ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ
วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ ตึกกรมศิลปากร (สนามหลวง) นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาและกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ จากนั้นผู้ร่วมพิธียืนสงบนิ่งน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นเวลา ๘๙ วินาที โดยมีหัวหน้าส่วนข้าราชการ เข้าร่วมพิธี ทั้งนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยในรัชสมัยที่ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ และทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม พระองค์บำเพ็ญพระราชกรณียกิจมากมาย ทรงตรากตรำพระวรกายอย่างไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย เหน็ดเหนื่อย ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่อาศัยด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ชื่อเรื่อง อาการวตฺตสุตฺต (อาการวัตตสูตร)
สพ.บ. 371/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา เทศน์มหาชาติ คาถาพัน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ผีปู่แสะย่าแสะ กับ แหล่งทำเหล็ก ในมิติของการทับซ้อนพื้นที่ทางวัฒนธรรม**เรียบเรียงโดย นายยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ#โบราณโลหะวิทยาดินแดนล้านนา.- พื้นที่ทางด้านทิศใต้ของดอยสุเทพ มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์นามว่า "ดอยคำ" สันนิษฐานว่ามีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนรับพุทธศาสนาเข้ามา ดังสะท้อนผ่านตำนานเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับผีบรรพชนดั้งเดิมอย่าง "ปู่แสะย่าแสะ".- ตำนานพระธาตุดอยคำ ได้กล่าวถึงเรื่องราวของปู่แสะย่าแสะ ว่าเดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์สามตน (ปู่แสะ ย่าแสะ และบุตร) ยังชีพด้วยการกินเนื้อสัตว์และเนื้อมนุษย์ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงยักษ์ทั้งสามตนได้ฟังเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใส พระพุทธองค์ขอให้เหล่ายักษ์รักษาศีล เลิกกินเนื้อมนุษย์ จนเกิดการต่อรอง สุดท้ายจบลงด้วยการไปขออนุญาตเจ้าผู้ครองนครให้กินควายได้ปีละ 1 ครั้ง .- จากเรื่องราวข้างต้น เป็นที่มาของประเพณีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะที่มีการกระทำพิธีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยจะมีการสังเวยควายให้แก่ผีปู่แสะย่าแสะในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี ที่บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ทป.4 (แม่เหียะ) ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่.- พื้นที่บริเวณดังกล่าวนอกจากจะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับประกอบพิธีกรรมเลี้ยงดงผีปู่แสะย่าแสะแล้ว ใต้พื้นดินลงไปยังเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับแหล่งถลุงเหล็กโบราณที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ นับเป็นแหล่งทำเหล็กโบราณตั้งอยู่ใกล้เมืองเชียงใหม่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบในปัจจุบัน.- การศึกษาโดยสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ทำให้พบว่าร่องรอยแหล่งถลุงเหล็กโบราณแห่งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ราว 15,000 ตารางเมตร ปรากฏหลักฐานเป็นเนินตะกรันจากการถลุงเหล็ก (Slag), ตะกรันจากเตาตีเหล็ก, ท่อเติมอากาศ (Tuyere), ก้อนแร่เหล็ก (Iron Ore) และชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาล้านนาจำนวนมาก.- การวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี ทำให้ตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า เดิมพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเป็นที่ตั้งของชุมชน ที่มีกิจกรรมการถลุงเหล็กด้วยกรรมวิธีทางตรง และมีเตาตีเครื่องมือเหล็กอยู่ภายในชุมชน นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาบ่อสวก แหล่งเตาพาน แหล่งเตาสันกำแพง และแหล่งเตาเวียงกาหลง ปะปนอยู่ในชั้นกิจกรรมการถลุงเหล็ก ซึ่งสอดคล้องกับค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ (AMS) ที่มีอายุกิจกรรมอยู่ในราว พ.ศ. 2080 จึงสามารถสรุปเบื้องต้นได้ว่า ชุมชนทำเหล็กแห่งนี้น่าจะมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 - 21 ร่วมสมัยกับช่วงราชวงศ์มังรายปกครองเมืองเชียงใหม่.- นอกจากนี้หากวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักฐานจะพบว่าแหล่งถลุงเหล็กที่แม่เหียะแห่งนี้ มีรูปแบบเตา เทคนิค และกรรมวิธีที่เหมือนกับแหล่งถลุงเหล็กโบราณแม่โถ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีชนกลุ่มลัวะเป็นเจ้าของ จึงทำให้ตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่ากลุ่มชนดั้งเดิมที่เคยตั้งชุมชนถลุงเหล็กอยู่ในพื้นที่แม่เหียะแห่งนี้น่าจะเป็นกลุ่มชาวลัวะด้วยเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับความทรงจำในท้องถิ่นที่ระบุว่าเคยมีชุมชนลัวะตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแถบนี้ ก่อนที่จะคลี่คลายไปเป็นชุมชนเมืองดังเช่นปัจจุบัน.- ท้ายที่สุดนี้ ถึงแม้ปัจจุบันจะยังไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดว่า การจัดพิธีกรรมเลี้ยงดงผีปู่แสะย่าแสะบนพื้นที่ร่องรอยชุมชนถลุงเหล็กโบราณจะมีนัยยะที่เกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจที่มรดกวัฒนธรรมทั้งประเภท Tangible และ Intangible ของกลุ่มชนดั้งเดิมยังคงอยู่ร่วมกันในพื้นที่ป่าใกล้เมืองแห่งนี้ คู่เมืองเชียงใหม่สืบไป
สมฺโพชฺฌงฺค (สติ-อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺค)
ชบ.บ.52/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง นิสัยโพธิสัตว์ (นิไสโพธิสัด)
สพ.บ. 315/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 64 หน้า กว้าง 5.4 ซม. ยาว 39.6 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง อัศวภาษิตผู้แต่ง กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ตำนานพื้นบ้านเลขหมู่ 398.9 ม113อทสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ บริษัทอักษรโสภณ จำกัดปีที่พิมพ์ 2494ลักษณะวัสดุ 38 หน้าภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกภาษิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ ของคนไทยหรือของคนต่างประเทศ เมื่อถ้อยคำที่กล่าวถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งความจริงย่อมเป็นดังนั้น และไม่มีใครจะเถียงได้ เช่นรสของพระธรรมฉันใดถ้อยคำอันนั้นก็ควรเรียกว่า ภาษิต สอนใจฉันนั้น
องค์ความรู้ทางวิชาการ เรื่อง พระธาตุนารายณ์เจงเวง ค้นคว้าและเรียบเรียง : นายดุสิต ทุมมากรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์
เรื่อง “วันต่อต้านยาเสพติดโลก 26 มิถุนายน”
ด้วยสภาพปัญหายาเสพติดที่ส่งผลให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนทั้งทางตรง และทางอ้อมเป็นจำนวนมาก ทำให้นานาประเทศพยายามร่วมมือกัน เพื่อหาทางหยุดยั้งปัญหายาเสพติด องค์การอนามัยโลกได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงได้จัดตั้งองค์กรพิเศษขึ้นเพื่อประสานความพยายามในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรนี้ด้วย คือ คณะกรรมการยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ “วันต่อต้านยาเสพติดโลก”
การจัดตั้งองค์กรเกิดขึ้นจากการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบใช้ยาเสพติด (International Conference on Drug Abuse and licit Trafficking : ICDAIT) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 17-26 มิถุนายน 2530 ที่ประชุมได้มีมติให้เสนอสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ขอให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันต่อต้านยาเสพติดโลก" (International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking)
“วันต่อต้านยาเสพติดโลก” เป็นสัญญลักษณ์ของการแสดงเจตนารมย์ร่วมกันของประเทศต่างๆทั่วโลกในการต่อสู้กับปัญหายาเสพติด ที่ประชุมสมัชชาใหญ่มีมติเห็นชอบในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2530 ประเทศต่างๆจึงกำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายน เป็น “วันต่อต้านยาการใช้ยาในทางที่ผิดและการลักลอบค้ายาเสพติด” สำหรับประเทศไทยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ วันที่ 14 มิถุนายน 2531 กำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันต่อต้านยาเสพติด มีกิจกรรมตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา
อ้างอิง : บุญเติม แสงดิษฐ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : พัชรการพิมพ์. 2541.
ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้
นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
ชื่อเรื่อง อู่ทอง ต้นทางประวัติศาสตร์ไทย ผู้แต่ง กรมศิลปากร ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN 987-616-543-237-5หมวดหมู่ ประวัติศาสตร์ เลขหมู่ 959.373 ศ528อ สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ 2556ลักษณะวัสดุ 82 หน้า : ภาพประกอบ, แผนที่ ; 19 ซม.หัวเรื่อง อู่ทอง - - ประวัติศาสตร์ สุพรรณบุรี -- ประวัติศาสตร์ สุพรรณบุรี -- ความเป็นอยู่และประเพณี สุพรรณบุรี -- โบราณสถานภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเนื้อหาประกอบด้วยอู่ทอง ต้นทางประวัติศาสตร์ไทย หมายถึง อู่ทอง มีชุมชนบ้านเมือง 2,000 ปีมาแล้ว เก่าสุดในภาคกลาง แล้วขยายตัวเติบโตก้าวหน้าสืบเป็นประเทศไทย เอกสารโบราณเรียกดินแดน อู่ทองว่าสุวรรณภูมิ ต่อมามีรัฐสุพรรณภูมิ หรือสยาม ที่ได้ร่วมกับรัฐอโยธยา-ละโว้ สถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก แล้วสืบเป็นกรุงธนบุรี เป็นกรุงรัตนโกสินทร์ จนปัจจุบัน เป็นประเทศไทย เรียกสั้นๆว่า อู่ทอง ต้นทางไทย
ประติมากรรมรูปพุทธประวัติ ตอน มารวิชัย
สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔
กรมพระราชพิธีส่งมาจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องธนบุรี-รัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ประติมากรรมทองเหลืองประดับแก้วสี แสดงตอนมารวิชัย กึ่งกลางเป็นฐานชุกชี และเบื้องหลังคือต้นโพธิ์ที่ใบประดับแก้วสี เบื้องล่างมีรูปพระแม่ธรณียืนบิดมวยผม ด้านซ้ายของฐานชุกชีเป็นรูปหมู่พญามาร ซึ่งมีพระยาวัสวดีมาราธิราชทรงอาวุธประทับบนคอช้างคีรีเมขลามหาคชสาร และบริวารถือวารถืออาวุธมุ่งไปยังโพธิบัลลังก์ ด้านขวาเป็นรูปพระยาวัสวดีมาราธิราชยกมือไหว้ มืออื่นแสดงการถือดอกบัว (ยอมแพ้ต่อพระบารมีของพระพุทธเจ้า) ส่วนบริวารจมไปกับสายน้ำ บางตนแสดงการยกมือไหว้เหนือศีรษะ บางตนถูกจระเข้สังหาร
ประติมากรรมพุทธประวัติชิ้นนี้เป็น ๑ ใน ๒๗ รายการ ที่เล่าเรื่องปฐมสมโพธิตอนต่าง ๆ แม้ไม่ปรากฏประวัติของผู้สร้างและปีที่สร้าง แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เนื่องด้วยในรัชกาลของพระองค์มีการเรียบเรียงพุทธประวัติขึ้นใหม่ชื่อว่า “ปฐมสมโพธิกถา” โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ประกอบกับเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรงได้คิดค้นรูปแบบของพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าที่สัมพันธ์กับเรื่องราวพุทธประวัติเป็นปางต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมรวม ๔๐ ปาง
เหตุการณ์ตอนมารวิชัย เป็นเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ ในเรื่องปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ ๙ มารวิชัยปริวรรต กล่าวว่าเป็นตอนที่พระโพธิสัตว์ (เจ้าชายสิทธัตถะ) เผชิญหน้ากับเหล่าพญามารที่ประสงค์จะทำร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ถึง ๙ ประการ แต่ก็มิอาจทำอันตรายใดๆ แก่พระโพธิสัตว์ได้ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
“...ลำดับนั้น [ฝ่ายพญามาร-ผู้เขียน] ก็แสดงฤทธิให้เป็นห่าฝนนานาวิธาวุธวิเศษ มีประเภทคือคมข้างเดียวแลคมทั้งสองข้าง บ้างก็เป็นพระขรรค์แลดาบหอกจักรธนูศรเสน่าเกาทัณฑ์เป็นต้น ให้ตกลงมาเป็นควันเป็นเปลวเพลิงมาบนอัมพราประเทศ พอถึงพระกายก็กลายเป็นทิพยมาลาเลื่อนลอยลงบูชาทั้งสิ้น...”
ในท้ายที่สุดพระโพธิ์สัตว์ทรงใช้พระดัชนี (นิ้วชี้) แตะที่พื้นแผ่นดินพร้อมเปล่งวาจาเรียกพระแม่ธรณีขึ้นมาเป็นพยานในการแสดงพระบารมีของพระองค์ที่ได้สั่งสมไว้เพื่อขจัดเหล่ามารทั้งปวง เมื่อพระแม่ธรณีปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพระโพธิสัตว์ได้บิดน้ำจากเมาลี ซึ่งแทนด้วยคุณธรรมที่พระโพธิ์สัตว์สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ กลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาเหล่าพญามารทั้งปวง ดังข้อความว่า
“...ครั้งนั้นหมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการ*ไปสิ้น ส่วนคีรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ก็ลอยไปตามธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...”
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พระโพธิ์สัตว์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดับสิ้นซึ่งกิเลสทั้งปวง ดังข้อความว่า “...พอเป็นเวลาตัมพารุณสมัย** ไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า สมเด็จพระมหาสัตว์ก็ตรัสรู้พระสัพพัญญุตัญญาณ ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน***...” ซึ่งการตรัสรู้ของพระองค์ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อีกทั้งวันดังกล่าวยังตรงกับเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธเจ้าอีกสองเหตุการณ์ คือ การประสูติ และปรินิพพานของพระองค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี จึงถูกกำหนดเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่รู้จักกันในนามของวันวิสาขบูชา (Vesak Day) และถือเป็น “วันสำคัญของโลก” อีกด้วย
*ปลาตนาการ หมายถึง การหนีหายไปสิ้น
**ตัมพารุณสมัย หมายถึง เวลารุ่งอรุณ
***สมุจเฉทปหาน หมายถึงการละกิเลสได้ขาดอย่างพระอรหันต์
-------------------------------------------------------
อ้างอิง
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ. ปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ: กองวรรณคดีและ ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๓๐. (รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดพิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณในมหามงคลเฉลิมพระเกียรติวันพระบรมราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วันอังคารที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐).
เสริมกิจ ชัยมงคล. “ประติมากรรมขนาดเล็ก เล่าเรื่องปฐมสมโพธิหรือพระพุทธประวัติที่จัดแสดงภายใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร.” ใน พิพิธวิทยาการ รวมบทความวิชาการด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์วิทยา ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: กลุ่มวิจัย สำนักพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔.
--------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูล : นายพนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
จารึกหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน ลพ. ๑๓ จารึกหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน ลพ.๑๓ ตามประวัติกล่าวว่าพบที่วัดแสนข้าวห่อ (ร้าง) เป็นบริเวณด้านหลังวัดพระธาตุหริภุญชัยอันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ในปัจจุบัน ลักษณะจารึกเป็นแท่งสี่เหลี่ยมทำจากหินทรายสีแดง สูง ๑๒๘ ซม. กว้าง ๔๐ ซม. หนา ๔๐ ซม. สภาพชำรุด ข้อความจารึกไม่สมบูรณ์ ปรากฏจารึกอักษรฝักขาม ภาษาไทย เพียง ๒ ด้าน ด้านที่แรก มีจำนวน ๑๔ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๓ บรรทัด เนื้อหาจารึกหลักนี้แตกต่างจากจารึหลักอื่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการพระศาสนากล่าวถึงเรื่องราวของการสร้างวัดวาอาราม สร้างพระพระพุทธรูปและถวายผู้คน สิ่งของ แก่พระอาราม ในเนื้อหาได้กล่าวถึงการกระทำสัตย์ปฏิญาณ ที่พระมหากษัตริย์ทรงรับสั่ง และทรงรับคำสั่งจากพระเชษฐาเกี่ยวกับราชสมบัติ และมีข้อความตอนท้ายที่กล่าวถึงหงสาวดีศรีสัตยาธิษฐาน และด้านที่ ๒ ที่มีตอนท้ายกล่าวขอให้เทวดามาอนุโมทนาในการกระทำวรสัตยาธิษฐาน ลักษณะและรูปแบบอักษรที่ใช้จารึกนั้น กำหนดอายุประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ อ้างอิงก่องแก้ว วีระประจักษ์ (และคนอื่นๆ). จารึกล้านนา ภาค ๒ เล่ม ๑-๒ : จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ :กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.คงเดช ประพัฒน์ทอง, วิเคราะห์ศิลาจารึกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๒.