ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,783 รายการ
ท้าวขัตตคาม บนรอยพระพุทธบาทวัดเสด็จ
ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐
วัดเสด็จ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
มุมขอบล่างแผ่นโลหะรูปรอยพระพุทธบาทสลักรูปบุคคลยืนบนแท่น ศีรษะสวมกรัณฑมงกุฎ ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเปิดมองตรง จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนา คางเป็นปม รอบศีรษะมีรัศมี ลำตัวท่อนบนสวมเครื่องประดับ ได้แก่ กรองคอ สังวาล ทับทรวงรูปดอกไม้ พาหุรัด กำไลข้อมือ มือขวาแนบลำตัว มือซ้ายถือพระขรรค์ นุ่งผ้าสั้น สวมกำไลข้อเท้า ยืนอยู่บนฐานสิงห์ เหนือรูปสลักมีข้อความอักษรขอมสุโขทัย ภาษาไทย จารึกว่า “พระขตฺตคาม”
รูปบุคคลดังกล่าวคือ “ท้าวขัตตคาม” เนื่องจากวรรณกรรมของล้านนาเรื่อง “ชินกาลมาลินี” หรือ “ชินกาลมาลีปกรณ์” แต่งโดย พระรัตนปัญญา ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ กล่าวว่าเป็นเทวดาทำหน้าที่ปกปักรักษาเกาะลังกา ร่วมกับเทวดาองค์อื่น ๆ อีก ๓ องค์ ได้แก่ ท้าวสุมนเทวราช ท้าวรามเทวราช และท้าวลักขณเทวราช ดังปรากฏในเนื้อความตอนตำนานพระพุทธสิหิงค์ กล่าวถึงเทวดาอารักษ์ที่รักษาเกาะลังกาว่า “...ยังมีเทวดาทั้ง ๔ พระองค์ คือสุมนะเทวราชพระองค์ ๑ คือท้าวรามราชพระองค์ ๑ ท้าวลักขณราช ๑ ท้าวขัตตะคามราช ๑ แลท้าวทั้ง ๔ พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพเป็นอันมาก พิทักรักษาซึ่งเกาะลังกาเป็นอันดี...”
ขณะที่ “นิทานพระพุทธสิหิงค์” แต่งเป็นภาษาบาลีโดย พระโพธิรังสี ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ กล่าวถึงเทวดา ๔ ตนที่ทำหน้าที่ปกปักรักษา “พระพุทธสิหิงค์” ซึ่งขณะนั้นประดิษฐาน ณ เกาะลังกา ต่างออกไปโดยไม่ปรากฏชื่อท้าวขัตตคาม ดังความว่า “...ทั้งยังมีเทพเจ้า ๔ องค์ คือ สุมนเทพ รามเทพ ลักษณเทพ กามเทพผู้มีฤทธิ์ รักษาพระพุทธรูปนั้นทุกเมื่อ...”
คติเกี่ยวกับเทวดาอารักษ์ของเกาะลังกาในข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าสังคมสุโขทัย รับความเชื่อดังกล่าวเข้ามาพร้อมการรับพุทธศาสนาสายลังกาวงศ์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมสุโขทัยตั้งแต่ช่วงแรกของรัฐสุโขทัย กระทั่งในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ครองราชย์ช่วง พ.ศ. ๑๘๙๐ ถึงประมาณทศวรรษ๑๙๑๐ พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาลังกาวงศ์อย่างมาก มีพระราชกรณียกิจที่สำคัญคือการจำลองรอยพระพุทธบาทตามคติรอยพระพุทธบาทเขาสุมนกูฏเกาะลังกาไว้หลายแห่ง รวมทั้งทรงอาราธนาพระอุทุมพรบุบผามหาสวามีจากเมืองพัน (เมาะตะมะ) เป็นพระอุปัชฌาย์ เสด็จออกผนวชจำพรรษา ณ วัดป่ามะม่วง ซึ่งพระอุทุมพรบุบผามหาสวามี เป็นพระภิกษุที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยที่เกาะลังกา และในเวลาต่อมาพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงส่งพระสงฆ์ที่ศึกษาพุทธศาสนาลังกาสายรามัญนี้ไปยังบ้านเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงส่งพระสุมนเถระขึ้นไปเผยแผ่พุทธศาสนาลังกาวงศ์ในล้านนา ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้ากือนา (ครองราชย์ช่วง พ.ศ. ๑๘๙๘-๑๙๒๘) จนเกิดเป็นนิกายสวนดอกในเวลาต่อมา
อ้างอิง
รักชนก โคจรานนท์. การวิเคราะห์ลักษณะและความหมายรอยพระพุทธบาทในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร. กรุงเทพฯ: เฮงศักดิ์มั่นคง, ๒๕๕๙.
สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ. พระพุทธสิหิงค์ “จริง” ทุกองค์ไม่มี “ปลอม” แต่ไม่ได้มาจากลังกา. กรุงเทพฯ:มติชน, ๒๕๔๖.
สุรพล ดำริห์กุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะสุโขทัย. นนทบุรี: เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.
เนื่องด้วย “วันนวมินทรมหาราช” วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี
ตลอดระยะเวลา 70 ปี พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรม เพื่อให้บ้านเมืองและประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ดังพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
นับจากวันนั้น พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย ในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ มากมาย นำพาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ สะท้อนออกมาเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ
โบราณสถานที่สำคัญอย่างอุทยานประวัติศาสตร์ และ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ก็เป็นหนึ่งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงมอบให้ จากการที่พระองค์ได้เสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2496 ทรงทอดพระเนตรเห็นความรกร้าง ขาดการดูแล หมู่พระที่นั่งและอาคารต่าง ๆ ล้วนแต่ชำรุดทรุดโทรมทั่วกันตามกาลเวลา เช่น สีหมองมัว มีคราบรา และตะไคร่น้ำขึ้นทั่วไป อาคารบางหลังเหลือเพียงเสาและผนัง หลังคารั่ว ปูนเปื่อยยุ่ยผุกร่อนและอาคารบางหลังพังทลายลงในที่สุด พระองค์จึงมีพระราชดำริให้บูรณปฏิสังขรณ์พระนครคีรีขึ้นให้คงสภาพ
ดังนั้น ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จึงขอนำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 – 2558 ซึ่งเป็นเวลาถึงสามทศวรรษ ผ่านหนังสือ “รอยเสด็จฯ เพชรบุรี”
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เปิดสำรองที่นั่งล่วงหน้าในการเข้าร่วมกิจกรรม Museum Tour ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของงาน Music and Night at the Museum ครั้งที่ 3 ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 1 - 2 มีนาคม 2567
ขั้นตอนสำรองที่นั่ง Museum Tour
1. เปิดสำรองที่นั่ง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00น. เป็นต้นไป
2. ทัก inbox เพจ Facebook : Songkhla National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา
3. แจ้งจำนวนที่นั่งที่ต้องการสำรอง
4. ลงทะเบียนในแบบฟอร์มเพื่อยืนยัน
หมายเหตุ ทักมาแล้ว รอแอดมินตอบกลับ ทักก่อนมีสิทธิ์ก่อน !!!----------------------------------------------------ประสบการณ์ใหม่ในการชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ที่ครบทั้ง “รูป รส กลิ่น เสียง” พบกับ
1. เล่าเรื่องเมืองสงขลาผ่านดวงดาว โดยวิทยากร ธีรนาฎ มีนุ่น ภัณฑารักษ์ชำนาญการ และ ชนาธิป ไชยานุกิจ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา
2. รับชมชุดการแสดง Site Specific Dance ออกแบบการแสดงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรวรรณ โภชนาธาร ประธานสาขาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
3. เสิร์ฟ Set Box สำรับเสน่ห์สงขลา ที่รังสรรค์วัตถุดิบท้องถิ่นให้โดดเด่น และเฉิดฉาย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ สร้างสรรค์เมนูโดย Lunaray พร้อมตกแต่งด้วยผ้ามัดย้อมบาติกเพ้นท์ ME-D นาทับ
4. ลิ้มรสเครื่องดื่มสร้างสรรค์ "Shining Songkhla" โดย เล่ากาแฟ: Laow Kafae : Specialty Coffee and Creative Cafe
5. รับของที่ระลึก "กลิ่นสงขลา" โดย San.Songkhla
วันที่ 1-2 มีนาคม 2567 จำนวนวันละ 2 รอบ รอบละ 40 คน (มีค่าใช้จ่าย)
รอบที่ 1 เวลา 18.00น.-19.00 น.
รอบที่ 2 เวลา 19.00น.-20.00 น.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ขอเชิญชวนทุกท่านไปเก็บภาพความสวยงามและแปลกตาของซุ้มต้นลีลาวดีที่เรียงรายสองข้างโน้มกิ่งโค้งเข้าหากันเป็นอุโมงค์ ด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเชคอิน หรือไฮไลท์เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองน่านต้องมาให้ได้สักครั้ง โดยบรรยากาศในแต่ละฤดูก็จะแตกต่างกันไป ในเดือนมีนาคมนี้ "ซุ้มลีลาวดี" กำลังออกดอกสีชมพูสดใสต้อนรับฤดูร้อน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เปิดให้บริการทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร) ค่าธรรมเนียม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท เด็ก/นักเรียน/นักศึกษา ผู้สูงอายุ พระภิกษุสงฆ์ และนักบวชทางศาสนา เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ ซุ้มลีลาวดี และพื้นที่ด้านนอกอาคารจัดแสดง เปิดให้บริการทุกวัน เวลา ๐๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม
กรมศิลปากร ขอเชิญชวนร่วมงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช 2567 ระหว่างวันที่ 2- 8 เมษายน 2567 เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พบกับการแสดงแสดงนาฏศิลป์ - ดนตรี และการเสวนาทางวิชาการ “สุดยอดการค้นพบใหม่” ในทศวรรษที่ผ่านมาของกรมศิลปากร (สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟังการเสวนาได้ตามลิ้งนี้ https://www.finearts.go.th/main/view/48102
ภาพเล่าเรื่องบุคคลนั่งชันเข่า
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
- ปูนปั้น และดินเผา
- ขนาด กว้าง ๗๖.๕ ซม. ยาว ๘๐ ซม. หนา ๕ ซม.
เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จาการขุค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ภาพปูนปั้นนี้เป็นรูปบุคคลนั่งหลังตรง หันด้านขวาของลำตัวออก ชันเข่าขวาขึ้น มือขวาประคองสิ่งของคล้ายภาชนะทรงกลมสูงตั้งบนเข่า ที่เบื้องหน้าของบุคคลดังกล่าว มีแท่นสี่เหลี่ยมตกแต่งด้านข้างด้วยลายวงกลมสลับรูปสี่เหลี่ยมฐานเว้า ด้านบนของแท่นมีชายผ้ารูปหางปลาติดอยู่ ถัดไปทางซ้ายของแท่นมีขาของอีกบุคคลหนึ่งในท่าก้าวเดิน อย่างไรก็ตาม ภาพนี้สามารถสะท้อนให้เห้นถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น เช่น ภาชนะทรงกลมมีฝาปิดเป็นรูปกรวยแหลม
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40076
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th
พัดรองที่ระลึกในงานเฉลิมพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ ณ พระราชวังบางปะอิน
ลักษณะ : พัดเปรียญฆราวาสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ พื้นพัดเป็นผ้าตาดทองสีแดง ปักดิ้นทองและไหม ตรงกลางปักลายกลีบบัว ประดับเลื่อมขลิบทองเป็นแนวรัศมีและกระหนกล้อมรอบ ปักขอบปัดเป็นเส้นคั่นและกรอบกระหนก ด้ามไม้คาดกลางทาบตับพัด ตรงกลางทำเป็นปุ่มนูนสองด้าน ยอดพัดเป็นงากลึงรูปหัวเม็ด มีงาแกะสลักลายกระหนกตรงคอพัดรองรับขอบพัดด้านล่าง ปลายเป็นสันงานช้างกลึง มีขนาดเล็กกว่าพัดยศทั่วไป สำหรับฆราวาสที่มีความรู้ความสามารถสอบได้เปรียญ 9 ประโยค รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแด่พระบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ซึ่งนับเป็นพัดพิเศษ
ความสำคัญ : ตาลปัตร หรือพัดหน้านาง ตัวพัดทำจากผ้าพื้นสีแดง ปักลายด้วยดิ้นเลื่อมเป็นริ้ว ด้ามพัดทำจากไม้ ยอดพัดและส้นพัดทำจากงาช้าง สันนิษฐานว่าเป็นพัดเปรียญ 5 ประโยค สำหรับฆราวาส ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์
คำว่า ตาลปัตร หรือ ตาลิปัตร นั้น มาจากคำว่า ตาล หมายถึง ชื่อต้นไม้ประเภทปาล์ม และคำว่า ปัตร หมายถึง ใบ ดังนั้น ตาลปัตร จึงแปลได้ว่า ใบตาล 7 ส่วนราชบัณฑิตยสภาให้ความหมายคำว่า ตาลปัตร หมายถึง พัดทำด้วยใบตาล มีด้ามยาว สำหรับพระภิกษุถือบังหน้าในพิธีกรรมเช่นในเวลาให้ศีล ต่อมาอนุโลมเรียกพัดที่ทำด้วยผ้าหรือไหมซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้นว่า ตาลปัตร หรือตาลิปัตร 8
ธรรมเนียมพระภิกษุถือตาลปัตรในการสวดแสดงธรรม และการถวายพัดยศเป็นเครื่องประกอบสมณศักดิ์ให้แก่พระภิกษุนั้น มีหลักฐานปรากฏว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเผยแพร่ยังดินแดนประเทศไทย เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นอย่างช้า
พัดเปรียญ เป็นพัดที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแก่พระภิกษุสามเณร สันนิษฐานว่ามีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ที่มีการแบ่งสีพัดตามลำดับชั้นนั้นเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้แก่ สีเขียว หมายถึง พัดเปรียญธรรม 3 ประโยค สีน้ำเงิน หมายถึง พัดเปรียญธรรม 4 ประโยค สีแดง หมายถึง พัดเปรียญธรรม 5 ประโยค และสีเหลือง หมายถึง พัดเปรียญธรรมตั้ง 6 ประโยคขึ้นไป 9 นอกจากนี้พัดเปรียญยังพระราชทานแก่
คฤหัสถ์ผู้มีความชำนาญในภาษาบาลีสันสกฤตถึงขั้นเปรียญธรรม ทั้งนี้การพระราชทานพัดเปรียญแก่คฤหัสถ์ มีปรากฏด้วยกัน 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพัดเปรียญ 5 ประโยคให้แก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ผู้ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นบัณฑิตทางอรรถคดีธรรมจารีตในพระพุทธศาสนาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณเจ้า ครั้งที่สองเกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพัดเปรียญเป็นเกียรติยศให้แก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ผู้ซึ่งเถรสมาคมยกย่องว่าเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในภาษาบาลีเทียบเท่าเปรียญธรรม 5 ประโยค
ขนาด : ยาว 97 กว้าง 36
ชนิด : ผ้าแพร ไม้
อายุ/สมัย : รัตนโกสินทร์ พุทธศักราช 2432
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=64875
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sīma stone tradition of the Dvaravati period) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 31 กรกฎาคม 2567 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานี ต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อพุทธศักราช 2535 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ถือเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย ต่อจากนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้รับการประกาศในปีที่ผ่านมา โดยอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกภายใต้คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ได้แก่ การรักษาความเป็นของแท้และดั้งเดิมของแหล่งวัฒนธรรม สีมาหินสมัยทวารวดี และเป็นประจักษ์พยานที่ยอดเยี่ยมของการสืบทอดของวัฒนธรรมดังกล่าวที่ต่อเนื่องอย่างยาวนานกว่าสี่ศตวรรษ โดยเชื่อมโยงเข้ากับประเพณีของวัดฝ่ายอรัญวาสีในเวลาต่อมา จึงขอเชิญชวนให้ชาวไทยทั่วประเทศร่วมแสดงความยินดี และเฉลิมฉลองในโอกาสที่ภูพระบาทได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรมจะพยายามผลักดันให้เกิดแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่อย่างต่อเนื่อง
นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม 2567 เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองการประกาศขึ้นทะเบียน ภูพระบาทเป็นมรดกโลกในครั้งนี้
ภูพระบาท ได้รับการประกาศเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมแบบต่อเนื่อง จำนวน 2 แหล่ง ประกอบด้วย อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และแหล่งวัฒนธรรมสีมา วัดพระพุทธบาทบัวบาน ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกห่างจากอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมสีมาในสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12 - 16) อันโดดเด่นที่สุดของโลก ตามเกณฑ์คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ข้อที่ 3 คือสามารถอนุรักษ์กลุ่มใบเสมาหินสมัยทวารวดีที่มีจำนวนมากและเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยใบเสมาดังกล่าวมีความสมบูรณ์และยังคงตั้งอยู่ในสถานที่ตั้งเดิม แสดงถึงวิวัฒนาการที่ชัดเจนของรูปแบบ และศิลปกรรมที่หลากหลายของใบเสมา ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายกำหนดขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และเกณฑ์ข้อที่ 5 ภูมิทัศน์ของภูพระบาทได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้พื้นที่เพื่อประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และยังคงความสำคัญของกลุ่มใบเสมาหิน โดยความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับประเพณีสงฆ์ในฝ่ายอรัญญวาสี (พระป่า) ภูพระบาทจึงเป็นประจักษ์พยานที่โดดเด่นของการใช้ประโยชน์ของธรรมชาติ เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี ซึ่งได้รับการสืบทอด รักษาวัฒนธรรมดังกล่าวที่ต่อเนื่องยาวนาน เชื่อมโยงประเพณีวัฒนธรรมของอรัญวาสีมาถึงปัจจุบัน
เทศบาลตำบลบางพลีน้อย จ.สมุทรปราการ (เวลา 11.00 น.) จำนวน 80 คน วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๑.๐๐ น. คณะจากกองสวัสดิการสังคม สำนักงานเทศบาลตำบลบางพลีน้อย ต.บางพลีน้อย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ จำนวน ๘๐ คน เข้าศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีนางสาว ณัฏฐกานต์ มิ่งขวัญ ตำแหน่ง เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงาน และว่าที่ร้อยตรีรุ่งเรือง ชื่นชม ตำแหน่ง พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้
เล่ม 15
ชื่อเรื่อง : ตำราขี่ช้าง ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๒ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ : ๒๔๖๕สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากรจำนวนหน้า : ๕๔ หน้าเนื้อหา : หนังสือตำราขี่ช้าง ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๒ แจกในการพระกฐินพระราชทานพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ณ วัดเสนาสนาราม วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ.๒๔๖๕ ประกอบไปด้วยเนื้อหา บานเพนกฉบับหลวงครั้งรัชกาลที่ ๒ ว่าด้วยลักษณะนุ่งผ้า / ว่าด้วยลักษณะเกี้ยวผ้า / ว่าด้วยลักษณะผูกชะนัก / ว่าด้วยลักษณะสอดชะนัก / ว่าด้วยลักษณะที่นั่ง / ว่าด้วยลักษณะถือขอ / ว่าด้วยลักษณะฟันขอ / ว่าด้วยลักษณะแลภาย / ว่าด้วยลักษณะเฉาะ / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างไม่หัด / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างไม่หัด / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างค้ำกลางแปลง / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างน้ำมันค้ำในวงภาด / ว่าด้วยลักษณะช้างน้ำมันไล่ม้าฬ่อแพน / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างน้ำมันไล่คน / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างน้ำมันชนบำรูงา / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างชนฬ่อปลาเชือก / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างที่ไม่ข้ามน้ำ / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างเกียดน้ำ / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างเกียดไม้เกียดโรงเกียดจะลุงเบญภาด / ว่าด้วยลักษณะขี่ช้างกำหรากเหลือลาม / เลขทะเบียนหนังสือหายาก : ๒๒๕๔เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-book_๒๕๖๗_๐๐๑๕หมายเหตุ : โครงการจัดเก็บและอนุรักษ์หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗
สุนทรียะความงามจากผลงานศิลปินแห่งชาติและนานาชาติ สู่การออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ผ่านนิทรรศการ "ภาพบันดาล Art Decoded"
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ สมาคมเพื่อการพัฒนาศิลปะและหัตถศิลป์ไทย (TACDA) จัดนิทรรศการ "ภาพบันดาล Art Decoded" แสดงการถ่ายทอดสุนทรียะจากผลงานของศิลปินแห่งชาติและนานาชาติสู่การต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของที่ระลึก นับเป็นการเปิดมิติสัมผัสใหม่จากเพียงแค่สายตาที่รับรู้ผลงาน ขยายเพิ่มสู่การสัมผัสเป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานศิลปะของศิลปิน รวม 11 ท่าน ได้แก่ ศ. (เกียรติคุณ) ปรีชา เถาทอง, Prof. Emeritus Peter Pilgrim, ศ. (เกียรติคุณ) ปริญญา ตันติสุข, รศ. ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ, สมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์, ศ. สุธี คุณาวิชยานนท์, ชลิต นาคพะวัน, รศ. กันจณา ดำโสภี, ผศ. ชัยพร ระวีศิริ, Konstantin Ikonomidis และ ยุรี เกนสาคู
นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "โครงการวิจัยการจัดนิทรรศการระดับนานาชาติและศึกษาต้นแบบสินค้า ที่ระลึกภายในพิพิธภัณฑ์ เพื่อต่อยอดสู่การจัดนิทรรศการและการจัดทำสินค้าเชิงพาณิชย์ จากฐานทุนวัฒนธรรมของไทย" มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับและส่งเสริมองค์ความรู้ด้านศิลปะในสังคมไทย เกิดการต่อยอดในเชิงพาณิชย์สู่สากล จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 4 - 27 กันยายน 2567 เปิดวันพุธ - อาทิตย์ เวลา 09.00 - 16.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลป์เจ้าฟ้า) ปิดทำการทุกวันจันทร์ - อังคาร
พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 2567 ตั้งแต่ 14.00 น. เป็นต้นไป โดยมีกิจกรรมบรรยายพิเศษโดย Véronique Delignette-Schilling ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้บริหาร (Executive MBA) ด้านการจัดการแฟชั่นระดับโลก French Institute of Fashion (IFM) สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในหัวข้อเรื่อง “การยกระดับผลิตภัณฑ์ของไทยสู่ระดับนานาชาติ”
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 1427 4998 หรือ Facebook page: สมาคมเพื่อการพัฒนาศิลปะและหัตถศิลป์ไทย (TACDA)
ชื่อเรื่อง ปริวารปาลิ (ปริวารปาลิ)อย.บ. 298/13ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 53.4 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคจากวัดประดู่ทรงธรรม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายหวล ชยางคานนท์
หัวเรื่อง หวล ชยางคานนท์
คำบรรยาย จัดพิมพ์เพื่อแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายหวล ชยางคานนท์ "คนดีศรีเมืองจันท์" ณ เมรุวัดใหม่ เมืองจันทบุรี อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2545
แหล่งที่มา ต้นฉบับอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
วันที่ 2545
รูปแบบ PDF
ภาษา ภาษาไทย
รายละเอียด เป็นหนังสือที่ให้ประวัติของนายหวล ชยางคานนท์ คนดีศรีเมืองจันท์ ผู้วายชนม์ นอกจากนี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจของจังหวัดจันทบุรีหลายเรื่อง ได้แก่ เขาสระบาป เขาคิชฌกูฏ อลงกรณ์เจดีย์ วัดมังกรบุปผาราม(เล่งฮัวยี่) วัดเขาวงกต สุนันทาลัย อนุสาวรีย์แห่งความรัก อนุสรณ์หมูดุด อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี
สิทธิ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
ประเภท หนังสือท้องถิ่น
เลขทะเบียน น.45บ.50424จบ(ร)
เลขหมู่ ท 089.95911 อ234