ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ

          วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ ตึกกรมศิลปากร (สนามหลวง) นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาและกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ จากนั้นผู้ร่วมพิธียืนสงบนิ่งน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นเวลา ๘๙ วินาที โดยมีหัวหน้าส่วนข้าราชการ เข้าร่วมพิธี          ทั้งนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยในรัชสมัยที่ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ และทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม พระองค์บำเพ็ญพระราชกรณียกิจมากมาย ทรงตรากตรำพระวรกายอย่างไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย เหน็ดเหนื่อย ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่อาศัยด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน


ชื่อเรื่อง                                อาการวตฺตสุตฺต (อาการวัตตสูตร) สพ.บ.                                  371/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ผีปู่แสะย่าแสะ​ กับ​ แหล่งทำ​เหล็ก​ ในมิติของการทับ​ซ้อน​พื้นที่​ทางวัฒนธรรม​**เรียบเรียง​โดย​ นายยอดดนัย​ สุขเกษม​ นัก​โบราณคดี​ปฏิบัติ​การ#โบราณโลหะวิทยาดินแดนล้านนา.- พื้นที่ทางด้านทิศใต้ของดอยสุเทพ​ มีภูเขาศักดิ์​สิทธิ์​นามว่า​ "ดอยคำ"  สันนิษฐาน​ว่ามีความสำคัญมาตั้งแต่ยุค​ก่อนรับพุทธศาสนาเข้ามา ดังสะท้อนผ่านตำนานเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้อง​กับผีบรรพชน​ดั้งเดิมอย่าง "ปู่แสะย่าแสะ".- ตำนานพระธาตุ​ดอยคำ​ ได้กล่าวถึงเรื่องราว​ของปู่แสะย่าแสะ​ ว่าเดิมพื้นที่บริเวณ​นี้เป็นที่อยู่​อาศัยของยักษ์​สามตน​ (ปู่แสะ​ ย่าแสะ​ และบุตร)​ ยังชีพด้วยการกินเนื้อสัตว์​และเนื้อมนุษย์​ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้า​เสด็จ​มาถึง​ยักษ์​ทั้งสามตนได้ฟังเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใส​ พระพุทธองค์​ขอให้เหล่ายักษ์​รักษา​ศีล​ เลิกกินเนื้อมนุษย์​ จนเกิดการต่อรอง​ สุดท้ายจบลงด้วยการไปขออนุญาต​เจ้าผู้ครองนครให้กินควายได้​ปีละ​ 1​ ครั้ง​ .- จากเรื่องราวข้างต้น​ เป็น​ที่มาของประเพณี​เลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะที่มีการกระทำพิธีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน​ โดยจะมีการสังเวยควายให้แก่ผีปู่แสะย่าแสะ​ในช่วงเดือนมิถุนา​ยน​ของทุกปี ที่บริเวณ​หน่วยพิทักษ์​อุทยาน​แห่งชาติ​ ทป.4​ (แม่เหียะ)​ ตำ​บล​แม่เหียะ อำเภอเมือง​ จังหวัด​เชียงใหม่.-  พื้นที่บริเวณ​ดังกล่าวนอกจากจะเป็น​พื้นที่ศักดิ์​สิทธิ์​สำหรับประกอบพิธีกรรมเลี้ยงดงผีปู่แสะ​ย่า​แสะ​แล้ว​ ใต้พื้นดินลงไปยังเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับแหล่งถลุงเหล็กโบราณ​ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่​  นับเป็นแหล่งทำเหล็ก​โบราณ​ตั้งอยู่​ใกล้เมืองเชียงใหม่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบในปัจจุบัน.- การศึกษา​โดยสำนัก​ศิลปากร​ที่​ 7​ เชียงใหม่​ ทำให้พบว่าร่องรอยแหล่งถลุงเหล็กโบราณ​แห่งนี้​ ครอบคลุม​พื้นที่ราว​ 15,000 ตารางเมตร​ ปรากฏ​หลักฐาน​เป็นเนินตะกรันจากการถลุงเหล็ก​ (Slag),  ตะกรันจากเตาตีเหล็ก, ท่อเติมอากาศ​ (Tuyere), ก้อนแร่เหล็ก​ (Iron​ Ore)​ และชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาล้านนาจำนวนมาก.- การวิเคราะห์​หลักฐานทางโบราณคดี​ ทำให้ตั้งข้อสันนิษฐาน​ได้ว่า​ เดิมพื้นที่บริเวณ​นี้น่าจะเป็น​ที่ตั้งของชุมชน​ ที่มีกิจกรรมการถลุงเหล็ก​ด้วยกรรมวิธีทางตรง และมีเตาตีเครื่องมือ​เหล็ก​อยู่​ภายในชุมชน​ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วน​ภาชนะ​ดินเผา​จากแหล่งเตาบ่อสวก​ แหล่งเตาพาน​ แหล่งเตาสันกำแพง​ และแหล่งเตาเวียงกาหลง​ ปะปนอยู่ในชั้นกิจกรรมการถลุงเหล็ก​ ซึ่งสอดคล้องกับค่าอายุ​ทางวิทยา​ศาสตร์​ (AMS)​ ที่มีอายุกิจกรรม​อยู่ในราว พ.ศ.​ 2080  จึงสามารถสรุปเบื้องต้นได้ว่า​ ชุมชนทำเหล็ก​แห่งนี้น่าจะมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษ​ที่​ 20​ -​ 21​ ร่วมสมัยกับช่วงราชวงศ์​มังรายปกครอง​เมืองเชียงใหม่.- นอกจากนี้หากวิเคราะห์​เปรียบเทียบ​หลักฐาน​จะพบว่าแหล่งถลุง​เหล็ก​ที่แม่เหียะแห่ง​นี้​ มีรูปแบบเตา​ เทคนิค​ และกรรมวิธี​ที่เหมือนกับแหล่งถลุงเหล็ก​โบราณ​แม่โถ​ อำเภอฮอด​ จังหวัด​เชียงใหม่​ ที่มีชนกลุ่มลัวะเป็น​เจ้าของ​ จึงทำให้ตั้งข้อสันนิษฐาน​ได้ว่ากลุ่มชนดั้งเดิมที่เคยตั้งชุมชนถลุง​เหล็กอยู่ในพื้นที่แม่เหียะแห่งนี้น่าจะเป็น​กลุ่มชาวลัวะด้วยเช่นกัน​ ซึ่ง​สอดคล้อง​กับความทรงจำในท้องถิ่นที่ระบุว่าเคยมีชุมชนลัวะตั้งถิ่นฐาน​อยู่​ในพื้นที่​ใกล้เคียง​แถบนี้​ ก่อนที่จะคลี่คลาย​ไป​เป็น​ชุมชน​เมืองดังเช่นปัจจุบัน.- ท้ายที่สุด​นี้​ ถึงแม้ปัจจุบัน​จะยังไม่พบหลักฐาน​ที่บ่งชี้ชัด​ว่า​ การจัดพิธีกรรมเลี้ยงดงผีปู่แสะย่าแสะบนพื้นที่ร่องรอยชุมชนถลุง​เหล็ก​โบราณ​จะมีนัยยะที่เกี่ยวข้อง​กันหรือไม่​ แต่อย่างน้อยก็​เป็น​สิ่งที่น่าประหลาด​ใจที่มรดกวัฒนธรรม​ทั้ง​ประเภท​ Tangible​ และ​ Intangible ของ​กลุ่ม​ชนดั้งเดิม​ยังคงอยู่ร่วมกันในพื้นที่ป่าใกล้เมืองแห่งนี้​ คู่เมืองเชียงใหม่​สืบไป


สมฺโพชฺฌงฺค (สติ-อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺค)  ชบ.บ.52/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                นิสัยโพธิสัตว์ (นิไสโพธิสัด) สพ.บ.                                  315/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           64 หน้า กว้าง 5.4 ซม. ยาว 39.6 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี






ชื่อเรื่อง                     อัศวภาษิตผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ตำนานพื้นบ้านเลขหมู่                      398.9 ม113อทสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 บริษัทอักษรโสภณ จำกัดปีที่พิมพ์                    2494ลักษณะวัสดุ               38 หน้าภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกภาษิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ ของคนไทยหรือของคนต่างประเทศ เมื่อถ้อยคำที่กล่าวถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งความจริงย่อมเป็นดังนั้น และไม่มีใครจะเถียงได้ เช่นรสของพระธรรมฉันใดถ้อยคำอันนั้นก็ควรเรียกว่า ภาษิต สอนใจฉันนั้น


องค์ความรู้ทางวิชาการ เรื่อง พระธาตุนารายณ์เจงเวง ค้นคว้าและเรียบเรียง : นายดุสิต ทุมมากรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น




องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “วันต่อต้านยาเสพติดโลก 26 มิถุนายน” ด้วยสภาพปัญหายาเสพติดที่ส่งผลให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนทั้งทางตรง และทางอ้อมเป็นจำนวนมาก ทำให้นานาประเทศพยายามร่วมมือกัน เพื่อหาทางหยุดยั้งปัญหายาเสพติด องค์การอนามัยโลกได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงได้จัดตั้งองค์กรพิเศษขึ้นเพื่อประสานความพยายามในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรนี้ด้วย คือ คณะกรรมการยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ “วันต่อต้านยาเสพติดโลก” การจัดตั้งองค์กรเกิดขึ้นจากการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบใช้ยาเสพติด (International Conference on Drug Abuse and licit Trafficking : ICDAIT) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 17-26 มิถุนายน 2530 ที่ประชุมได้มีมติให้เสนอสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ขอให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันต่อต้านยาเสพติดโลก" (International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking) “วันต่อต้านยาเสพติดโลก” เป็นสัญญลักษณ์ของการแสดงเจตนารมย์ร่วมกันของประเทศต่างๆทั่วโลกในการต่อสู้กับปัญหายาเสพติด ที่ประชุมสมัชชาใหญ่มีมติเห็นชอบในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2530 ประเทศต่างๆจึงกำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายน เป็น “วันต่อต้านยาการใช้ยาในทางที่ผิดและการลักลอบค้ายาเสพติด” สำหรับประเทศไทยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ วันที่ 14 มิถุนายน 2531 กำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันต่อต้านยาเสพติด มีกิจกรรมตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา อ้างอิง : บุญเติม แสงดิษฐ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : พัชรการพิมพ์. 2541. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี


ชื่อเรื่อง                     อู่ทอง ต้นทางประวัติศาสตร์ไทย   ผู้แต่ง                       กรมศิลปากร         ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN                 987-616-543-237-5หมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์ เลขหมู่                      959.373 ศ528อ สถานที่พิมพ์               กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                 กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์                    2556ลักษณะวัสดุ               82 หน้า : ภาพประกอบ, แผนที่ ; 19 ซม.หัวเรื่อง                     อู่ทอง - - ประวัติศาสตร์                              สุพรรณบุรี -- ประวัติศาสตร์                              สุพรรณบุรี -- ความเป็นอยู่และประเพณี                              สุพรรณบุรี -- โบราณสถานภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเนื้อหาประกอบด้วยอู่ทอง ต้นทางประวัติศาสตร์ไทย หมายถึง อู่ทอง มีชุมชนบ้านเมือง 2,000 ปีมาแล้ว เก่าสุดในภาคกลาง แล้วขยายตัวเติบโตก้าวหน้าสืบเป็นประเทศไทย เอกสารโบราณเรียกดินแดน อู่ทองว่าสุวรรณภูมิ ต่อมามีรัฐสุพรรณภูมิ หรือสยาม ที่ได้ร่วมกับรัฐอโยธยา-ละโว้ สถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก แล้วสืบเป็นกรุงธนบุรี เป็นกรุงรัตนโกสินทร์ จนปัจจุบัน เป็นประเทศไทย เรียกสั้นๆว่า อู่ทอง ต้นทางไทย    


ประติมากรรมรูปพุทธประวัติ ตอน มารวิชัย สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ กรมพระราชพิธีส่งมาจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องธนบุรี-รัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประติมากรรมทองเหลืองประดับแก้วสี แสดงตอนมารวิชัย กึ่งกลางเป็นฐานชุกชี และเบื้องหลังคือต้นโพธิ์ที่ใบประดับแก้วสี เบื้องล่างมีรูปพระแม่ธรณียืนบิดมวยผม ด้านซ้ายของฐานชุกชีเป็นรูปหมู่พญามาร ซึ่งมีพระยาวัสวดีมาราธิราชทรงอาวุธประทับบนคอช้างคีรีเมขลามหาคชสาร และบริวารถือวารถืออาวุธมุ่งไปยังโพธิบัลลังก์ ด้านขวาเป็นรูปพระยาวัสวดีมาราธิราชยกมือไหว้ มืออื่นแสดงการถือดอกบัว (ยอมแพ้ต่อพระบารมีของพระพุทธเจ้า) ส่วนบริวารจมไปกับสายน้ำ บางตนแสดงการยกมือไหว้เหนือศีรษะ บางตนถูกจระเข้สังหาร  ประติมากรรมพุทธประวัติชิ้นนี้เป็น ๑ ใน ๒๗ รายการ ที่เล่าเรื่องปฐมสมโพธิตอนต่าง ๆ แม้ไม่ปรากฏประวัติของผู้สร้างและปีที่สร้าง แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เนื่องด้วยในรัชกาลของพระองค์มีการเรียบเรียงพุทธประวัติขึ้นใหม่ชื่อว่า “ปฐมสมโพธิกถา” โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ประกอบกับเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรงได้คิดค้นรูปแบบของพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าที่สัมพันธ์กับเรื่องราวพุทธประวัติเป็นปางต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมรวม ๔๐ ปาง  เหตุการณ์ตอนมารวิชัย เป็นเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ ในเรื่องปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ ๙ มารวิชัยปริวรรต กล่าวว่าเป็นตอนที่พระโพธิสัตว์ (เจ้าชายสิทธัตถะ) เผชิญหน้ากับเหล่าพญามารที่ประสงค์จะทำร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ถึง ๙ ประการ แต่ก็มิอาจทำอันตรายใดๆ แก่พระโพธิสัตว์ได้ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า  “...ลำดับนั้น [ฝ่ายพญามาร-ผู้เขียน] ก็แสดงฤทธิให้เป็นห่าฝนนานาวิธาวุธวิเศษ มีประเภทคือคมข้างเดียวแลคมทั้งสองข้าง บ้างก็เป็นพระขรรค์แลดาบหอกจักรธนูศรเสน่าเกาทัณฑ์เป็นต้น ให้ตกลงมาเป็นควันเป็นเปลวเพลิงมาบนอัมพราประเทศ พอถึงพระกายก็กลายเป็นทิพยมาลาเลื่อนลอยลงบูชาทั้งสิ้น...” ในท้ายที่สุดพระโพธิ์สัตว์ทรงใช้พระดัชนี (นิ้วชี้) แตะที่พื้นแผ่นดินพร้อมเปล่งวาจาเรียกพระแม่ธรณีขึ้นมาเป็นพยานในการแสดงพระบารมีของพระองค์ที่ได้สั่งสมไว้เพื่อขจัดเหล่ามารทั้งปวง เมื่อพระแม่ธรณีปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพระโพธิสัตว์ได้บิดน้ำจากเมาลี ซึ่งแทนด้วยคุณธรรมที่พระโพธิ์สัตว์สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ กลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาเหล่าพญามารทั้งปวง ดังข้อความว่า  “...ครั้งนั้นหมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการ*ไปสิ้น ส่วนคีรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ก็ลอยไปตามธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...” หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พระโพธิ์สัตว์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดับสิ้นซึ่งกิเลสทั้งปวง ดังข้อความว่า “...พอเป็นเวลาตัมพารุณสมัย** ไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า สมเด็จพระมหาสัตว์ก็ตรัสรู้พระสัพพัญญุตัญญาณ ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน***...” ซึ่งการตรัสรู้ของพระองค์ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อีกทั้งวันดังกล่าวยังตรงกับเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธเจ้าอีกสองเหตุการณ์ คือ การประสูติ และปรินิพพานของพระองค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี จึงถูกกำหนดเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่รู้จักกันในนามของวันวิสาขบูชา (Vesak Day) และถือเป็น “วันสำคัญของโลก” อีกด้วย   *ปลาตนาการ หมายถึง การหนีหายไปสิ้น **ตัมพารุณสมัย หมายถึง เวลารุ่งอรุณ ***สมุจเฉทปหาน หมายถึงการละกิเลสได้ขาดอย่างพระอรหันต์ ------------------------------------------------------- อ้างอิง ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ: กองวรรณคดีและ ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๓๐. (รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดพิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณในมหามงคลเฉลิมพระเกียรติวันพระบรมราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วันอังคารที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐). เสริมกิจ ชัยมงคล. “ประติมากรรมขนาดเล็ก เล่าเรื่องปฐมสมโพธิหรือพระพุทธประวัติที่จัดแสดงภายใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร.” ใน พิพิธวิทยาการ รวมบทความวิชาการด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์วิทยา ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: กลุ่มวิจัย สำนักพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔.   -------------------------------------------- เรียบเรียงข้อมูล :  นายพนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  


จารึกหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน ลพ. ๑๓ จารึกหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน ลพ.๑๓  ตามประวัติกล่าวว่าพบที่วัดแสนข้าวห่อ (ร้าง) เป็นบริเวณด้านหลังวัดพระธาตุหริภุญชัยอันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ในปัจจุบัน ลักษณะจารึกเป็นแท่งสี่เหลี่ยมทำจากหินทรายสีแดง สูง ๑๒๘ ซม. กว้าง ๔๐ ซม. หนา ๔๐ ซม.  สภาพชำรุด ข้อความจารึกไม่สมบูรณ์ ปรากฏจารึกอักษรฝักขาม ภาษาไทย เพียง ๒ ด้าน ด้านที่แรก มีจำนวน ๑๔ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๓ บรรทัด เนื้อหาจารึกหลักนี้แตกต่างจากจารึหลักอื่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ    หริภุญไชย ที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการพระศาสนากล่าวถึงเรื่องราวของการสร้างวัดวาอาราม สร้างพระพระพุทธรูปและถวายผู้คน สิ่งของ แก่พระอาราม ในเนื้อหาได้กล่าวถึงการกระทำสัตย์ปฏิญาณ ที่พระมหากษัตริย์ทรงรับสั่ง และทรงรับคำสั่งจากพระเชษฐาเกี่ยวกับราชสมบัติ และมีข้อความตอนท้ายที่กล่าวถึงหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน และด้านที่  ๒ ที่มีตอนท้ายกล่าวขอให้เทวดามาอนุโมทนาในการกระทำวรสัตยาธิษฐาน ลักษณะและรูปแบบอักษรที่ใช้จารึกนั้น กำหนดอายุประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ อ้างอิงก่องแก้ว วีระประจักษ์ (และคนอื่นๆ). จารึกล้านนา ภาค ๒ เล่ม ๑-๒ : จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ :กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.คงเดช ประพัฒน์ทอง, วิเคราะห์ศิลาจารึกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๒.


black ribbon.