ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,739 รายการ


ตำนานเมืองจันทบุรี พระนางกาไว        ตามตำนานพระนางกาไว ฉบับเรียบเรียงโดยครูโพธิ์ เรืองเวชติวงศ์ ที่เรียบเรียงมาจากสมุดข่อยโบราณได้กล่าวไว้ว่า กาลครั้งหนึ่งมีกษัตริย์ผู้ครองนครบริเวณเชิงเขาสระบาป ทรงมีพระนามว่าพระเจ้าพรหมทัศน์ พระองค์มีอัครมเหสีพระนามว่า พระนางเจ้าจงพิพัฒณ์ และมีพระราชโอรสด้วยกัน 2 พระองค์ โดยองค์พระเชษฐาทรงพระนามว่า เจ้าไกรวงษ์ และองค์อนุชาทรงพระนามว่า เจ้าพงษ์สุริยามาศ ภายหลังอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าพรหมทัศน์ได้ทรงอภิเษกมเหสีองค์ใหม่ขึ้นมา ทรงนามว่าพระนางกาไว เป็นเชื้อชาติชอง ทรงพระสิริโฉมงดงามเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัศน์เป็นอย่างมาก และได้มีพระโอรสด้วยกันอีกหนึ่งพระองค์ ทรงพระนามว่า พระไวยะทัศน์      หลังจากทรงอภิเษก และมีราชโอรสแล้วจึงได้วางแผนกำจัดเจ้าไกรวงษ์และเจ้าพงษ์สุริยามาศซึ่งมีสิทธิ์ได้ครองราชสมบัติต่อจากผู้เป็นพระราชบิดา โดยการทำเสน่ห์ยาแฝดให้พระเจ้าพรหมทัศน์ทรงเสวย เพื่อให้โปรดปรานลุ่มหลงตนมากยิ่งขึ้น และหากสบโอกาสคราวใดก็จะทรงทูลพระเจ้าพรหมทัศน์ โดยหาเรื่องยุยงว่าร้ายลูกเลี้ยงทั้งสองของตนอยู่เสมอ แม้พระเจ้าพรหมทัศน์จะตกอยู่ในอำนาจมนต์เสน่ห์ก็ยังคงทรงมีสติ ไม่ทำอะไรรุนแรงแก่โอรสทั้งสอง แต่ด้วยเกรงว่าท้ายที่สุดโอรสตนจะถูกลอบปลงพระชนม์ จึงทรงเรียกพระราชโอรสมาชี้แจงให้ทราบเหตุ และมอบทรัพย์สินเงินทอง พร้อมด้วยเพชรพลอยให้อีกองค์ละ 1 ทนาน เพื่อให้หลบหนีออกจากเมือง แม้จะทรงอาลัยในราชโอรสอยู่ แม้พระราชโอรสทั้ง 2 พระองค์จะทรงทราบเบื้องหลัง แต่ด้วยความเกรงพระทัยในพระราชบิดา ทั้ง 2 พระองค์ก็เสด็จออกจากเมืองไปในที่สุด       เมื่อพระนางกาไวทำให้ลูกเลี้ยงทั้งสองของตนออกจากเมืองได้แล้ว ด้วยความกลัวว่าพระเจ้าพรหมทัศน์จะยกราชสมบัติแก่เจ้าไกรวงษ์และเจ้าพงษ์สุริยามาศ จึงจัดการวางยาพิษเพื่อปลงพระชนม์พระเจ้าพรหมทัศน์ และได้สถาปนาพระไวยะทัศน์โอรสตนขึ้นเป็นกษัตริย์ และตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการโดยอ้างว่าราชบุตรยังทรงพระเยาว์ นับได้ว่าพระนางกาไวบรรลุเป้าหมายโดยไร้อุปสรรคและได้อำนาจมาไว้ในมือสมใจหวัง       ฝ่ายเจ้าไกรวงษ์และเจ้าพงษ์สุริยามาศที่ทรงไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองในแคว้นพระตะบอง เมื่อทรงทราบว่าพระบิดาทรงสวรรคต และพระนางกาไวขึ้นครองเมืองก็ไม่พอพระทัย รีบกรีฑาทัพมาเพื่อชิงเมืองคืนเพราะถือว่าตนมีสิทธิ์ในราชสมบัติกว่าใคร ทั้งสองพระองค์จัดทัพเข้ามีเมืองโดยเป็นรูปปีกกาเรียงลำดับทหารไพร่พล ทัพช้าง ทัพม้า ตามแผนยุทธศาสตร์สมัยนั้น โดยเจ้าไกรวงษ์ยกเข้าตีทางปีกซ้ายด้านตะวันออกโอบเข้าไปสกัดและโจมตีทางใต้ของเมือง ส่วนเจ้าพงษ์สุริยามาศยกทัพเข้าตีทางปีกขวาเดินทัพแต่ทิศเหนือแล้วตีโอบล้อมไปทางทิศตะวันตกของเมืองเพื่อตีล้อมหนุนเข้าไปทางทิศตะวันตกของเมืองเพื่อไม่ให้เหลือทางหนีแก่พระนางกาไว      ทางพระนางกาไวก็จัดทัพสู้และป้องกันเมืองไว้ทุกด้าน กองทัพทั้งสองฝ่ายเข้ารบกันรุนแรง ทางด้านตะวันตกช้างทรงของเจ้าพงษ์สุริยามาศพบกับช้างทรงของพระไวยะทัศน์ก็ขับช้างวิ่งพุ่งเข้าชนรบ ช้างของพระไวยะทัศน์เสียที เจ้าพงษ์สุริยามาศสบโอกาสก็ฟันด้วยของ้าวถูกพระไวยะทัศน์สิ้นพระชนม์บนหลังช้าง ช้างวิ่งหนีกลับเข้าเมือง ทหารรบตลุมบอน ท้ายสุดทหารพระนางกาไวก็แตกถอยหนีเข้าไปในเมือง      เมื่อพระนางกาไวทราบว่าพระไวยะทัศน์สิ้นพระชนม์ในการรบ ทั้งทหารก็แตกหนีถอยร่นกลับมา ก็คิดจะตัดศึกไม่ให้ทหารฝ่ายตรงข้ามตีเข้ามาและเกิดการนองเลือดไปมากกว่านี้ จึงออกอุบายให้ทหารนำทองคำส่วนหนึ่งไปหว่านให้ทหารของเจ้าพงษ์สุริยามาศตามแนวรบซึ่งล้อมไปด้วยกอไผ่และบริเวณโดยรอบ แล้วยอมจำนนยุติการสู้รบ      จากนั้นพระนางกาไวก็ได้สั่งรวบรวมทรัพย์สินที่มีค่าที่เหลือทิ้งลงเว็จของพระองค์ให้หมดปิดให้มิดชิด แล้วเข้าห้องบรรทมสั่งห้ามผู้ให้รบกวนเป็นอันขาด แล้วสั่งข้าราชบริพารให้ยอมจำนอน ส่วนพระองค์จะเฝ้าเมืองไว้เอง แล้วก็เสด็จเข้าห้องบรรทม ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขอปิดเมืองไว้จนกว่าเรื่องราวจะถูกเปิดเผยและเป็นที่ยอมรับของทุกคน ใครที่หวังในสมบัติของข้า ขอให้มีอันเป็นไป หากผู้ใดเลื่อมใส ขอให้ประสพแต่ความสำเร็จ ความสุข ความเจริญ ข้าจะอยู่กับเมืองนี้ตลอดไป” แล้วพระนางกาไวก็เปิดยาพิษชื่อ มหาไว ดื่มจนสิ้นพระชนม์อยู่ในห้องบรรทมนั้นเอง        ในตำนานกล่าวถึงสถานที่ต่างๆไว้มากมาย ซึ่งผู้เรียบเรียงไม่ได้กล่าวถึงทั้งหมด ท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือเรื่อง ตำนานพระนางกาไว พระนางกาไว นิทานคำกลอนพระนางกาไว หรือนิทานพื้นบ้านจันทบุรี ณ หอสมุดแห่งชาติฯ จันทบุรี      ซึ่งสถานที่ที่ถูกกล่าวถึงในเนื้อเรื่องนั้น หลายแห่งปรากฏเป็นสถานที่จริงในปัจจุบัน ทั้งยังมีเรื่องเล่าในภายหลังต่างๆมากมาย อาทิเช่น พื้นที่บริเวณที่พระนางกาไวให้ทหารไปหว่านทอง เรียกว่าทองทั่ว หรือโคกทองทั่วนั้น แต่ก่อนเคยมีผู้พบทอง ณ บริเวณนั้นจริงๆ และเว็จพระนางกาไว ก็มีคนขุดเจอทองบ้างไม่เจอทองบ้าง ภายหลังเล่าต่อกันมาว่าหากใครไปขุดแล้วใกล้เจอทอง จะมีดังลั่นทำให้ทองหนีลึกลงไปอีก      ว่ากันว่าเมืองเพนียตเป็นเมืองคำสาปของพระนางกาไวอย่างแท้จริง เพราะท่านพ่ายศึกชิงเมืองในตอนนั้น ท่านหวงทรัพย์สมบัติมาก ท่านขุดฝังทรัพย์ไว้แล้วสละชีวิตปกป้องเมืองของท่าน แรงอาถรรพ์นี้เองที่ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเปิดเมืองเพนียตได้ เมืองเพนียตจึงถูกปิดมานานหลายร้อยปี จนภายหลังด้วยแรงศรัทธาจากชาวบ้านที่บูชากราบไหว้แม่ย่ากาไว และการเซ่นไหว้ของอนุญาตของคณะทำงาน แรงอาถรรพ์ในการปิดเมืองก็คลายลง ทำให้เมืองค่อยๆกลับมาเปิด และถูกบูรณะฟื้นฟูอีกครั้ง   เรียบเรียงโดย นางสาวทิพวรรณ จันทร์ปัญญา บรรณารักษ์ปฏิบัติการ         หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี        สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี  กรมศิลปากร     แหล่งข้อมูลอ้างอิง:      โพธิ์ เรืองเวชติวงค์.  ตำนานพระนางกาไว.  ม.ป.ท.: ม.ป.พ., ม.ป.ป.      ธรรม พันธุศิริสด.  พระนางกาไว.  พิมพ์ครั้งที่ 2.  ระยอง: ร้านลุงคอม, 2541.        ศุภวัฒน์ เอมโอช.  นิทานพื้นบ้านจันทบุรี.  จันทบุรี: สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี, 2555.  


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       77/6หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               64 หน้า : กว้าง 4.3 ซม. ยาว 56 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม  อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อผู้แต่ง         พระธรรมโสภณ ชื่อเรื่อง           ธรรมบรรยาย-เทศนา ๒๑ มีนาคม ๒๕๑๔ พิมพ์ครั้งที่       - สถานที่พิมพ์     พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๔ จำนวนหน้า      ๑๓๘  หน้า รายละเอียด                    ธรรมบรรยาย-เทศนา เป็นการรวบรวมการบรรยายธรรม ในวาระต่างๆ มาจัดพิมพ์ ขึ้น เพื่อแจกแก่ผู้ที่มาร่วมกันทำบุญในวาระที่พระธรรมโสภณ อายุครบ ๖ รอบปี




เลขทะเบียน : นพ.บ.609/1           ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :72 หน้า  ; 4 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 196 (1-7) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : ปัญญาชาดก--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.658/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 30 หน้า  ; 4.5 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 211 (142-154) ผูก 2 (2568)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอกสุขุม ยั่งยืน ณ เมรุวัดโสมนัสวิหาร 4 กันยายน 2516 ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2516 สถานที่พิมพ์ : - สำนักพิมพ์ : - จำนวนหน้า : 114 หน้า สาระสังเขป : ประวัติโดยย่อ พันเอก สุขุม ยั่งยืน เนื้อหาเกี่ยวกับนรก ความเชื่อของแต่ละบุคคล พระอริยบุคคลทั้ง 4 และวิธีปฏิบัติให้เป็นพระอริยบุคคล ในส่วนเนื้อหาท้ายเล่มมีสูตรน้ำพริกร้อยรส


        สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ขอเชิญร่วมฟังเสวนาทางวิชาการในหัวข้อเรื่อง “ความก้าวหน้าโครงการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดี แหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีถ้ำดิน อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ในวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          กำหนดการเสวนา มีดังนี้          เวลา ๐๙.๑๕ - ๑๐.๐๐ น. ลงทะเบียน         เวลา ๑๐.๐๐ - ๑๐.๑๕ น. อธิบดีกรมศิลปากร (นายพนมบุตร จันทรโชติ) ประธานในพิธีกล่าวเปิดการเสวนาทางวิชาการและบรรยายพิเศษ         เวลา ๑๐.๑๕ - ๑๒.๐๐ น. เสวนาทางวิชาการ เรื่อง “ความก้าวหน้าโครงการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดี แหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีถ้ำดิน อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์”          เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๔.๐๐ น. สรุปประเด็นการเสวนา และตอบข้อซักถามจากการเสวนา วิทยากรโดย นางประพิศ พงศ์มาศ นักโบราณคดีเชี่ยวชาญ ข้าราชการบำนาญ กรมศิลปากร, นางสาวกรรณิการ์ เปรมใจ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี และนางเป็นภัสญ์ ศรีสุวิทธานนท์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี         สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๒๓๒ ๓๒๒๖ Facebook: สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี https://www.facebook.com/Silpakornone  



พิพิธิภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง ไชยา : www.virtualmuseum.finearts.go.th/chaiya     พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา สังกัดสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งอยู่ที่ ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ในพื้นที่วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ทางทิศตะวันออกของวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี มีหน้าที่ในการเก็บรักษาโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินและให้บริการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์        พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา ได้ริเริ่มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2478 โดย พระครูโสภณเจตสิการาม อดีตเจ้าคณะอำเภอไชยาได้รวบรวมศิลปะโบราณวัตถุมาเก็บรักษาไว้ในพระอุโบสถ พระวิหารหลวง และ พระระเบียง ต่อมากรมศิลปากร ได้พิจารณารับเป็นสาขาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรียกชื่อในขนาดนั้นว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี” โดยจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม ครั้นถึง พ.ศ. 2493 ท่านพระครูอินทปัญญาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา ได้เริ่มสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ โดยเงินจากการจำหน่ายหนังสือเรื่อง "แนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน" สร้างอาคารเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบไทยประยุกต์อาคารใหม่หลังแรก  เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2495 ต่อมา พ.ศ. 2499 ได้สร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้นเป็นหลังที่สอง ด้านทิศเหนือ ใหญ่กว่าหลังแรก สร้างด้วยเงินงบประมาณของกรมศิลปากร และเงินงบประมาณแผนดิน ซึ่ง พ.ต.อ.พัฒน์ นีลวัฒนานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้จัดหา อาคารหลังนี้ต่อมาได้มีชื่อว่า “ศาลานีลวัฒนานนท์” ต่อมาเมื่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับพระวิหารหลวงชำรุดทรุดโทรมและทางวัดจะรื้อสร้างใหม่ จึงได้ย้ายศิลปวัตถุทั้งหมดจากวิหารหลวงนำไปเก็บและตั้งแสดงในอาคาร พิพิธภัณฑ์ที่สร้างใหม่         กิจการพิพิธภัณฑ์ได้เจริญก้าวหน้าตามลำดับมาประจวบกับในวาระสมโภชกรุงรัตน โกสินทร์ 200 ปี กรมศิลปากรเห็นเป็นโอกาสเหมาะสม  จึงได้ประกอบพีธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา โดยได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารพิพิธภัณฑแห่งชาติ ไชยา และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2525


กันตรึม     เครื่องดนตรีกันตรึม     กันตรึม           “กันตรึม” เป็นเพลงพื้นบ้านนิยมกันมากในจังหวัดสุรินทร์ เนื้อเพลงกันตรึมใช้ภาษาเขมรขับร้อง กันตรึมถือเป็นแม่บทของเพลงพื้นบ้าน และการละเล่นพื้นบ้านอื่นๆ ของจังหวัดสุรินทร์ ประวัติความเป็นมา             ประวัติการเล่นกันตรึมไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด ลักษณะของเพลงกันตรึมเป็นเพลงปฏิพากย์คล้ายๆ เพลงฉ่อย เพลงเรือ หรือลำตัด จะแตกต่างที่เนื้อร้องกันตรึมเป็นภาษาเขมร             ดนตรีบรรเลงประกอบ คือ กลองโทน(สก็วล) และซอ(สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๘) เหมือนกับประเทศกัมพูชา วงดนตรีกันตรึมมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของชาวสุรินทร์มาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีแบบใดๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ งานพิธีกรรมต่างๆ หรือใช้บรรเลงในพิธีเซ่นสรวงบูชา ทรงเจ้าเข้าผี เป็นต้น งานพิธีต่างๆ ของกลุ่มชาวไทยเขมรส่วนมากมักจะใช้วงกันตรึมบรรเลงยืนพื้นตลอดงาน           ปัจจุบันกันตรึมใช้เป็นการละเล่นเพื่อความบันเทิงโดยทั่วไป มีการสืบทอดตามแบบการละเล่นพื้นบ้านแบบรุ่นสู่รุ่น คือ เมื่อผู้เล่นกันตรึมคณะเดิมชราภาพ หรือย้ายถิ่นที่อยู่ ก็จะถ่ายทอดให้แก่ผู้สนใจเพื่อสานต่อ(สงบ บุญคล้อย ๒๕๒๒ : ๘)   วิวัฒนาการของเพลงกันตรึม ๑. ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงปฏิพากย์ของเขมร ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเพลงปฏิพากย์ภาคกลางของประเทศไทยทั้งโครงสร้างของเพลง วิธีการแสดง และเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบ ได้แก่ กลองโทน ซอ และใช้การปรบมือเข้าจังหวะ เพลงปฏิพากย์ที่เล่นกันในประเทศกัมพูชาจะมีเพลงปรบเกอย เพลงอายัย เพลงอมตูก และเจรียงต่างๆ เป็นต้น (สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๘)           ๒. วิวัฒนาการจากการใช้กลอง(สก็วล) ซึ่งเสียงตีกลองจะดัง “โจ๊ะกันตรึม ตรึม” จึงได้นำเสียงที่ดังนั้นมาตั้งเป็นชื่อวงดนตรี เรียกว่า “กันตรึม” การเล่นกันตรึมจะมีผู้ร้องทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ผู้แสดงจะร้อง และรำไปด้วย เป็นการรำให้เข้ากับจังหวะดนตรี ท่ารำไม่มีแบบแผนตายตัว           ปัจจุบันคณะกันตรึมบางคณะที่ยังเล่นอยู่ก็มีแบบการรำที่ไม่แน่นอน เนื่องจากกันตรึมไม่เน้นทางด้านการรำ แต่จะเน้นที่ความไพเราะของเสียงร้อง และความสนุกสนานของท่วงทำนองเพลงกันตรึมที่มีหลากหลายมากกว่า เครื่องดนตรี           เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นกันตรึม ประกอบด้วย กลองกันตรึม(สก็วล) ๒ ลูก ซอ(ตรัว) ๑ คัน ปี่อ้อ ๑ เลา ขลุ่ย ๑ เลา ฉิ่ง กรับ และฉาบ อย่างละ ๑ คู่ แต่ถ้ามีเครื่องดนตรีไม่ครบก็อาจจะอนุโลมใช้เครื่องดนตรีเพียง ๔ อย่าง คือ กลองกันตรึม ๑ ลูก ซอ ๑ คัน ฉิ่ง และฉาบ อย่างละ ๑ คู่             ในปัจจุบัน วงกันตรึมบางคณะได้นำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ เช่น กลองชุด กีตาร์ และไวโอลิน เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปตามความนิยมของผู้ชม   การแต่งกาย           การแต่งกายทั้งของนักดนตรีและนักร้องชายหญิงไม่มีแบบแผนกฎเกณฑ์ที่แน่นอน จะแตกต่างตามความสะดวกสบาย ทันสมัยและถูกใจผู้ชม เช่น หญิงนุ่งผ้าไหมพื้นเมือง เสื้อแขนกระบอก ห่มสไบเฉียง ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าไหมคาดเอว และมีผ้าขาวม้าไหมพาดไหล่ทั้งสองข้าง โดยชายผ้าทั้งสองจะห้อยอยู่ทางด้านหลัง   ผู้เล่นและโอกาสที่ใช้เล่น           การเล่นกันตรึม ใช้ผู้เล่นประมาณ ๖ – ๘ คน ผู้ร้องเป็นชายและหญิง อาจจะมี ๑ – ๒ คู่ หรือชาย ๑ คน หญิง ๒ – ๓ คน แต่โดยทั่วไปนิยมให้มีชาย ๒ คน หญิง ๒ คน           การเล่นกันตรึมจะเล่นในโอกาสต่างๆ ทั้งในโอกาสเฉลิมฉลอง งานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานโกนจุก งานบวชนาค เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ และลอยกระทง เป็นต้น หรืองานอวมงคล นอกจากนี้ยังใช้เล่นในพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อพื้นบ้าน   วิธีเล่นกันตรึม           วงกันตรึมจะเล่นที่ไหน ก่อนเริ่มการแสดงจะต้องมีพิธีไหว้ครูเพื่อเป็นสิริมงคล ทั้งผู้ดูและผู้เล่น เมื่อไหว้ครูเสร็จก็จะเริ่มบรรเลงเพลง เป็นการโหมโรงเพื่อปลุกใจให้ผู้ดูรู้สึกตื่นเต้น และผู้แสดงก็จะได้เตรียมตัว จากนั้นจะเริ่มแสดง โดยเริ่มบทไหว้ครูตามธรรมเนียมโบราณดั้งเดิม วิธีการร้องจะขับร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย หญิง มีการรำประกอบการร้อง ไม่ต้องใช้ลูกคู่ช่วยร้องรับบทเพลง   บทเพลงกันตรึม           บทเพลงกันตรึมไม่มีเนื้อร้องเป็นการเฉพาะ แต่มักคิดคำกลอนให้เหมาะสมกับงานที่เล่น หรือใช้บทร้องเก่าๆ ที่จดจำกันมามีประมาณ ๒๒๘ ทำนองเพลง ไม่มีใครสามารถจดจำได้ทั้งหมด เพราะไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงการจดจำต่อๆ กันมาเท่านั้น   การแบ่งประเภทบทเพลงกันตรึม           ๑. บทเพลงชั้นสูงหรือเพลงครู เป็นบทที่มีความไพเราะ สูงศักดิ์ ทำนองเพลงอ่อนหวานกินใจ แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ เช่น เพลงสวายจุมเวื้อด ร่ำเป็อย – จองได มโหรี และเพลงเซร้ยสะเดิง เป็นต้น           ๒. บทเพลงสำหรับขบวนแห่ มีทำนองครึกครื้นสนุกสนาน มีการฟ้อนรำประกอบการขับร้อง มีหลายทำนอง เช่น รำพาย ซมโปง ตร็อบตุม และเกาะเบอรมแบง เป็นต้น           ๓. บทเพลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ เป็นบทเพลงที่มีทำนองรวดเร็ว เร่งเร้า ให้ความสนุกสนาน ใช้เป็นบทขับร้องในโอกาสทั่วๆ ไป เช่น เกี้ยวพาราสี สั่งสอน สู่ขวัญ และรำพึงรำพัน เป็นต้น ทำนองเพลงจะมีหลายทำนอง เช่น อมตูก กัจปกาซาปาดาน กันเตรยโมเวยงูดตึก กะโน้ปติงต้อง และมลบโดง เป็นต้น           ๔. บทเพลงประยุกต์ เป็นบทเพลงที่ใช้ทำนองเพลงลูกทุ่งเข้ามาประยุกต์เป็นทำนองเพลงกันตรึม เช่น ดิสโก้กันตรึม สัญญาประยุกต์ และเตียแขมประยุกต์ เป็นต้น




black ribbon.