ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,826 รายการ

ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           56/6ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                76 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57.7 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


         ภาพดอกไม้สองสไตล์ของ ทวี นันทขว้าง          100 ปี ศิลปสู่สยาม สุนทรีศิลปแห่งนวสมัย          ทวี นันทขว้าง ได้รับการยกย่องให้เป็น “ศิลปินชั้นเยี่ยม” สาขาจิตรกรรม จากการส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ 3 ครั้ง (ครั้งที่ 3 4 และ 7) โดยได้รับประกาศนียบัตรเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง ประเภทจิตรกรรม ทั้ง 3 ครั้งติดต่อกัน ภาพ ‘ดอกบัว’ (ภาพขวา) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ส่งเข้าร่วมการประกวด (พ.ศ. 2499) ได้กลายมาเป็น 1 ในผลงานที่น่าจดจำที่สุดของทวี ภาพนี้ได้รวมเอาเอกลักษณ์สำคัญในงานจิตรกรรมของทวีเข้าไว้ด้วยกัน ทวีมักเขียนภาพหุ่นนิ่ง (Still life) ของดอกไม้ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส แต่กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความหม่นมัวของบรรยากาศภายในภาพแทน ทั้งการจัดวางช่อดอกไม้ในแนวนอนซ้อนกันทาบทับด้วยเงามืด มีแสงตกลงบนวัตถุเพียงเล็กน้อย ประกอบกับการใช้สีโทนเย็น (น้ำเงิน – เทา) จัดบรรยากาศให้ดูมืดสลัวครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ ได้โน้มน้าวให้อารมณ์ของภาพมีความเศร้าหมอง ลึกลับ และดูน่าพิศวงในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ภาพ ‘แจกันดอกไม้’ (ภาพซ้าย) ซึ่งเขียนขึ้นก่อนในปี 2496 กลับมีความแตกต่างกันออกไป ทวีจัดช่อดอกไม้ให้อยู่ในแนวตั้งประจันหน้ากับผู้ชม ใช้สีโทนร้อนแต่งแต้มเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำให้ดอกไม้ดูมีชีวิตชีวามากกว่า โดยเฉพาะสีขาวบนดอกหน้าวัวและส่วนปลายของพรรณไม้ต่างๆ ในแจกันที่จับแสงและจับสายตาผู้ชม รวมถึงฝีแปรงที่ปาดป้ายอย่างสนุกสานไปบนกิ่งก้านของดอกไม้และพื้นหลังโดยรอบ ทำให้ภาพดอกไม้ของทวีทั้งสองภาพให้อารมณ์และความรู้สึกแตกต่างกันออกอย่างสิ้นเชิง (ดูภาพประกอบได้ในคอมเมนต์)          ภาพ ‘แจกันดอกไม้’ และ ‘ดอกบัว’ โดย ทวี นันทขว้าง จัดแสดงอยู่คู่กันในนิทรรศการพิเศษ “100 ปี ศิลปสู่สยาม สุนทรียศิลปแห่งนวสมัย” ระหว่างวันที่ 18 มกราคม – 9 เมษายน 2566 ณ อาคารนิทรรศการ 4 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เปิดให้เข้าชมวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 น. (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)   อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทวี นันทขว้าง ได้ที่ https://www.facebook.com/.../a.242467477.../2469946963136645


ชื่อผู้แต่ง        พรพรรณ  ทองตัน,ผู้แปล ชื่อเรื่อง         บันทึกสัมพันธภาพระหว่างประเทศสยามกับนานาประเทศ เล่ม ๑๕ (๗ ก.ค. ๑๘๕๘ - ๒๘ ธ.ค. ๑๘๕๘) ครั้งที่พิมพ์      - สถานที่พิมพ์   กรุงเทพฯ   สำนักพิมพ์     เอดิสันเพรสโพรดักส์ ปีที่พิมพ์        ๒๕๔๒ จำนวนหน้า    ๑๓๑ หน้า รายละเอียด                  หนังสือและเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ช่วยให้สืบทราบเรื่องราวความเป็นมาในอดีตของชาติไทยได้อย่างขว้างขวาง โดยเฉพาะหนังสือและเอกสารภาษาต่างประเทศที่ผู้เขียนได้จดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ประสบมาด้วยตนเอง นับเป็นข้อมูลชั้นต้นที่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับข้อมูลของฝ่ายไทย เพื่อช่วยสนับสนุนหลักฐานที่มีอยู่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


โบราณสถานสระแก้ว ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี สระแก้วเป็นสระน้ำโบราณที่ขุดลงไปในชั้นศิลาแลงธรรมชาติ โดยขอบสระมีการสลักภาพนูนต่ำ เป็นภาพสัตว์ ประกอบด้วย ช้าง, สิงห์, มกร, งูพันเสา, หมูป่า และภาพบุคคล เป็นต้น เมื่อเปรียบสระแก้วกับสระน้ำอื่นๆ ที่พบบริเวณเมืองศรีมโหสถ สันนิษฐานได้ว่า สระแก้วอาจเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากภาพสัตว์ที่พบนั้นล้วนเป็นสัตว์ที่เป็นมงคล และเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ในสังคมเกษตรกรรมทั้งสิ้น โบราณสถานสระแก้ว ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๔๗๘ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ ต่อมาได้ประกาศกำหนดขอบเขตโบราณสถานมีขอบเขตกว้าง ๒ เส้น ยาว ๓ เส้น เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๔ ตอนที่ ๙๖ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ ผู้เรียบเรียง นางสาวศุภลักษณ์ หมีทอง นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.462/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 160  (174-182) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : สัพกรรมวาจา--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.604/6                    ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 55 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 193  (399-407) ผูก 6 (2566)หัวเรื่อง : อภิธัมมา--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “วันสงกรานต์ 13 เมษายน” วันสงกรานต์ ตรงกับวันที่ 13 เมษายนของทุกปี คำว่า "สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า การเคลื่อนที่ หรือการ เคลื่อนย้าย หมายถึงการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งสู่อีกราศีหนึ่ง คือวันขึ้นปีใหม่นั่นเองตามความหมายในภาษาสันสกฤตสงกรานต์จึงเกิดขึ้นทุกเดือน ส่วนระยะเวลาที่คนไทยเรียก "สงกรานต์” นั้น เป็นช่วงที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ นับว่าเป็นมหาสงกรานต์ เพราะเป็นวันและเวลาตั้งต้นปีใหม่ตามสรุยคติ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ คือ วันที่ 13-14-15 เมษายน โดยเรียกวันที่ 13 เมษายน ว่าวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน เป็นวันเนา วันที่ 15 เมษายน เป็นวันเถลิงศก สมัยก่อนถือวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ตรงกับช่วงหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหาร คนสมัยโบราณจึงคิดทำกิจกรรมเพื่อเป็นการพักผ่อนหลังจากทำงาน และเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบกันและเล่นสาดน้ำกัน เพื่อคลายความร้อนในเดือนเมษายน ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงให้พิธีสงกรานต์นั้นเป็นเทศกาลสงกรานต์ ในพิธีสงกรานต์จะใช้ น้ำ เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นองค์ประกอบหลักของพิธี แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ในวันนี้จะใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ มีการรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ต่อมาในสังคมไทยสมัยใหม่เกิดเป็นประเพณีกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นับว่าวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว อีกทั้งยังมีประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ดั้งเดิม อย่าง การสรงน้ำพระที่นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข การสรงน้ำพระ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ การเล่นสาดน้ำในคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือเยาว์กว่า เป็นความงดงามของประเพณี การสืบทอดจรรโลงประเพณีสงกรานต์จึงน่าจะช่วยกันรักษาคุณค่าทางใจ ความมีน้ำใจ การมีสัมมาคารวะและกตัญญู การช่วยเหลือเกื้อกูลต่อธรรมชาติต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อว่า คนไทยทุกคนรู้จัก "นางสงกรานต์" แต่เราอาจจะยังไม่รู้ว่า นางสงกรานต์ มีที่มาจากไหน โดยตำนานเกี่ยวกับนางสงกรานต์นั้น ได้มีปรากฏในศิลาจารึกที่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ ท่าเตียน โดยย่อว่า เมื่อวันสงกรานต์ตรงกับวันใดในแต่ละปี ก็จะมีนางสงกรานต์ประจำวันนั้นๆ เมื่อวันสงกรานต์ตรงกับวันใดในแต่ละปี ก็จะมีนางสงกรานต์ประจำวันนั้นๆ ตรงกับวันอาทิตย์ จะชื่อ “ทุงษเทวี” ตรงกับจันทร์ ชื่อ “โคราดเทวี” ตรงกับวันอังคาร ชื่อ”รากษสเทวี” ” ตรงกับวันพุธ ชื่อ”มัณฑาเทวี” ตรงกับวันพฤหัสบดีชื่อ “กิริณีเทวี” ตรงกับวันศุกร์ ชื่อ “กิมิทาเทวี” ตรงกับวันเสาร์ ชื่อ”มโหทรเทวี” ธรรมบาลกุมาร เป็นเทพบุตรที่พระอินทร์ประทานให้ลงไปเกิดในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อโตขึ้นก็ได้เรียนรู้ภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เพียง 7 ขวบ จึงได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่คนทั้งหลาย จนวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ โดยถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสียเอง โดยธรรมบาลกุมารได้ขอตอบคำถามใน 7 วัน เมื่อถึงเวลา ท้าวกบิลพรหม ก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ทำให้ท้าวกบิลพรหมแพ้ในการตอบคำถามครั้งนี้ และก่อนจะตัดเศียร ท้าวกบิลพรหม ได้เรียก ธิดาทั้ง 7 องค์ ซึ่งเป็นนางฟ้า ให้เอาพานมารองรับ เนื่องจากเศียรของท้าวกบิลพรหมเป็นที่รวมแห่งความไม่ดีทั้งปวง ถ้าวางไว้บนแผ่นดินไฟจะไหม้โลก ถ้าโยนขึ้นไปบนอากาศฝนจะแล้ง ถ้าทิ้งลงในมหาสมุทรน้ำจะแห้ง ธิดาทั้ง 7 จึงมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันดูแลเศียรของท้าวกบิลพรหม และในทุกๆ ปี ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม แห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ จึงเป็นที่มาของ นางสงกรานต์ โดยแต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์นั่นเอง คติความเชื่อของไทยถือว่าในวันสงกรานต์ถ้าหากได้มีการปล่อยนกปล่อยปลาแล้ว จะเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ และเป็นการสะเดาะเคราะห์ร้าย ให้คงไว้แต่ความสุขความเจริญในวันขึ้นปีใหม่ การปล่อยนกปล่อยปลาที่ทำเป็นพิธีและติดต่อกันทุกๆปี จะเห็นได้ที่ปากลัดที่มีขบวนแห่ที่สวยงาม และเอกเกริกในตอนเย็น ตอนกลางคืนจะมีการละเล่นต่างๆ เช่น การเล่นสะบ้า คนหนุ่มสาวจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน วันที่เกี่ยวข้องกับวันสงกรานต์คือวันตรุษไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ของไทยในสมัยโบราณคู่กับวันสงกรานต์ ที่เรียกว่า “ตรุษสงกรานต์” ตรุษ แปลว่า ยินดี หมายถึงยินดีที่มีชีวิตยั่งยืนจนถึงวันนี้ จึงจัดพิธีแสดงความยินดี โดยการทำบุญ ไม่ให้ประมาทในชีวิต ปกติจะจัด 3 วัน วันแรก คือแรม 14 ค่ำ เป็นวันจ่าย วันกลาง คือแรม 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญ มีการละเล่นจนถึงวันที่ 3 คือขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปัจจุบันนิยมรวบยอดมาทำบุญและเล่นสนุกสนานในวันสงกรานต์ช่วงเดียว วันสงกรานต์ ปี 2566 นางสงกรานต์ ทรงนามว่า "กิมิทาเทวี" ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จนั่งมาเหนือหลังมหิงสา (ควาย) เป็นพาหนะ ปีเถาะ (มนุษย์ผู้หญิง ธาตุไม้) เบญจศก จุลศักราช 1385 ทางจันทรคติ เป็น อธิกมาส ทางสุริยคติ เป็น ปกติสุรทิน วันที่ 14 เม.ย. เป็น วันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันศุกร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 5 เวลา 16 นาฬิกา 01 นาที 02 วินาทีวันที่ 16 เม.ย. เวลา 20 นาฬิกา 12 นาที 24 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น 1385 ปีนี้วันเสาร์ เป็น ธงชัย , วันพุธ เป็น อธิบดี , วันศุกร์ เป็น อุบาทว์ , วันศุกร์ เป็น โลกาวินาศ ปี 2566 นี้ วันจันทร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า นาคให้น้ำ 2 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 6 ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ 9 ส่วน เสีย 1 ส่วน ธัญญาหาร พลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี (ดิน) น้ำงามพอด๊ อ้างอิง : ประชิด สกุณะพัฒน์, อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549. บุญเติม แสงดิษฐ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : พัชรการพิมพ์. 2541. คำทำนาย : จากฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี






         ท้าวขัตตคาม บนรอยพระพุทธบาทวัดเสด็จ          ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐          วัดเสด็จ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร          ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          มุมขอบล่างแผ่นโลหะรูปรอยพระพุทธบาทสลักรูปบุคคลยืนบนแท่น ศีรษะสวมกรัณฑมงกุฎ ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเปิดมองตรง จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนา คางเป็นปม รอบศีรษะมีรัศมี ลำตัวท่อนบนสวมเครื่องประดับ ได้แก่ กรองคอ สังวาล ทับทรวงรูปดอกไม้ พาหุรัด กำไลข้อมือ มือขวาแนบลำตัว มือซ้ายถือพระขรรค์ นุ่งผ้าสั้น สวมกำไลข้อเท้า ยืนอยู่บนฐานสิงห์ เหนือรูปสลักมีข้อความอักษรขอมสุโขทัย ภาษาไทย จารึกว่า “พระขตฺตคาม”          รูปบุคคลดังกล่าวคือ “ท้าวขัตตคาม” เนื่องจากวรรณกรรมของล้านนาเรื่อง “ชินกาลมาลินี” หรือ “ชินกาลมาลีปกรณ์” แต่งโดย พระรัตนปัญญา ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ กล่าวว่าเป็นเทวดาทำหน้าที่ปกปักรักษาเกาะลังกา ร่วมกับเทวดาองค์อื่น ๆ อีก ๓ องค์ ได้แก่ ท้าวสุมนเทวราช ท้าวรามเทวราช และท้าวลักขณเทวราช ดังปรากฏในเนื้อความตอนตำนานพระพุทธสิหิงค์ กล่าวถึงเทวดาอารักษ์ที่รักษาเกาะลังกาว่า “...ยังมีเทวดาทั้ง ๔ พระองค์ คือสุมนะเทวราชพระองค์ ๑ คือท้าวรามราชพระองค์ ๑ ท้าวลักขณราช ๑ ท้าวขัตตะคามราช ๑ แลท้าวทั้ง ๔ พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพเป็นอันมาก พิทักรักษาซึ่งเกาะลังกาเป็นอันดี...”           ขณะที่ “นิทานพระพุทธสิหิงค์” แต่งเป็นภาษาบาลีโดย พระโพธิรังสี ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ กล่าวถึงเทวดา ๔ ตนที่ทำหน้าที่ปกปักรักษา “พระพุทธสิหิงค์” ซึ่งขณะนั้นประดิษฐาน ณ เกาะลังกา ต่างออกไปโดยไม่ปรากฏชื่อท้าวขัตตคาม ดังความว่า “...ทั้งยังมีเทพเจ้า ๔ องค์ คือ สุมนเทพ รามเทพ ลักษณเทพ กามเทพผู้มีฤทธิ์ รักษาพระพุทธรูปนั้นทุกเมื่อ...”          คติเกี่ยวกับเทวดาอารักษ์ของเกาะลังกาในข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าสังคมสุโขทัย รับความเชื่อดังกล่าวเข้ามาพร้อมการรับพุทธศาสนาสายลังกาวงศ์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมสุโขทัยตั้งแต่ช่วงแรกของรัฐสุโขทัย กระทั่งในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ครองราชย์ช่วง พ.ศ. ๑๘๙๐ ถึงประมาณทศวรรษ๑๙๑๐ พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาลังกาวงศ์อย่างมาก มีพระราชกรณียกิจที่สำคัญคือการจำลองรอยพระพุทธบาทตามคติรอยพระพุทธบาทเขาสุมนกูฏเกาะลังกาไว้หลายแห่ง รวมทั้งทรงอาราธนาพระอุทุมพรบุบผามหาสวามีจากเมืองพัน (เมาะตะมะ) เป็นพระอุปัชฌาย์ เสด็จออกผนวชจำพรรษา ณ วัดป่ามะม่วง ซึ่งพระอุทุมพรบุบผามหาสวามี เป็นพระภิกษุที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยที่เกาะลังกา และในเวลาต่อมาพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงส่งพระสงฆ์ที่ศึกษาพุทธศาสนาลังกาสายรามัญนี้ไปยังบ้านเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงส่งพระสุมนเถระขึ้นไปเผยแผ่พุทธศาสนาลังกาวงศ์ในล้านนา ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้ากือนา (ครองราชย์ช่วง พ.ศ. ๑๘๙๘-๑๙๒๘) จนเกิดเป็นนิกายสวนดอกในเวลาต่อมา     อ้างอิง รักชนก โคจรานนท์. การวิเคราะห์ลักษณะและความหมายรอยพระพุทธบาทในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร. กรุงเทพฯ: เฮงศักดิ์มั่นคง, ๒๕๕๙. สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ. พระพุทธสิหิงค์ “จริง” ทุกองค์ไม่มี “ปลอม” แต่ไม่ได้มาจากลังกา. กรุงเทพฯ:มติชน, ๒๕๔๖. สุรพล ดำริห์กุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะสุโขทัย. นนทบุรี: เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


         เนื่องด้วย “วันนวมินทรมหาราช” วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี          ตลอดระยะเวลา 70 ปี พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรม เพื่อให้บ้านเมืองและประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ดังพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”           นับจากวันนั้น พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย ในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ มากมาย นำพาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ สะท้อนออกมาเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ          โบราณสถานที่สำคัญอย่างอุทยานประวัติศาสตร์ และ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ก็เป็นหนึ่งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงมอบให้ จากการที่พระองค์ได้เสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2496 ทรงทอดพระเนตรเห็นความรกร้าง ขาดการดูแล หมู่พระที่นั่งและอาคารต่าง ๆ ล้วนแต่ชำรุดทรุดโทรมทั่วกันตามกาลเวลา เช่น สีหมองมัว มีคราบรา และตะไคร่น้ำขึ้นทั่วไป อาคารบางหลังเหลือเพียงเสาและผนัง หลังคารั่ว ปูนเปื่อยยุ่ยผุกร่อนและอาคารบางหลังพังทลายลงในที่สุด พระองค์จึงมีพระราชดำริให้บูรณปฏิสังขรณ์พระนครคีรีขึ้นให้คงสภาพ          ดังนั้น ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จึงขอนำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 – 2558 ซึ่งเป็นเวลาถึงสามทศวรรษ ผ่านหนังสือ “รอยเสด็จฯ เพชรบุรี”   


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เปิดสำรองที่นั่งล่วงหน้าในการเข้าร่วมกิจกรรม Museum Tour ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของงาน Music and Night at the Museum ครั้งที่ 3 ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 1 - 2 มีนาคม 2567  ขั้นตอนสำรองที่นั่ง Museum Tour 1. เปิดสำรองที่นั่ง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00น. เป็นต้นไป 2. ทัก inbox เพจ Facebook : Songkhla National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา 3. แจ้งจำนวนที่นั่งที่ต้องการสำรอง 4. ลงทะเบียนในแบบฟอร์มเพื่อยืนยัน หมายเหตุ ทักมาแล้ว รอแอดมินตอบกลับ ทักก่อนมีสิทธิ์ก่อน !!!----------------------------------------------------ประสบการณ์ใหม่ในการชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ที่ครบทั้ง “รูป รส กลิ่น เสียง” พบกับ            1. เล่าเรื่องเมืองสงขลาผ่านดวงดาว โดยวิทยากร ธีรนาฎ มีนุ่น ภัณฑารักษ์ชำนาญการ และ ชนาธิป ไชยานุกิจ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา            2. รับชมชุดการแสดง Site Specific Dance ออกแบบการแสดงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรวรรณ โภชนาธาร ประธานสาขาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ            3. เสิร์ฟ Set Box สำรับเสน่ห์สงขลา ที่รังสรรค์วัตถุดิบท้องถิ่นให้โดดเด่น และเฉิดฉาย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ สร้างสรรค์เมนูโดย Lunaray พร้อมตกแต่งด้วยผ้ามัดย้อมบาติกเพ้นท์ ME-D นาทับ            4. ลิ้มรสเครื่องดื่มสร้างสรรค์ "Shining Songkhla" โดย เล่ากาแฟ: Laow Kafae : Specialty Coffee and Creative Cafe             5. รับของที่ระลึก "กลิ่นสงขลา" โดย San.Songkhla                 วันที่ 1-2 มีนาคม 2567 จำนวนวันละ 2 รอบ รอบละ 40 คน (มีค่าใช้จ่าย)                รอบที่ 1 เวลา 18.00น.-19.00 น.                รอบที่ 2 เวลา 19.00น.-20.00 น.


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ขอเชิญชวนทุกท่านไปเก็บภาพความสวยงามและแปลกตาของซุ้มต้นลีลาวดีที่เรียงรายสองข้างโน้มกิ่งโค้งเข้าหากันเป็นอุโมงค์ ด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเชคอิน หรือไฮไลท์เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองน่านต้องมาให้ได้สักครั้ง โดยบรรยากาศในแต่ละฤดูก็จะแตกต่างกันไป ในเดือนมีนาคมนี้ "ซุ้มลีลาวดี" กำลังออกดอกสีชมพูสดใสต้อนรับฤดูร้อน            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เปิดให้บริการทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร) ค่าธรรมเนียม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท เด็ก/นักเรียน/นักศึกษา ผู้สูงอายุ พระภิกษุสงฆ์ และนักบวชทางศาสนา เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ ซุ้มลีลาวดี และพื้นที่ด้านนอกอาคารจัดแสดง เปิดให้บริการทุกวัน เวลา ๐๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม


black ribbon.