ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.357/5กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 138  (402-410) ผูก 5ก (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังคปริจเฉท อภิธรรมปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


           ศิลปะลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙)      พบที่โบราณสถานวัดพระพายหลวง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย      ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร      แผ่นศิลารูปพระไภษัชยคุรุ วัสดุหินทราย ลักษณะเป็นแผ่นรูปทรงแหลมคล้ายกลีบบัว สันนิษฐานว่าแต่เดิมเป็นบรรพแถลง หรือ กลีบขนุนประดับส่วนเรือนชั้นซ้อนของปราสาทวัดพระพายหลวง รูปพระไภษัชยคุรุทั้งสามมีรูปแบบที่เหมือนกันคือ อุษณีษะทรงกรวย พระพักตร์เหลี่ยม พระวรกายท่อนบนไม่แสดงการครองจีวร แสดงปางสมาธิ (ธยานมุทรา) พระหัตถ์ขวาแสดงวัตถุที่อาจหมายถึงหม้อน้ำอมฤตหรือตลับยา ประทับขัดสมาธิราบ อยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วที่มีลักษณะเป็นซุ้มคดโค้งประดับใบระกา ส่วนปลายซุ้มเป็นรูปนาคประดิษฐ์      พุทธลักษณะบางประการที่แตกต่างกันคือ อุษณีษะทรงกรวยของแต่ละองค์มีเครื่องประดับแตกต่างกัน เช่น รัดด้วยเม็ดลูกประคำ หรือประดับกลีบบัว รูปแบบของพระเกศาพบทั้งแบบเม็ดพระศก แบบเรียบโล้นและแบบถักเป็นลอนรวบขึ้น อีกทั้งรูปแบบของพระเนตรพบทั้งแบบพระเนตรเปิดมองตรง ที่น่าจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรแบบนครวัด และพระเนตรปิดที่สืบทอดจากรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบายน โดยภาพรวมรูปสลักพระไภษัชยคุรุ จึงเป็นงานที่แสดงฝีมือช่างท้องถิ่น คล้ายกับกลุ่มพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘-กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ และแตกต่างไปจากรูปแบบของพระพุทธรูปในศิลปะเขมร      ความสำคัญของพระไภษัชยคุรุ คือพระพุทธเจ้าผู้ทรงขจัดโรคภัยทางกายและทางใจของมนุษย์ เป็นรูปเคารพทางฝ่ายพุทธศาสนามหายานแพร่หลายในประเทศจีน ธิเบต ญี่ปุ่น และกัมพูชา สำหรับพระไภษัชยคุรุทั้งสามชิ้นนี้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการแพร่กระจายทางพุทธศาสนามหายานจากเมืองพระนครมาสู่พื้นที่ลุ่มน้ำยม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตรงกับช่วงรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ด้วยพระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนามหายานเป็นศาสนาหลัก ทรงสร้างอโรคยศาล (สถานพยาบาล) ไว้หลายแห่ง ดังนั้นจึงปรากฏประติมากรรมพระไภษัชยคุรุในช่วงเวลานี้เป็นจำนวนมากตามชุมชนที่ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงการรับวัฒนธรรมเขมรสมัยบายน พบพระไภษัชยคุรุทั้งงานประติมากรรมศิลา ปูนปั้นและสำริด      บริเวณทิศเหนือของเมืองเก่าสุโขทัยปรากฏร่องรอยของชุมชนที่ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมเขมรในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยมีศาสนสถานสำคัญคือ พระปรางค์วัดพระพายหลวง เชื่อว่าสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนามหายาน และแผ่นศิลารูปพระไภษัชยคุรุกลุ่มนี้บางส่วนจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง   อ้างอิง กรมศิลปากร. พระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๖๓. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ลพบุรี หลังวัฒนธรรมเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๙.  


ชื่อผู้แต่ง          ดักลาส เอม. เบินส์ ชื่อเรื่อง           ความเกี่ยวข้องระหว่างพุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์ และอเทวนิยม ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์พระจันทร์ ปีที่พิมพ์           ๒๕๑๐ จำนวนหน้า      ๑๐๐ หน้า หมายเหตุ        พิมพ์เป็นธรรมบรรณาการในงานศพ นางพรหมทัตตเวที (บูรพา พรหมทัตตเวที) ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง วันที่ ๒๕  ธันวาคม ๒๕๑๐                       หนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาแบ่งเป็น ๓ ภาค โดยภาค ๑ กล่าวถึงการค้นหา และทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ ภาค ๒ ว่าด้วยลักษณะของพระพุทธศาสนาในแง่อเทวนิยม และภาค ๓ แสดงให้เห็นว่าทรรศนะของพุทธศาสนาเกี่ยวกับโลก จิตวิทยา และความรู้ เข้ากันกับหลักวิทยาศาสตร์อย่างไร



ชื่อเรื่อง : โสณนันทชาดก สุวัณณสามชาดก จันทคาธชาดก ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2511สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร จำนวนหน้า : 238 หน้า สาระสังเขป : เป็นหนังสือที่พิมพ์เป็นบรรณาการเนื่องงานพระราชทานเพลิงศพ นางโสภิตบรรณลักษณ์ (ลิ้นจี่ กิตติขจร) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2511 และในหนังสือเล่มนี้ได้จัดพิมพ์เรื่องโสณนันทชาดก สุวัณณวามชาดก จันทคาธชาดก ไว้ด้วย


“เฉลิมพระกนิษฐาสิริศิลปากรวิทยวิศิษฏ์” เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ขอเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์เอกอัครราชูปถัมภก มรดกวัฒนธรรมไทย พระผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญแห่งกรมศิลปากร ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา กรมศิลปากร ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญ สถิตเป็นพระมิ่งขวัญร่มเกล้าชาวประชาตลอดกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมhttps://fb.watch/cLrFgaYVLK/





           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ขอเชิญชวนอุบาสกอุบาสิกาเข้าร่วมกิจกรรม "เข้าวัง ฟังธรรม" ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ โครงการขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรมภาครัฐ : ความดีที่ (เรา) อยากทำ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถสำรองที่นั่ง หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายวิชาการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓, ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ (เปิดทำการ วันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๘.๓๐ น. - ๑๖.๐๐ น.)


  วัดดงหวาย ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำป่าสัก อยู่ในเขตตำบลท่าช้าง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔๐ ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า “วัดดง” สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา ได้ดำเนินการบูรณะ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๒ โบราณสถานสำคัญภายในวัด ประกอบด้วย อุโบสถ วิหารพระนอน และเจดีย์    ในส่วนของวิหารพระนอน ตั้งอยู่ห่างจากอุโบสถไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๓๐ เมตร ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนฐานบัวลูกแก้ว ขนาด ๓ ห้อง หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง เจาะช่องประตู ด้านละ ๑ ช่อง ด้านข้างเจาะช่องหน้าต่างด้านละ ๑ ช่อง บริเวณหน้าบันประดับลวดลายปูนปั้นรูปเทพนม บุคคลถือสิ่งของ ดอกไม้ ๓ ดอก และข้อความ ร.ศ. ๑๒๘ ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ๒ องค์    พระนอนองค์แรก ลักษณะเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ปางไสยาสน์ นอนตะแคงขวา พระบาทซ้ายทับพระบาทขวาวางเสมอกัน ฝ่าพระหัตถ์ยกขึ้นประคองเศียร ฝ่าพระบาททั้งสองข้างสลักเป็นรูปกงจักร ประดิษฐานอยู่บนแท่นฐานปัทม์ เบื้องพระพักตร์ด้านหน้า มีพระพุทธสาวก ๒ องค์ นั่งคุกเข่าพนมมือ   พระนอนองค์ที่ ๒ ประดิษฐานอยู่มุมห้องด้านซ้ายของประตูทางเข้าวิหารด้านหลัง อยู่ในอิริยาบถนอนหงายเหยียดยาว พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายวางอยู่เหนือพระอุทร ปลายพระบาทชิดกัน ครองจีวรห่มเฉียง ที่เบื้องพระบาทมีพระพุทธรูปหรือพุทธสาวกยืนพนมมือ    จากลักษณะรูปแบบประติมากรรมพระนอนทั้งสององค์ข้างต้น แสดงถึงเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา บันทึกอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร (ทีฆนิกาย) มหาวรรค ซึ่งเป็นเหตุการณ์ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและภายหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พวกเจ้ามัลละกษัตริย์พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ไฟไม่ติด จึงสอบถามสาเหตุ พระอนุรุทธเถระ จึงแจ้งว่า เทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐ รูป ผู้กำลังเดินทางมาถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้ ครั้นเมื่อพระมหากัสสปะ และพระภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางมาพร้อมกันที่ถวายพระเพลิงแล้ว ไฟจึงลุกขึ้นเอง โดยเหตุการณ์เรื่องราวดังกล่าวเกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนา หรือที่เรียกกันว่า วันอัฏฐมี ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6    และจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมวิหารพระนอนวัดดงหวาย ซึ่งมีการผสมผสานระหว่างงานช่าง   พื้นถิ่นและประเพณีนิยม สามารถกำหนดอายุอยู่ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์   ---------------------------------------------------- เรียบเรียงข้อมูล : นางสาววิไลวรรณ อยู่ทองจุ้ย นักโบราณคดีชำนาญการ ที่มาข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา. (๒๕๕๒). วัดดงหวาย ตำบลท่าช้าง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด.



สวัสดีครับ กลับมาพบกับกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา กันอีกครั้งนะครับ  สำหรับวันนี้ กลุ่มโบราณคดีขอนำเสนอองค์ความรู้เรื่อง "โนรา" จากจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร จังหวัดสงขลา จะมีเนื้อหาอย่างไรนั้น เชิญรับชมได้เลยครับ ---------------------------------------------- นายจุลเกียรติ ไพบูลย์เกษม กลุ่มโบราณคดี 


          กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เปิดพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำ (Night at the Museum) เวลา ๑๖.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ เชิญชวนแต่งกายชุดไทยชมความงดงามของโบราณสถานภายในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ที่ประทับของพระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การจัดแสดงนิทรรศการโฉมใหม่ภายในพระที่นั่งต่าง ๆ กิจกรรมจิบชาชมวัง การบรรเลงดนตรี การสาธิตและการออกร้านจำหน่ายสินค้า             นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรได้จัดกิจกรรมเปิดให้ประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในช่วงค่ำ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยไม่เสียค่าเข้าชม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สัมผัสมนต์เสน่ห์สถาปัตยกรรม  วังหน้าและความเป็นมาแห่งอารยธรรมไทย กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นมัสการพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง พร้อมชมจิตรกรรมฝาผนังแห่งยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และชมการจัดแสดงนิทรรศการถาวรที่ได้ปรับปรุงใหม่ภายในพระที่นั่งต่าง ๆ ได้แก่ นิทรรศการ “ประณีตศิลป์สยาม ณ หมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล” จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเอก ศิลปะช่างหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระตำหนักแดง จัดแสดงนิทรรศการวิถีชีวิตของเด็กไทย หออนุสรณ์เจ้าพระยายมราช (แก้ว สิงหเสนี) จัดแสดงประวัติเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกรมนครบาล ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นิทรรศการประวัติศาสตร์และโบราณคดี ณ อาคารมหาสุรสิงหนาท และอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และนิทรรศการศิลปะเกาหลีในโลกเสมือนจริง ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดเตรียมวิทยากรนำชม วันละ ๓ รอบ รอบแรก เวลา ๑๗.๐๐ น. รอบที่ ๒ เวลา ๑๗.๓๐ น. และรอบที่ ๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. ลงทะเบียนวันงานบริเวณศาลาลงสรง            นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตและจำหน่ายชาจีนและชาญี่ปุ่น อาหารคาวหวานตำรับชาววังและงานเย็บปักถักร้อย งานศิลปวัฒนธรรม สินค้าประเภทเครื่องหอม-ประทินผิวตำรับไทยโบราณ สินค้า OTOP/ของที่ระลึก พร้อมชมการบรรเลงดนตรีไทย - สากล จากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร            ขอเชิญผู้สนใจร่วมกิจกรรม เปิดพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำ (Night at the Museum) ได้ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ – ๒๐.๐๐ น. ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓


            ปูน ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานสถาปัตยกรรมโบราณที่นำมาใช้ในหลายวัตถุประสงค์ของกระบวนการก่อสร้าง เช่น ใช้เป็นวัสดุเชื่อมประสาน (binder) ในการก่อหรือสอให้วัสดุ เช่น อิฐ ศิลาแลง เชื่อมติดกัน เพื่อเป็นสิ่งก่อสร้าง เช่น ผนัง กำแพง ช่วยให้มีความมั่นคงของโครงสร้างมากขึ้น หรือเพื่อเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับการฉาบวัสดุอื่น เพื่อให้ผิวชั้นนอกเกิดความเรียบ หรือใช้สำหรับเป็นวัสดุสรรค์สร้างเป็นลวดลายต่าง ๆ ประดับตกแต่งอาคาร           คำว่า “ปูน” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง หินปูน หรือเปลือกหอยเมื่อถูกเผาจนสลายตัว ตัวอย่างคำที่เกี่ยวข้อง เช่น ปูนดิบ หมายถึง ปูนที่ได้จากการเผาหินปูนหรือเปลือกหอยจนสลายตัว ปูนสุก หมายถึง ปูนดิบที่ถูกความชื้นในอากาศหรือพรมน้ำแล้วแตกละเอียดเป็นผงขาว ปูนขาว หมายถึง ปูนสุก ใช้ผสมกับปูนซีเมนต์ ทราย และน้ำ สำหรับฉาบทาฝาผนัง ปูนปั้น ใช้เรียกลวดลายประดับตามอาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่ทำจากปูน เป็นต้น   ปูนที่ใช้ในสมัยโบราณส่วนใหญ่ทำมาจากปูนขาว เรียกว่า ปูนหมัก และปูนตำ ประกอบด้วย หินปูน เปลือกหอย กระดูก และมีส่วนผสมพิเศษเพื่อให้เกิดความเหนียว ทำหน้าที่เป็นกาวยึดเหนี่ยวเนื้อวัสดุ เช่น ยางไม้ ไขมันที่ได้จากพืชและสัตว์   ปูนขาว (lime) เป็นปูนที่เกิดจากการนำเปลือกหอย หรือหินปูน มาย่อยเป็นก้อนขนาดเล็ก แล้วนำไปเผา เมื่อเผาสุกแล้ว จะได้ “ปูนดิบ” เมื่อทำให้ปูนดิบเปียกน้ำจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้แตกเป็นผงสีขาว เรียกว่า “ปูนสุก” นำไปบด ร่อน กรอง เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป ปูนขาวส่วนใหญ่นำไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร และสร้างลวดลายประดับตกแต่งอาคาร   - ปูนหมัก คือการนำปูนขาวไปแช่น้ำในบ่อหรือถังหมักมีลักษณะเป็นของเหลวข้นสีขาว ภายในถังหมักปูนจะประกอบด้วยเนื้อปูนขาวตกตะกอนอยู่ด้านล่าง และมีน้ำปูนหล่อไว้อยู่ด้านบน โดยปูนหมักสามารถนำไปใช้เป็นปูนสอ ปูนฉาบ หรือนำไปเป็นส่วนผสมหลักเพื่อใช้ประโยชน์ในงานสถาปัตยกรรมต่อไป ส่วนน้ำปูนสามารถนำไปเติมในส่วนผสมปูนแทนน้ำ หรือพ่นใส่ผนังปูนฉาบเพื่อเสริมความแข็งแรง    - ปูนตำ คือปูนที่เกิดจากการนำปูนหมักมาตำหรือโขลกผสมกับทราย กาว (ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น) และเส้นใย (ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึงก่อนปูนจะแข็งตัว) เป็นส่วนผสมหลัก การตำรวมกันจนเนื้อละเอียดเข้ากัน สีขาวนวล มีความหนืดที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้เป็นปูนสอ ปูนฉาบ หรือปูนปั้น เมื่อเนื้อปูนสัมผัสอากาศจะเกิดปฏิกิริยา ทำให้แข็งตัว    ทั้งนี้ กระบวนการขั้นตอนการผลิตปูนตำและปูนหมัก รวมถึงส่วนผสมปูนจะมีความแตกต่างกันตามช่างปูนในแต่ละท้องถิ่นที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ มีดังนี้   - ปูนสอ หรือปูนก่อ เป็นปูนที่ใช้ในการก่ออิฐโครงสร้าง ประสานอิฐเข้าด้วยกัน   - ปูนฉาบ หรือปูนตกแต่ง เป็นปูนที่ใช้ตกแต่งอาคารให้เรียบร้อยสวยงาม ด้วยการฉาบพื้นผิวให้เรียบ หรือใช้ตกแต่งเป็นลวดบัว ขอบคิ้ว     - ปูนปั้น เป็นปูนที่ใช้สำหรับการปั้น ต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ มีความเหนียวเหมาะสำหรับการปั้นเป็นลวดลาย หรือรูปทรงต่าง ๆ ให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจน   จากร่องรอยที่ปรากฏในเมืองกำแพงเพชรสันนิษฐานว่ามีการฉาบปูนโดยรอบอาคาร และเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง รวมถึงนำปูนมาปั้นประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมเป็นลวดลาย หรือภาพเล่าเรื่อง และปั้นประติมากรรมรูปทรงต่างๆครอบทับโกลนศิลาแลงด้วย โดยตัวอย่างการนำปูนมาใช้ในงานศิลปกรรม อาทิ   - ร่องรอยปูนฉาบ หรือตกแต่งบริเวณมณฑปวัดพระสี่อิริยาบถ วิหารวัดพระนอน และบัวปากระฆังของเจดีย์ประธานวัดพระธาตุ    - พระพุทธรูปในมณฑปประธานวัดพระสี่อิริยาบถ ประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์ที่วัดสิงห์ และวัดอาวาสใหญ่ ประติกรรมเกือบลอยตัวรูปช้างที่ฐานเจดีย์ประธานวัดช้างรอบ และรูปสิงห์ที่ฐานเจดีย์ประธานวัดพระแก้ว           - ปูนปั้นภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติบริเวณฐานหน้ากระดานกลมเหนือฐานแปดเหลี่ยมและลวดลายตกแต่งรูปต้นไม้ระหว่างประติมากรรมรูปช้างของฐานเจดีย์ประธานวัดช้างรอบ และภาพลวดลายตกแต่งต่างๆบริเวณวิหารวัดพระแก้ว________________________________________________ เอกสารอ้างอิง พิจิตร นิ่มงาม. การปั้นปูนตำ. กรุงเทพฯ: สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๐. นพวัฒน์ สมพื้น. ลายปูนปั้น งานช่างประณีตศิลป์ของไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๐. นวลลักษณ์ วัสสันตชาติ. (๒๕๖๑). “ปูนในโบราณสถานของนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาแหล่งมรดกโลก.” หน้าจั่ว ๓๓ (มกราคม-ธันวาคม): ๔๓-๙๒. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.   --------------------------------------------------   ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร https://www.facebook.com/kpppark2534/posts/pfbid0RBDKDHNBSVZhb7SahmKHUHDh1GXjuk4VPLHkgHogsxLJPRPbpD6EMMaszaYSJPutl-------------------------------------------------- *เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร


แนะนำหนังสือน่าอ่าน เรื่อง ที่นี่ประเทศไทย ท่องเที่ยวภาคตะวันออก. สุทธิชัย ปทุมล่องทอง. ที่นี่ประเทศไทย ท่องเที่ยวภาคตะวันออก. กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์, 2549. 101 หน้า. ภาพประกอบ. เป็นหนังสือท่องเที่ยวภาคตะวันออก 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง ซึ่งรวมเกร็ดความรู้ของแต่ละจังหวัดในภาคตะวันออก พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเทศกาลและประเพณี สินค้าพื้นเมือง รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่พักและร้านอาหาร อ่านเล่มเดียวเที่ยวได้ทั่วทั้งภาคตะวันออก ได้ความรู้ และใช้เป็นคู่มือท่องเที่ยวในคราวเดียวกัน ท 915.93 ส773ท ฉ.03 (ห้องจันทบุรี)


black ribbon.