ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
รายงานผลการตรวจสอบโบราณสถานปราสาทโคกกระซ้กบ้านขมิ้น หมู่ที่ ๑ ตำบลเป็นสุข อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ จัดทำโดยกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมากรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมพ.ศ. ๒๕๖๗
เนื่องในวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๓๐ พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เพื่อน้อมรำลึกถึง
พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี ขอนำเสนอความรู้เรื่อง โรงพยาบาลพระปกเกล้า : พระบรมราชานุสรณ์รัชกาลที่ ๗ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย
โรงพยาบาลพระปกเกล้า เดิมมีชื่อว่า “โรงพยาบาลจันทบุรี” โดยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงนรินทร์ประสาทเวช (เจน สุนทโรทัย) อดีตสาธารณสุขมณฑลจันทบุรี ขณะที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดจันทบุรีอยู่นั้น ได้เป็นผู้ริเริ่มดำเนินการจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นในจังหวัดจันทบุรี โดยคณะกรรมการจังหวัดจันทบุรีได้เลือกเอาพื้นที่ท้ายเนินปลัด (เนินป่าโรงไห) ริมถนนเลียบเนินตรงข้ามกับทุ่งนาเชยเป็นที่ก่อสร้างโรงพยาบาล ซึ่งได้รับบริจาคที่ดินจากราษฎร จำนวน ๗๗ ไร่ ๑ งาน ๘ ตารางวา การก่อสร้างโรงพยาบาลได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ และแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นโรงพยาบาลขนาด ๕๐ เตียง เปิดให้บริการในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยให้ชื่อว่า “โรงพยาบาลจันทบุรี” มีนายแพทย์เลิศ สมบูรณ์ยิ่ง เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาล
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จมาประทับ ณ สวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ และครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมา
ที่โรงพยาบาลจันทบุรี เพื่อทำแผลที่เกิดจากการถูกของมีคมบาด ภาพที่ปรากฏต่อสายพระเนตร คือภาพโรงพยาบาลเล็กๆ โทรมๆ เป็นที่สะท้อนพระราชหฤทัยยิ่งนัก พระองค์ทรงตระหนักพระราชหฤทัยด้วยกุศลจิตว่า อาคารต่างๆ ของโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้วยังน้อยเกินไป ไม่เป็น การเพียงพอแก่การรักษาพยาบาล และเป็นการสมควรที่จะสร้างอาคารและจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ในการรักษาพยาบาลเพิ่มให้มากขึ้น จึงทรงดำริว่า ตึกผ่าตัดอันทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะสร้างขึ้นก่อน เพื่อจะเป็นการช่วยชีวิตประชาชนผู้เจ็บป่วย และผู้ต้องประสบอุปัทวันตราย ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลทางผ่าตัดอย่างทันท่วงที
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้ทรงพยายามจัดหาทุนทรัพย์สำหรับใช้ในการก่อสร้าง โดยพระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นทุนส่วนใหญ่ไว้ และได้ทรงจัดให้มีการแสดงละครขึ้นที่จังหวัดพระนครเพื่อหารายได้มาสมทบทุนในการสร้างตึกผ่าตัดหลังนี้ โดยการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ นับว่าเป็นตึกผ่าตัดที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น และสมเด็จฯ ได้ทรงพระราชทานนามตึกนี้ว่า “ตึกประชาธิปก” อันเป็นพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์และอุทิศส่วนพระราชกุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในขณะเดียวกันได้มีการปรับปรุงและขยายโรงพยาบาลประจำจังหวัดจันทบุรีให้ใหญ่ขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงโรงพยาบาลขนาด ๕๐ เตียง ได้ขยายให้เป็นโรงพยาบาลขนาด ๑๕๐ เตียง พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อจาก “โรงพยาบาลจันทบุรี” เป็น “โรงพยาบาลพระปกเกล้า” เพื่อน้อมเกล้าถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โรงพยาบาลพระปกเกล้ามีพัฒนาการความก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ มีศักยภาพสูงสามารถรองรับการให้บริการทางสาธารณสุขแก่ประชาชนครอบคลุมทั้งในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและในพื้นที่ภาคตะวันออก ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ขนาด ๗๕๕ เตียง มีบทบาทหน้าที่ให้บริการตามภารกิจกระทรวงสาธารณสุข โดยให้บริการแบบผสมผสาน (Integrated Service) ในด้านการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพ และเป็นศูนย์การรักษาเฉพาะโรคที่ต้องใช้ทรัพยากรระดับสูง (Excellent Center) ให้บริการทางการแพทย์ครบทุกสาขาวิชา เป็นสถานบริการที่จะรับการส่ง-ต่อผู้ป่วยเพื่อตรวจวินิจฉัยหรือรักษาพยาบาล เป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูง ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ด้านโรคมะเร็ง ด้านโรคหัวใจ ด้านทารกแรกเกิด และด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ นอกจากนี้ยังเป็นเป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย
โรงพยาบาลพระปกเกล้า พระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งนี้ นับว่าเป็นอนุสรณ์แห่งพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้ทรงมีแก่ชาวจันทบุรีและประชาชนตลอดมาตราบจนปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี กรมศิลปากร
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า. กรุงเทพฯ: จามจุรีโปรดักส์, ๒๕๕๕.
แผนยุทธศาสตร์โรงพยาบาลพระปกเกล้า ปี ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘, จาก https://www.ppkhosp.go.th
ศิบดี นพประเสริฐ. โรงพยาบาลพระปกเกล้า. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘, จาก https://wiki.kpi.ac.th/index. php?title=โรงพยาบาลพระปกเกล้า
เลขทะเบียน : นพ.บ.716/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 226 (303-316) ผูก 2 (2568)หัวเรื่อง : พระธรรมสามไตร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อแบบฉบับ : ตำนานพระแก้ว (ผูก 1)
ชื่อเรื่อง : ตำนานพระแก้ว (ผูก 1)
เลขทะเบียน : นน.บ.139/1
ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ ผู้สร้าง : ไม่ปรากฏ ปีที่สร้าง : ไม่ปรากฏ
จำนวน : 1 คัมภีร์ 1 ผูก จำนวนบรรทัด : 4 บรรทัด จำนวนหน้า : 42 หน้า
อักษร : ธรรมล้านนา ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา เส้น : จาร
ฉบับ : ล่องรัก ไม้ประกับ : ไม่มี ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน
ประวัติ : ได้มาจากวัดปรางค์ ต.ปัว อ.ปัว จ.น่าน
โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568
พี่บรรณนี่ขอชวนผู้อ่านไปค้นพบเรื่องราวความรู้ที่น่าสนใจจากหนังสือดีที่มีให้บริการในหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “ประเพณีไหว้พระจันทร์”
“ประเพณีไหว้พระจันทร์” หรือภาษาจีนเรียกว่า 中秋节 (จงชิวเจี๋ย) เป็นวัฒนธรรมที่มีรากฐานมาจากอารยธรรมจีนโบราณ โดยมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว ว่ามีการประกอบพิธีบูชาดวงจันทร์เพื่อแสดงความกตัญญูต่อธรรมชาติและเฉลิมฉลองผลผลิตหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังและ หมิง ประเพณีดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นเทศกาลสำคัญที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เทศกาลนี้จัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปีตามปฏิทินจันทรคติจีน โดยในปีนี้ ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม 2568
ส. พลายน้อยได้กล่าวไว้ในหนังสือ จันทรคตินิยาย เกี่ยวกับประเพณีไหว้พระจันทร์ว่า พิธีไหว้พระจันทร์แบบโบราณของจีนจะทำในเดือนแปด เริ่มตั้งแต่ขึ้น 11 – 15 ค่ำ พิธีมีการเซ่นเจ้าแม่และเซ่นดาวจระเข้ เครื่องเซ่นมีกระบุงสี่เหลี่ยมใส่ข้าวสารเล็กน้อยวางบนโต๊ะกลางแจ้ง เอาตะเกียบ 10 คู่ กับรูปเด็กๆ ใส่ในกระบุง นิมนต์พระมาสวด หัวหน้าครอบครัวนำลูกหลานมาเซ่นไหว้ เสร็จแล้วจึงเอาข้าวในกระบุงมาต้มรับประทาน ซึ่งมีความเชื่อว่าจะทำให้อายุยืน นอกจากนี้ยังมีการทำขนมพระจันทร์ประกวดประชันกัน ประดับประดาอย่างสวยงาม เป็นวันสนุกสนานรื่นเริงที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน ผ่านกิจกรรมการรวมตัวรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งมีลักษณะทรงกลมแทนความสมบูรณ์พร้อมและการกลับมาพบกันของญาติมิตร
การไหว้พระจันทร์มีนัยสำคัญในเชิงสัญลักษณ์และสังคม กล่าวคือ ดวงจันทร์เต็มดวงในวันเพ็ญเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์ ความกลมเกลียว และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของครอบครัว พิธีกรรมดังกล่าวยังสะท้อนมิติทางศาสนาและความเชื่อ โดยมีตำนาน “ฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์” เป็นเรื่องเล่าหลักที่อธิบายถึงความศรัทธาของผู้คนต่อดวงจันทร์ในฐานะแหล่งพลังงานและความงดงาม ดังนั้นการไหว้พระจันทร์จึงมิได้เป็นเพียงพิธีกรรมทางความเชื่อ แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมที่สืบทอดจากอดีตสู่ปัจจุบัน
ผู้อ่านที่สนใจเรื่องราวของประเพณีไหว้พระจันทร์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เรื่อง “จันทรคตินิยาย” ซึ่งรวบรวมโดย ส. พลายน้อย เป็นเรื่องของพระจันทร์ในหลายแง่มุม ทั้งด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี นิยาย นิทาน ความเชื่อ ตำนาน ทั้งของไทยและต่างประเทศ สามารถอ่านได้ที่ห้องหนังสือทั่วไป 1 หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
ข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบ
ส. พลายน้อย. จันทรคตินิยาย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: พิมพ์คำ, 2543.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ขอเชิญชวนทุกท่านมาสัมผัสความงดงามของโบราณสถานวังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และโบราณวัตถุล้ำค่า ในบรรยากาศยามค่ำคืนอันแสนพิเศษ กับเทศกาลชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Bloom into the Night: Night at the museum, where culture comes alive” วันที่ 19 - 21 และ 26 – 28 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 - 20.00 น. จำหน่ายบัตรเข้าชมถึงเวลา 19.00 น.
ไฮไลท์กิจกรรม พบกับกิจกรรมบรรยายนำชมห้องจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ในหัวข้อ "TIMELESS BLOSSOM ดอกไม้เหนือกาลเวลา" ผ่าน 3 เส้นทางสำรวจวัฒนธรรม
- เส้นทางที่ 1 “ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ กับภาพสะท้อนคติความเชื่อ สัญลักษณ์ และงานช่าง” ณ อาคารมหาสุรสิงหนาท (ห้องจัดแสดง ศิลปะเอเชีย, ยุคก่อนประวัติศาสตร์, สมัยทวารวดี, สมัยลพบุรี, และสมัยศรีวิชัย)
- เส้นทางที่ 2 “จากคติสู่ศิลป์: ความหลากหลายของดอกไม้ในศาสนา วรรณคดี และประวัติศาสตร์” ณ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ (ห้องจัดแสดง สมัยล้านนา, สมัยสุโขทัย, สมัยอยุธยา, สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ และรัตนโกสินทร์สมัยใหม่)
- เส้นทางที่ 3 “Flowers of Power: ดอกไม้ ศิลปะ และราชสำนักไทย” ณ อาคารหมู่พระวิมาน (นิทรรศการศิลปะไทยประเพณี งานประณีตศิลป์ในราชสำนัก)
รอบบรรยายนำชม จำนวน 2 รอบต่อวัน รอบที่ 1 เวลา 17.00 น. และ รอบที่ 2 เวลา 18.00 น. เปิดลงทะเบียนหน้างาน ณ ศาลาลงสรง ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2224 1402, 0 2224 1333, Inbox Facebook National Museum Bangkok : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร / Facebook Education.National Museum Bangkok เที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันเปิดประสบการณ์ "Bloom into the Night" และให้วัฒนธรรมไทยบานสะพรั่งในใจคุณ +++++++++++++++++++++++++++++
Night at The Museum Festival 2025
“Bloom into the Night: Night at the museum, where culture comes alive”
The National Museum Bangkok cordially invites you to experience an extraordinary evening. Discover the splendor of the historic Wang Na Palace from the Rattanakosin Era and explore invaluable ancient artifacts within an enchanting night-time atmosphere.
------------------------------------------------
Event Dates and Hours
December 19-21 and 26-28, 2025
Open 9:00 AM - 8:00 PM
Ticket sales until 7:00 PM
------------------------------------------------
Event Highlights
English tour guide available at 5:00 PM (December 19-21 only)
Register at Sala Longsong (the Pavilion near the entrance) from 4:00 PM onwards
------------------------------------------------
For More Information
Tel. 02-224-1402, 02-224-1333
Message us via Facebook page
------------------------------------------------
Join us in experiencing the magnificence of Thai cultural heritage in a magical evening atmosphere!
พิพิธิภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง บ้านเชียง: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ก่อตั้งหลังการเสด็จประพาสเยี่ยมชมหลุมขุดค้นทางโบราณคดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พุทธศักราช 2515 การเสด็จประพาสดังกล่าวได้กระตุ้นการสร้างสำนึกปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ให้ความสำคัญและความตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงซึ่งกำลังประสบปัญหาการลักลอบค้าโบราณวัตถุในขณะนั้น
นับตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2518 กรมศิลปากร ได้ดำเนินการเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ให้กับชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำแหล่งแห่งแรกของประเทศไทยในปี พุทธศักราช 2526 มูลนิธิจอห์น เอฟ. เคนเนดี ได้มอบทุนสนับสนุนในการสร้างอาคารหลังที่ 2 ซึ่งถูกสถาปนาชื่อ เพื่อเป็นเกียรติแด่ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและมีสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯเสด็จแทนพระองค์เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2530
ในปี พุทธศักราช 2549 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณตามโครงการปรับปรุงแหล่งประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในภูมิภาคอินโดจีน ในการดำเนินการก่อสร้างอาคารจัดแสดงนิทรรศการหลังใหม่ เพื่อปรับปรุง และขยายพื้นที่การจัดแสดงนิทรรศการหลัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามของอาคารนี้ว่า อาคารกัลยาณิวัฒนา และโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จแทนพระองค์เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2553
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์บัสพระที่นั่ง พร้อมด้วยคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถึงอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายพีรพน พิสณุพงศ์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายวิเศษ เพชรประดับ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี พร้อมด้วยข้าราชการกรมศิลปากร และข้าราชการในพื้นที่ เฝ้ารับเสด็จ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๖.๔๐ น.
จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังบริเวณพื้นที่โบราณสถานหมายเลข ๑ และทอดพระเนตรโบราณสถาน โดยมีนางอมรา ศรีสุชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิพิธภัณฑ์ กรมศิลปากรถวายการนำชม เมื่อทอดพระเนตรโบราณสถานในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์แล้ว ได้เสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมทั้งทอดพระเนตรการแสดงนาฏศิลป์ ชุด ระบำศรีชัยสิงห์ และระบำทวาราวดี จากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือ ในเขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง มีประตูเข้าออก ๔ ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ ๖ สระ
อบรมผู้ใช้งานระบบสัมมนาออนไลน์ ในวันที่ 22 มีนาคม 2556
ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 โดยเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเวิร์ค กรุ๊ป จำกัด
สถานที่ : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
ติดต่อ : เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์ 02-2222222
เรือมอันเรหรือลู้ดอันเร
เรือม แปลว่า “รำ” ลู้ด แปลว่า “กระโดดหรือเต้น” อันเร แปลว่า “สาก” ฉะนั้นคำว่า เรือมอันเร หรือ ลู้ดอันเร แปลว่า “รำสาก” หรือ “เต้นสาก”
เรือมอันเรหรือลูดอันเร เป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรจังหวัดสุรินทร์ที่เล่นกันในเดือนห้า(แคแจด) ซึ่งถือเป็นวันพักผ่อนประจำปี ช่วงวันหยุดสงกรานต์มาแต่โบราณ เรียกว่า “งัยตอม” โดยถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่ ชาวบ้านจะพากันหยุดทำงาน ๒ ช่วง ช่วงแรกหยุด ๓ วัน วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง วันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ เรียกว่า “ตอมตู๊จ” ช่วงที่สองหยุด ๗ วัน เรียกว่า “ตอมทม” วันแรม ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ การหยุดในช่วงที่สองนี้ก่อนจะมีการหยุดพักผ่อน ชาวบ้านจะก่อเจดีย์ทรายที่วัดใกล้บ้าน ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ พอเช้าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ทำบุญตักบาตร หลังจากนั้นก็จะหยุด ๗ วัน ในช่วงนี้เองเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันได้มาพบประกันด้วยการละเล่นพื้นบ้านที่เรียกว่า “เรือมอันเร” หรือ “ลู้ดอันเร”
เหตุที่เรียกการละเล่นนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ลู้ดอันเร” อาจเป็นเพราะลักษณะการร่ายรำที่สนุกสนานครื้นเครงมีท่ากระโดดโลดเต้นเข้ากับจังหวะของสากที่กระทบกันเกิดเสียงดังสนุกสนานเพราะสากตำข้าวทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้พยูง ไม้ประดู่ กระทบกันจะเกิดเสียงดัง ปัจจุบันเรือมอันเร หรือลู้ดอันเร มีการพัฒนาให้เป็นรูปแบบทั้งด้านท่ารำ การแต่งกาย ตลอดจนเพลงที่ใช้ประกอบ
การเล่นเรือมอันเรในสมัยแรกๆ จะมีการจับกลุ่ม และนัดหมายกันมาเล่นในช่วงวันหยุดอาจจะเป็น ๓ วัน หรือ ๗ วัน เพื่อจะได้สนุกสนานร่วมกัน ชายหนุ่มในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงเมื่อได้ยินเสียงก็จะมาร่วมรำด้วย และถ้าต้องการใกล้ชิดสาวที่ตนรักก็จะพารำเข้าไปในสากที่กระทบกัน
การเล่นเรือมอันเรได้ถ่ายทอดสืบเนื่องมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ไม่สามารถสืบทราบได้ว่ามีกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อไร ใครเป็นคนคิดริเริ่มขึ้น ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงปี พ.ศ.๒๔๘๔ มีการฟื้นฟูการละเล่นพื้นเมือง คือ “รำโทน” ซึ่งมีรูปแบบการเล่นที่เรียบง่าย เนื้อหาของเพลงเชิงเย้าแหย่แฝงการเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยพัฒนาการรำโทนให้เป็นแบบแผนขึ้น เพื่อชาวต่างชาติจะได้เห็นศิลปะด้านการฟ้อนรำของไทยที่งดงามแสดงออกถึงความเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม จึงให้กรมศิลปากรพัฒนาการรำโทนให้เป็นรำวงมาตรฐาน โดยประพันธ์คำร้องแต่งทำนองประดิษฐ์ท่ารำกำหนดวิธีการเล่น ตลอดจนแนะนำการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย (จรูญศรี วีระวานิช. ๒๕๒๔ : ๙๕)
จากการปรับปรุงการรำโทนให้เป็นรำวงมาตรฐานนี้เอง ส่งผลให้การแสดงพื้นบ้านเรือมอันเรได้มีการพัฒนารูปแบบการรำขึ้นโดยนางประนอม สืบนุการ ซึ่งเคยอบรมรำวงมาตรฐานจากกรมศิลปากรในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำให้การเรือมอันเรพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งด้านการแต่งกาย เพลง และท่าฟ้อนรำมีการปรับปรุงการรำให้อ่อนช้อยสวยงาม แต่ยังไม่เป็นแบบแผนเหมือนสมัยหลังๆ
ต่อมา นางวิบูลย์วรรณ จรัณยานนท์ ภรรยาศึกษาธิการจังหวัดร่วมกับภรรยาข้าราชการอื่นๆ อีกหลายท่านปรับปรุงท่าเรือมอันเรให้เป็นรูปแบบ และฝึกซ้อมให้กับข้าราชการและประชาชนเพื่อแสดงรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่เสด็จเยี่ยมพสกนิกรจังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ ต่อมา นางผ่องศรี ทองหล่อ นางแก่นจันทร์ นามวัฒน์ และนางสุจินต์ ทองหล่อ เป็นผู้ฝึกซ้อมเรือมอันเรเพื่อแสดงในงานช้างประจำทุกปี แรกๆ เมื่อจบแต่ละท่าผู้รำต้องหยุดรอเพลงและจังหวะใหม่ นางแก่นจันทร์ และคณะจึงปรับปรุงท่ารำแต่ละท่าโดยใช้จังหวะเชื่อมกัน และใช้ท่ารำเรือมตรุษเป็นท่าเริ่มแสดง คือการรำเดินเรียงหนึ่งมาเป็นท่าเดินออกในการแสดงเรือมอันเร (แก่นจันทร์ นามวัฒน์. ๒๕๓๑)
ผู้แสดง
ในการแสดงเรือมอันเร ผู้แสดงไม่จำกัดจำนวน การฟ้อนรำแต่เดิมฝ่ายหญิงจะรำรอบสากที่กระทบกัน ฝ่ายชายที่ยืนดูรอบๆ ถ้าใครอยากจะรำคู่กับฝ่ายหญิงคนไหนก็จะเข้าไปโค้งและขอรำคู่ด้วย ถ้าคู่ไหนรำเก่งและมีความแม่นยำในจังหวะการกระทบสากก็จะพากันรำเข้าสากในช่วงที่สากแยกออกจากกัน และรีบชักเท้าออกเมื่อสากกระทบกันตามจังหวะและท่วงทำนองในการแสดง อาจใช้ผู้รำเป็นจำนวนร้อยคนก็ได้ แต่ถ้าเป็นการแสดงในสถานที่แคบก็ใช้ผู้แสดงน้อยคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่และโอกาสที่แสดง
การแต่งกาย
การแต่งกายเรือมอันเร แต่เดิมไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาก หญิงนุ่งผ้าไหมที่ทอเอง เช่นผ้าโฮล หรือซัมป็วดโฮลต่อประโบล(เชิงผ้านุ่ง) ส่วนผู้ชายนุ่งโสร่ง ต่อมามีการพัฒนาเป็นแบบเดียวกันคือ ฝ่ายหญิงสวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าถุงไหมห่มสไบเฉียงพาดไหล่รวบชายด้านข้าง ดอกไม้ทัดหู และใส่สร้อยตัว หรือสายสังวาลย์ อาจมีเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ตุ้มหู สร้อยคอ เป็นต้น ส่วนฝ่ายชายจะสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น นุ่งโจงกระเบนผ้าไหมพื้นเมืองที่เรียกว่า ผ้ากะเนียว (ผ้าหางกระรอก) ผ้าขาวม้าไหมคาดเอว และพาดบ่า แล้วทิ้งชายผ้าไปข้างหลังทั้งสองชาย
โอกาสที่แสดง
แต่เดิมการแสดงเรือมอันเร นิยมเล่นในช่วงเดือนห้า(แคแจด) หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยและเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ชาวบ้านจะมารวมกันในตอนค่ำ โดยใช้สถานที่ลานวัดหรือลานบ้านที่กว้างๆ แต่ในปัจจุบันเรือมอันเรจะแสดงทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นงานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ตลอดจนงานเทศกาลทั่วๆ ไป เพื่อต้อนรับแขกคนที่มาเยี่ยมเยือนหรือมาร่วมงาน
ดนตรีและเพลง
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการแสดงเรือมอันเร ประกอบด้วย โทน ๑ คู่ ปี่ใน(ปี่ฉลัย) ๑ เลา ซออู้ ๑ คัน ตะโพน ๑ ใบ ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ คู่
นอกจากเครื่องดนตรีดังกล่าวแล้ว อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบในการแสดงเรือมอันเรคือ สาก ๒ อัน ความยาวประมาณ ๒ – ๓ เมตร ทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้พยูง หรือไม้ประดู่ มีไม้หมอน ๒ อัน วางรองหัวท้ายสากความยาวประมาณ ๑.๕๐ เมตร ความสูงประมาณ ๓ – ๔ นิ้ว
เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงเรือมอันเร
เรือมอันเรบทเพลงร้องเป็นภาษาพื้นบ้านของชาวไทยที่พูดภาษาเขมร ทำนองและจังหวะเรือมอันเรในสมัยก่อนมีเพียง ๓ จังหวะ คือ จังหวะจืงมูย จังหวะจืงปีร์ และจังหวะมลบโดง
ทำรำ
ท่ารำเรือมอันเร ส่วนมากเป็นท่าอิสระ เพื่อความสนุกสนาน เป็นท่ารำเกี้ยวพาราสี การเข้าไปรำในสากที่กระทบกัน ฝ่ายชายจะรำเดินไล่ฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงจะคอยถอยและรำตามคอยระวังไม่ให้ฝ่ายชายถูกเนื้อต้องตัว ในการฟ้อนรำต้องใส่อารมณ์ให้แสดงออกมาทางสีหน้าประกอบกับท่าฟ้อน จึงจะให้ความรู้สึกสนุกสนาน ท่ารำเรือมอันเรแต่เดิมมีเพียง ๓ ท่า คือ ท่าจืงมูย ท่ามลบโดง และท่าจืงปีร์ การตั้งชื่อท่ารำจะตั้งตามลักษณะของการเข้าสาก เช่น ท่าจืงมูย หมายถึงท่าขาเดียวในการเข้าสากหรือการนำสากในจังหวะนี้จะก้าวเข้าไปในสากทีละขา ส่วนขาอีกข้างหนึ่งแยกออกจากกันตามจังหวะของดนตรี ท่าทลบโดง หมายถึงร่มมะพร้าวลีลาการฟ้อนรำพลิ้วไหวคล้ายๆกับใบมะพร้าวกำลังโดนลมพัดเอนไปมา ท่าจืงปีร์ หมายถึงท่าสองขา การรำเข้าสากท่านี้จะเข้าไปอยู่ในสากทีละ ๒ ขา และต้องรีบชักเท้าออกให้ทันจังหวะสากกระทบ
จากเดิมท่ารำมี ๓ ท่า พัฒนาเป็น ๗ ท่า คือ ท่าเดินออก ท่าไหว้ครู ท่ากัจปกา ท่าจืงมูย ท่ามลบโดง ท่าจืงปีร์ และท่าพลิกแพลงต่างๆ โดยกลุ่มศิลปินท้องถิ่น คือนางผ่องศรี ทองหล่อ นางแก่นจันทร์ นามวัฒน์ และนางสุจินต์ ทองหล่อ
ลักษณะเด่นของเรือมอันเรอยู่ที่ความอ่อนช้อยของท่าฟ้อนรำทั้งชายหญิง ประกอบกับท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะสนุกสนาน การเปลี่ยนท่ารำจากท่าหนึ่งไปอีกท่าหนึ่งพร้อมกับท่วงทำนองของดนตรี สอดประสานได้กลมกลืนกับจังหวะของสากที่กระทบกัน ผู้รำเข้าสากในแต่ละเพลงเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดผู้ชม
การฟ้อนรำเรือมอันเรจะไม่กำหนดเวลาแน่นอนเหมือนการฟ้อนรำมาตรฐาน เช่น ระบำดาวดึงส์ ระบำกฤษดาภินิหาร ฯลฯ เพราะการฟ้อนรำดังกล่าวเป็นการฟ้อนรำตีบทตามเนื้อร้อง ส่วนเรือมอันเรเป็นการฟ้อนรำประกอบจังหวะและท่วงทำนองเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องไม่กำหนดเวลาแน่นอนขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอย่างอื่น เช่น เวลา สถานที่ ตลอดจนผู้รำ นอกจากนี้การแสดงเรือมอันเร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังมีส่วนช่วยเพิ่มความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม ช่วยให้คนในชุมชนผ่อนคลายมีความบันเทิงใจ มีโอกาสได้พบปะแสดงออกตามความถนัดและความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคน เป็นการตอบสนองทางด้านร่างกายและจิตใจ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเรือมอันเรเป็นการฟ้อนรำที่บุคคลทั่วไปรู้จักมากที่สุด อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์
เอกสารอ้างอิง
ขุนพรมประศาสน์. กาพย์ห้าแผ่นดิน ม.ป.ป.
เครือจิต ศรีบุญนาค. การฟ้อนรำของชาวไทยในเขตอำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์. ปริญญานิพนธ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ มหาสารคาม, ๒๕๓๔.
จรูญศรี วีระวานิช. คู่มือการสอนและการจัดแสดง กรุงเทพฯ : ชวินและคณะ, ๒๕๒๔
เติม วิภาคย์พจนกิจ. การฟ้อนรำของชาวไทยเขมรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์. ปริญญานิพนธ์ ศศม.สารคาม : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๔
ปฐม คเนจร(หม่อมอมร วงศ์วิจิตร),ม.ร.ว. ประชุมพงศาวดารภาค ๔. กรุงเทพ:ก้าวหน้า,๒๕๐๗.
ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ. อีสานเล่ม ๓. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๕
ภูมิจิต เรืองเดช.กันตรึมเพลงพื้นบ้านของชาวเขมรในจังหวัดบุรีรัมย์. โครงการศูนย์วัฒนธรรมท้องถิ่น กรมการฝึกหัดครู,๒๕๒๘.
วิทยาลัยครูสุรินทร์. เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ เรื่องเพลงพื้นบ้านและการละเล่นพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์. สุรินทร์ : วิทยาลัยครูสุรินทร์, ๒๕๒๖
สมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิงจังหวัดสุรินทร์. คนดีผ่องศรี ทองหล่อ กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๘
สุพรรณี เหลือบุญชู. สังคีตนิยม. คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สหวิทยาลัยอีสานใต้ สุรินทร์,๒๕๒๙.