 ปี จนจบการศึกษาในปี 2483 มีความรู้ความสามารถทั้งศิลปะแบบไทยประเพณีและสากลอย่างตะวันตกเป็นอย่างดี ในปีต่อมา ท่านเข้ารับราชการที่กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร และเป็นอาจารย์รุ่นแรกสอนวิชาจิตรกรรมที่คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร          ประสงค์ถือเป็นศิลปินผู้บุกเบิกงานจิตรกรรมไทยสมัยใหม่ ที่ถ่ายทอดความประทับใจในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทย มีความหลากหลายทั้งรูปแบบของผลงาน เทคนิค และการใช้สี อาทิ ผลงานแบบไทยประยุกต์ที่นำเอารูปแบบและเทคนิคของงานจิตรกรรมไทยประเพณีมาผสมผสาน ผลงานแบบคิวบิสม์ (Cubism) ที่มีลักษณะแบนตัดกันไปมา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากทิวทัศน์และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย และผลงานออกแบบนิเทศศิลป์ โดยเฉพาะผลงานแบบไทยประยุกต์ที่หยิบยก “ภาพกาก” หรือภาพที่อยู่รายรอบเรื่องราวหลักในงานจิตรกรรมฝาผนังแบบไทยประเพณีตามวัดวาอาราม มาใช้เป็นหัวข้อหลักในการเขียนภาพ          ‘ริมธารรัก’ (พ.ศ. 2502) เป็นงานจิตรกรรมแบบไทยประยุกต์ เขียนด้วยสีฝุ่นบนกระดานอัด (Masonite Board) แสดงภาพหนุ่มสาวนั่งหยอกล้อกันอยู่ริมน้ำตกและลำธาร การเขียนภาพบุคคลยังคงลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์แบบไทยโบราณ เช่น การเขียนเค้าโครงใบหน้า และการแสดงท่าทางของบุคคลอย่างนาฏลักษณ์ (ท่าร่ายรำ) ผสมผสานกับการจัดองค์ประกอบภาพแบบงานศิลปะตะวันตก ซึ่งแตกต่างจากงานจิตรกรรมแบบไทยประเพณีโดยทั่วไป ประสงค์ลงสีรูปบุคคลเพื่อสร้างแสงเงาบนใบหน้าและร่างกายให้มีลักษณะเหมือนจริง ท่าทางของหนุ่มสาวที่นั่งหยอกล้อกันมีความนุ่มนวลอ่อนช้อย ประกอบกับบรรยากาศของริมธารน้ำที่ใช้สีเขียว ฟ้า และน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีโทนเย็นไล่น้ำหนักอ่อนแก่ที่บริเวณพื้นหลัง สร้างบรรยากาศยามเย็นที่แดดร่มลมตกให้มีความรื่นรมย์มากยิ่งขึ้น ในปีเดียวกันนั้น ท่านได้เขียนภาพ ‘จันทร์แรม’ (พ.ศ. 2502) ซึ่งจัดแสดงอยู่คู่กันใน นิทรรศการพิเศษ “100 ปี ศิลปสู่สยาม สุนทรียศิลปแห่งนวสมัย” (ภาพอยู่ในคอมเมนต์)          พ.ศ. 2492 ประสงค์ลาออกจากกรมศิลปากร และเข้าทำงานที่แผนกช่างเขียน กองโฆษณาการ ธนาคารออมสิน เป็นผู้บุกเบิกงานด้านการออกแบบตกแต่ง โฆษณา และนิเทศศิลป์ เช่น โปสเตอร์ สิ่งพิมพ์ และปฏิทินภาพไทย นอกเหนือจากเวลางาน ท่านยังคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่องตามแนวทางของตน แม้จะเกษียณอายุราชการเมื่อ พ.ศ. 2522 แล้วก็ตาม ประสงค์ถึงแก่กรรมด้วยโรคเบาหวาน เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2532 สิริอายุ 71 ปี          ภาพ ‘ริมธารรัก’ ของ ประสงค์ ปัทมานุช จัดแสดงอยู่ในนิทรรศการพิเศษ “100 ปี ศิลปสู่สยาม สุนทรียศิลปแห่งนวสมัย” ระหว่างวันที่ 18 มกราคม – 9 เมษายน 2566 ณ อาคารนิทรรศการ 4 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป นอกจากนี้ ยังสามารถชื่นชมผลงานชิ้นอื่นๆ ของท่านได้ในนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙” นิทรรศการส่วนต่อขยายที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับงานศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัยของไทย ณ อาคารนิทรรศการ 3 ทั้ง 2 นิทรรศการ เปิดให้เข้าชมวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 น. (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)   อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประสงค์ ปัทมานุช ได้ที่ https://www.facebook.com/.../a.242467477.../2526269274171080 อ้างอิงจาก 1. หนังสือ “ประสงค์ ปัทมานุช” โดย ธนาคารออมสิน


เลขทะเบียน : นพ.บ.399/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 64 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 145  (48-57) ผูก 2 (2566)หัวเรื่อง : ทสชาติ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.533/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 178  (281-290) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : เภสัชขันธ์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด Facebook Live การเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ "ภาพถ่ายเก่าในหัวเมือง" เนื่องในงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๑ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. วิทยากรโดย นายเอนก นาวิกมูล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ นายกสมาคมจดหมายเหตุไทย ดำเนินรายการ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พีรศรี โพวาทอง           ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ  https://www.facebook.com/NationalArchivesofThailand 


black ribbon.