ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

หนังสืองานชุมนุมชาวตรังเล่มนี้ เป็นหนังสือประกอบการจัดงานชุมนุมชาวตรัง ครั้งที่ ๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ภายในเล่มนำเสนอเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับจังหวัดตรัง ได้แก่ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๒ – ๒๕๑๘ แผนที่จังหวัดตรัง เรื่องเมืองตรัง ประวัติการจัดงานชุมนุมชาวตรัง การพัฒนาท่าเรือกันตัง และจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นบรรณานุกรม  งานชุมนุมชาวตรัง ครั้งที่ ๗.  กรุงเทพฯ: สารมวลชน, ๒๕๑๘.


ชื่อแบบฉบับ : ตำนานวัดพระแก้วดอนเต้า (ผูก 1ง) ชื่อเรื่อง : ตำนานดอนเต้า (ผูก 1ง) เลขทะเบียน : ชม.บ.420/1ง ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ                          ผู้สร้าง : ไม่ปรากฏ                  ปีที่สร้าง : ไม่ปรากฏ จำนวน : 1  คัมภีร์  6 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก1, 1ก-1ง)    จำนวนบรรทัด : 5 บรรทัด               จำนวนหน้า :  20 หน้า อักษร : ธรรมล้านนา                       ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา          เส้น : จาร ฉบับ : ชาดทึบ-รักทึบ-ลานดิบ            ไม้ประกับ : ไม่มี                    ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน ประวัติ : ได้มาจากวัดทุ่งมอก  ต.มาง  อ.เชียงม่วน จ.พะเยา  เมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม 2531 โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568


เลขทะเบียน : นพ.บ.729/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 228 (326-331) ผูก 3 (2568)หัวเรื่อง : วิภังคปกรณ์--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.790/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 80 หน้า ; 4 x 57 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 243 (477-487) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : สงฺคีติกถา--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ขอนำเสนอ E-book แนะนำสำนักช่างสิบหมู่ รวบรวมข้อมูลและออกแบบโดย นายธีระวัฒน์ สมโสภาพ นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการ สังกัดศูนย์ศิลปะและการช่างไทย สำนักช่างสิบหมู่ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด E-book ได้ทางลิ้งค์ https://datasipmu.finearts.go.th/academic/62 ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่อยู่ในระบบศูนย์ข้อมูลงานศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร            “ระบบศูนย์ข้อมูลงานศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร” เป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้ด้านศิลปกรรมของสำนักช่างสิบหมู่ ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะไทย ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์  (E-book) อาทิ งานช่างปิดทองประดับกระจก การสร้างลวดลายในงานโลหะ การจัดสร้างหุ่นหลวง การเขียนภาพจิตรกรรมไทย การตอกกระดาษตอกฉลุหนัง การแกะแม่พิมพ์หินสบู่ การประดับมุกแบบญี่ปุ่น ฯลฯ และชมผลงานของสำนักช่างสิบหมู่ได้อีกมากมาย ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้งานด้านศิลปกรรม ของสำนักช่างสิบหมู่ ผ่านทางเว็บไซต์ https://datasipmu.finearts.go.th   


         สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา ขอเชิญบุคคลทั่วไปเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย เรื่อง "การอนุรักษ์กระจกสเตนกลาส" ในวันที่ ๘ - ๙ มกราคม ๒๕๖๙ กิจกรรมประกอบด้วย วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๙ รับฟังการบรรยายให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ณ ห้องประชุมอาคารเครื่องทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๙ รับฟังการบรรยายและฝึกปฏิบัติการตรวจสอบสภาพกระจกสเตนกลาส ณ วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา และเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ อำเภอบางปะอิน และพลับพลาที่ประทับ สถานีรถไฟบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา          ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ทาง QR-CODE เปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๒๔ ๒๔๔๘, ๐๙๒ ๙๔๖๒๘๙๒ ทั้งนี้ ไม่มีบริการที่พัก และรถรับ-ส่งในการศึกษาดูงาน โปรดเตรียมกล้องส่องทางไกล เพื่อใช้ในการศึกษาดูงาน (ถ้ามี)




 เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๗.๐๐ น. นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ  รองอธิบดีกรมศิลปากร ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ และประชาชน ร่วมทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราขกุมารี หลังจากนั้น  เวลา ๙.๐๐ น. รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานเปิดนิทรรศการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๕๙ และเปิดการสัมมนา เรื่อง "จารึกภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง" ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จ.นครราชสีมา




  เมื่อพระเจ้าอู่ทองย้ายราชธานีจากเมืองอโยธยา ข้ามฟากแม่น้ำมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ.๑๘๙๓ โปรดเกล้าฯให้ขุนหลวงพงั่ว ซึ่งเป็นพี่มเหสี เป็น สมเด็จพระบรมราชาธิราช ไปครองเมืองสุพรรณบุรี และให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร ไปครองเมืองลพบุรี                 พระเจ้าอู่ทองครองราชย์อยู่ ๒๐ ปีสวรรคต พระราเมศวร จึงเสด็จจากเมืองลพบุรี มาครองราชย์แทน                 พระราเมศวรครองราชย์อยู่เกือบปี สมเด็จพระบรมราชาธิราช ผู้เป็นพระเชษฐาของพระมารดา ก็เสด็จมาจากเมืองสุพรรณบุรี สมเด็จพระราเมศวรออกไปต้อนรับแล้วอัญเชิญเข้าพระนคร ถวายราชสมบัติให้ จากนั้นก็กลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม                 สมเด็จพระบรมราชาธิราชครองราชย์อยู่ ๑๓ ปีสวรรคต เจ้าทองจันทร์ หรือ ทองลัน ราชโอรสวัย ๑๕ พรรษาขึ้นครองราชย์แทน ซึ่งนับเป็นยุวกษัตริย์พระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยา แต่ครองราชย์อยู่ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น พงศาวดารบันทึกไว้ว่า                 “สมเด็จพระราเมศวรเสด็จลงมาแต่เมืองลพบุรี เข้าในพระราชวังได้ กุมเอาเจ้าทองจันทร์ได้ ให้พิฆาตเสียวัดโคกพระยา แล้วพระองค์ได้เสวยราชสมบัติ”        พงศาวดารไม่ได้บันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ช่วงนี้ไว้ นอกจากสันนิษฐานได้ว่า ผู้ที่จะครองราชย์ได้ก็คือผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในเวลานั้น และผู้ที่อ่อนแอกว่าก็จะต้องถูกกำจัดไปให้สิ้นปัญหา ไม่ปล่อยให้บ่มตัวจนกลับมาเป็นผู้เข้มแข็งขึ้นอีก        ยุวกษัตริย์องค์ต่อไปที่ต้องตกเป็นเหยื่อของการช่วงชิงอำนาจ ก็คือ พระรัษฎาธิราช ผู้มีพระชนม์เพียง ๕ พรรษา                 สมเด็จพระรัษฎาธิราชเป็นราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ซึ่งครองราชย์อยู่ ๔ ปีเศษก็สวรรคตด้วยโรคไข้ทรพิษ และไม่ได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทไว้ บรรดาขุนนางข้าราชการจึงอัญเชิญสมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร ซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๕ พรรษาขึ้นครองราชย์                 เมื่อครองราชย์อยู่เพียง ๕ เดือนเศษ พระไชยราชา สมเด็จอาซึ่งเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรอันเกิดจากพระสนม และถูกส่งไปครองเมืองพิษณุโลก ก็ยกกองทัพมากรุงศรีอยุธยา จับสมเด็จพระรัษฎาธิราชไปประหารชีวิต ทั้งๆที่ตอนนั้นสมเด็จพระรัษฎาธิราชก็คงรู้เรื่องราวพอๆกับเด็ก ๕ ขวบ ยังไม่อาจเป็นพิษเป็นภัยกับใครได้ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อโตขึ้นมาแล้วจะมีฤทธิ์เดชอย่างใด หรืออาจจะถูกใครจับเชิดมาทวงราชบัลลังก์คืน จึงต้องกำจัดไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อไป                 ยุวกษัตริย์องค์ที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยาก็คือ พระยอดฟ้า ซึ่งก็ไม่แคล้วที่จะต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับยุวกษัตริย์ ๒ พระองค์แรก พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวไว้ว่า                 “....ฝ่ายสมณพราหมณ์จารย์มุขมนตรี กวีราช นักปราชญ์ บัณฑิต โหราราชครูสโมสรพร้อมกันประชุมเชิญพระยอดฟ้าพระชนม์ได้ ๑๑ พรรษา เสด็จผ่านพิภพถวัลย์ราชประเพณีสืบศรีสุริยวงศ์อยุธยาต่อไป แล้วนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นสมเด็จพระชนนี ช่วยทำนุบำรุงประคองราชการแผ่นดิน....”                 ความจริงแล้ว พระยอดฟ้าขึ้นครองราชย์ก็แต่ในนาม อำนาจทั้งหมดอยู่ในกำมือของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ นางจึงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน แต่การกำจัดพระยอดฟ้าก็เป็นความจำเป็น ด้วยเหตุที่นางได้ลอบลักสมัครสังวาสกับขุนวรวงศา และเรื่องกำลังอื้อฉาวขึ้นเรื่อยๆ แม้นางได้พยายามกำจัดข้าราชการที่เป็นปฏิปักษ์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีข้าราชการที่ไม่ยอมจงรักภักดีอีก ทั้งพระยอดฟ้าก็โตขึ้นทุกวัน อาจไปสมคบกับข้าราชการเหล่านั้น                 พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้บันทึกไว้อีกว่า                 “....ขณะนั้นนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์มีครรภ์ด้วยขุนวรวงศาธิราช จึงมีพระเสาวนีย์ตรัสปรึกษาด้วยหมู่มุขมนตรีทั้งปวงว่า พระยอดฟ้าโอรสเรายังเยาว์นัก สาละวนแต่จะเล่น จะว่าราชการแผ่นดินนั้น เห็นเหลือสติปัญญานัก อนึ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิปกติ จะไว้ใจแต่ราชการมิได้ เราคิดจะให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดิน กว่าราชบุตรเราจะจำเริญวัยขึ้น จะเห็นเป็นประการใด ท้าวพระยามุขมนตรีรู้พระอัชฌาสัยก็ทูลว่า ซึ่งตรัสโปรดมานี้ก็ควรอยู่....”                 จากนั้นนางจึงมีเสาวนีย์ตรัสสั่งให้เอาราชยาน เครื่องสูงแตรสังข์กับขัตติยวงศ์ ออกไปรับขุนวรวงศาเข้ามาในพระราชวัง แล้วตั้งพระราชพิธีราชาภิเษก ยกขุนวรวงศาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนพระยอดฟ้า                 จากนั้นชะตากรรมของยุวกษัตริย์อีกองค์ก็มาถึง เมื่อพระราชพงศาวดารบันทึกไว้ว่า                 “ครั้นศักราช ๘๙๑ ปีฉลู เอกศก (พ.ศ.๒๐๗๒) ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๘ ขุนวรวงศาธิราชเจ้าแผ่นดิน คิดกันกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา แต่พระศรีศิลป์น้องชายพระชนม์ได้เจ็ดพรรษานั้นเลี้ยงไว้ สมเด็จพระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติปีกับสองเดือน”                 ขุนวรวงศาครองราชย์อยู่ได้เพียง ๔๒ วัน กรรมก็ตามทัน เหล่าขุนนางที่จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ได้ร่วมกันวางแผนสังหารพร้อมทั้งเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์และบุตรที่เกิดจากขุนวรวงศา                 หลังสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระยอดฟ้าแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็ว่างเว้นยุวกษัตริย์เกือบ ๑๐๐ ปี จนในปี ๒๑๗๑ จึงมียุวกษัตริย์องค์ที่ ๔ คือ สมเด็จพระเชษฐาธิราช ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ในวัยเดียวกับพระเจ้าทองลัน ส่วนยุวกษัตริย์องค์ที่ ๕ ก็คือ สมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ ซึ่งถูกยกขึ้นเป็นกษัตริย์ขณะพระชนม์เพียง ๙ พรรษา ก็ไม่พ้นชะตากรรมยุวกษัตริย์อีกเช่นกัน ซึ่งผู้ที่กำจัดยุวกษัตริย์ ๒ รายหลังนี้ก็คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถที่เกิดจากผู้หญิงชาวบ้านเกาะบางปะอิน ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ แต่ก็เพราะความเด็ดขาดเข้มแข็งจึงไต่เต้าขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้ และครองราชย์อย่างยาวนานถึง ๒๕ ปี โดยปราศจากศัตรูทั้งภายนอกภายใน แม้พม่าข้าศึกก็ยังไม่กล้ามาระราน                 การครองราชย์ ก็คือการครองอำนาจในการเป็นผู้นำประเทศ สมควรที่จะเป็นผู้เข้มแข็งที่สุด ในยุคกรุงศรีอยุธยาที่ประชาชนเป็นเพียงข้าแผ่นดิน ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงและไม่มีพลังทางการเมือง จึงไม่อาจคุ้มครองความชอบธรรมใดๆได้ ยุวกษัตริย์ผู้ยังอ่อนแอจึงไม่เหลือรอดแม้แต่พระองค์เดียว     



                                                   ขนมโมทกะ หรือขนมโมทัก (Modak) คำว่า โมทกะ (อ่านว่า โม-ทะ -กะ) มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ยินดี พึงพอใจ รื่นเริงบันเทิงใจ เป็นขนมที่องค์สมเด็จพระพิฆเนศวรทรงโปรดมาก บางที ชาวทมิฬเรียกขนมนี้ว่า ‘Korukkattai’ ในบางภาคของอินเดียเรียกว่าขนม ลฑฺฑู(Laddhu) ก็มี                                          ขนมชนิดนี้เป็นลูกกลม ๆ ขนาดมะนาวลูกเล็ก ๆ มีไส้ ภายนอกเป็นแป้งสีขาวห่อไส้แล้วนึ่งให้สุก ไส้ทำด้วยมะพร้าวขูดผัดกับน้ำมันพืช ผสมเนยใส ผงกระวาน น้ำตาลทรายแดง และเกลือจะมีรสค่อนข้างหวาน แต่บางที่ก็ทำเป็นลูกมียอดแหลม ๆ คล้ายผลกระเทียม                       ส่วนขนมลฑฺฑู (ได้ยินคนอินเดียออกเสียงว่า ‘หล่า-ดู๊’) ก็เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของขนม  โมทกะ ทำจากแป้งถั่ว (แป้งจะนา) ทอดในน้ำมันเนย ใส่น้ำตาลหรือน้ำเชื่อม ทอดจนสุก ทำเป็นขนมกลมๆ บางทีทำด้วยแป้งถั่วเหลืองหรือทำด้วยมะพร้าวก็ได้ เอามะพร้าวขูดผสมกับแป้งสาลีหรือแป้งข้าวเจ้า ใส่น้ำตาลแล้วทอดจนสุก                                                   สำหรับคนไทยมีขนมชนิดหนึ่ง เรียกว่า ขนมต้ม หรือ ขนมต้มขาว มีลักษณะเป็นแป้งลูกกลมมีไส้เป็นมะพร้าวเคี่ยวกับน้ำตาลปึกอย่างหน้ากระฉีก ขนมต้มขาวมีมะพร้าวขูดเป็นเส้นโรยอยู่ภายนอก คนไทยนิยมใช้ขนมต้มขาวบูชาพระพิฆเนศหรือพระภูมิแทนขนมโมทกะ ปัจจุบันมีผู้คิดทำขนมโมทกะขึ้นในประเทศไทย คนไทยจึงเริ่มรู้จักชื่อขนมโมทกะมากขึ้น                               จะสังเกตได้ว่า พระพิฆเนศวรเป็นเทพองค์เดียวที่ถือขนม โดยในยุคต้นๆ รูปเคารพของพระองค์มักมีงวงตวัดไปเสวยขนมในพระหัตถ์ด้วย และในทางเทวปรัชญาก็ถือว่าเป็นการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ข้อมูลและภาพประกอบจาก ผาสุข อินทราวุธ. รูปเคารพในศาสนาฮินดู. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย           ศิลปากร, ๒๕๒๒ http://www.weloveshopping.com/template/a05/show_article.php?shopid=2919&qi         d=55609 http://board.palungjit.com http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3152 อ้างอิงจาก  บทวิทยุรายการ "                          รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม                  พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น http://chefinyou.com/2010/09/vella-kozhukattai/ http://www.exoticindiaart.com/product/sculptures/lord-ganesha-enjoying-his-favorite-sweet-                modak-RO99/ http://festivals.iloveindia.com/ganesh-chaturti/modak.html http://www.kairalishop.com/index.php?main_page=product_info&cPath=85&products_id=388 http://www.christies.com/LotFinder/lot_details.aspx?intObjectID=5416825 http://www.thecityreview.com/w07cas.html  



โบราณสถานและสถานที่สำคัญที่น่าเยี่ยมชม ของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ


black ribbon.