ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,837 รายการ


ชื่อเรื่อง : มโหสธชาดก หัวเรื่อง : พุทธศาสนา -- ชาดก              ชาดก คำค้น : ชาดก            มโหสธ รายละเอียด : พิมพ์เป็นบรรณาการเนื่องในการฌาปนกิจศพนางเหรียญ พงศ์สุพัฒน์ นายสมคิด พงศ์สุพัฒน์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2509 ผู้แต่ง : ชาดก แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักพิมพ์/โรงพิมพ์ : การพิมพ์ไชยวัฒน์ ปีที่พิมพ์ : 2509 วันที่เผยแพร่ : 25 มิถุนายน 2568           ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF. ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : มโหสธชาดก เป็นชาดกหนึ่งในจำนวนชาดกที่พระคันถรจนาจารย์ยกขึ้นสู่สังคีติ  มีจำนวน 550 เรื่องด้วยกัน จัดไว้ในขุททกนิกาย มโหสธเป็นเรื่องที่ 5  ในจำนวน 10 ชาติ ที่แสดงปัญญาบารมีเด่นกว่าบารมีอื่น เลขทะเบียน : น. 68 บ. 79474 จบ. (ร) เลขหมู่ :    ห         294.3184           ช224มห  



ชื่อแบบฉบับ : ตำรายา (ผูก 1ก) ชื่อเรื่อง : ตำรายาแก้เลือด, ลม, ฝี เป็นต้น (ผูก 1ก) เลขทะเบียน : ชม.บ.3917/1ก ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ                        ผู้สร้าง : ไม่ปรากฏ                   ปีที่สร้าง : ไม่ปรากฏ จำนวน : 1 คัมภีร์  10 ผูก  (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก 1, 1ก-1ฌ)         จำนวนบรรทัด : 5 บรรทัด             จำนวนหน้า : 94 หน้า อักษร : ไทย                               ภาษา : ไทย                           เส้น : จาร ฉบับ : ลานดิบ                            ไม้ประกับ : ไม่มี                      ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน            ประวัติ : ได้มาจากวัดสันผักแค  ต.ม่วงคำ  อ.พาน จ.เชียงราย  เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2531 โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่  ปี พ.ศ. 2568               



เลขทะเบียน  นม.บ.19/6ก


        พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ชวนกันมาออกแบบพวงกุญแจและแม่เหล็กสุดเก๋ จากแผ่นพลาสติกหดในรูปแบบของตัวเอง! ในงานวันศิลป์ พีระศรี ปีนี้ มาร่วมสนุกใน WORKSHOP Shrink Plastic Keychains & Magnets วันที่ 15 กันยายน 2568 กิจกรรมแบ่งเป็น 2 รอบ ได้แก่  รอบ 1 เวลา 10.00 - 11.00 น. (จำนวนจำกัด 20 ท่าน) รอบ 2 เวลา 11.00 - 12.00 น. (จำนวนจำกัด 20 ท่าน) ลงทะเบียนหน้างาน ฟรี! _______________________________________ Silpa Bhirasri Day – Join us for a fun WORKSHOP: Shrink Plastic Keychains & Magnets  Create your own unique keychains and magnets from shrink plastic sheets! 15 September | 10:00–12:00 The National Gallery of Thailand The workshop is divided into 2 rounds: Round 1: 10:00–11:00 AM (Limited to 20 participants) Round 2: 11:00 AM–12:00 PM (Limited to 20 participants) On-site registration available – Free!





  หมวดที่ ๓ การขออนุญาตพิมพ์หนังสือจำหน่าย ๑๙. หนังสือและเอกสารซึ่งกรมศิลปากรมีลิขสิทธิ์อยู่ หรือได้รับมอบอำนาจให้ดำเนิการเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ หรือหนังสือวิชาการที่หน่วยงานต่าง ๆ ในกรมศิลปากรค้นคว้าเรียบเรียงขึ้น ตามสาขางานที่หน่วยงาน นั้นๆ เกี่ยวข้องรับผิดชอบดำเนินการอยู่ ผู้ใดจะขออนุญาตพิมพ์จำหน่ายเพื่อประโยชน์ในการค้า กรมศิลปากรยินดีอนุญาตให้พิมพ์ได้ เว้นไว้แต่หนังสือและเอกสารที่ควรสงวนไว้เป็นความลับ ไม่ควรนำออกตีพิมพ์เผยแพร่ในปัจจุบัน หรือหนังสือที่กรมศิลปากรมีโครงการดำเนินงานอย่างอื่นไว้แล้ว ให้ผู้ขออนุญาตพิมพ์จำหน่ายทำหนังสือพร้อมแจ้งจำนวนพิมพ์ถึงผู้อำนวยการหรือหัวหน้ากองที่รับผิดชอบ ซึ่งจะนำเสนออธิบดีกรมศิลปากรเพื่ออนุญาต เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ผู้ขออนุญาตต้องทำสัญญา ไว้กับกรมศิลปากร แล้วจึงรับต้นฉบับไปจัดพิมพ์จำหน่ายได้ ถ้าผู้ขออนุญาตไม่มาทำสัญญากับกรมศิลปากร และมิได้แจ้งข้อขัดข้องให้ทราบภายใน ๓๐ วัน หลังจากวันที่ได้รับอนุญาต ถือว่าสละสิทธิ์ กรมศิลปากรอาจจะอนุญาตให้ผู้อื่นจัดพิมพ์จำหน่ายต่อไปได้ การอนุญาตให้พิมพ์จำหน่าย หมายความว่า อนุญาตเพียงครั้งเดียว ตามจำนวนที่ระบุไว้ในหนังสืออนุญาต และสัญญาถ้าจะพิมพ์ขึ้นใหม่ ต้องได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรทุกคราวไป ๒๐. หนังสือที่กรมศิลปากรอนุญาต ให้พิมพ์จำหน่าย ต้องมีคำนำเป็นหลักฐานในการอนุญาต ซึ่งผู้ขออนุญาตต้องตีพิมพ์ไว้เป็นเบื้องต้นของหนังสือ ๒๑. ผู้ขออนุญาตพิมพ์จำหน่าย ต้องขออนุญาตพิมพ์ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ เล่ม และต้องจ่าย ผลประโยชน์ให้กรมศิลปากร ดังนี้ ก. ถ้าขออนุญาตพิมพ์หนังสือ ๓,๐๐๐ เล่ม ให้จ่ายหนังสือ ๑๐๐ เล่ม และจ่ายเงินร้อยละ ๑๐ ของราคาบนปก คูณด้วยจำนวนเล่มหนังสือที่พิมพ์ ข. ถ้าขออนุญาตพิมพ์ ๔,๐๐๐ เล่ม ให้จ่ายหนังสือ ๑๐๐ เล่ม และจ่ายเงินร้อยละ ๘ ของราคาบนปก คูณด้วยจำนวนเล่มหนังสือที่พิมพ์ ค. ถ้าขออนุญาตพิมพ์หนังสือ ๕,๐๐๐ เล่ม ให้จ่ายหนังสือ ๑๐๐ เล่ม และจ่ายเงินร้อยละ ๗ ของราคาบนปก คูณด้วยจำนวนเล่มหนังสือที่พิมพ์ ง. ถ้าขออนุญาตพิมพ์หนังสือ ๖,๐๐๐ เล่ม ให้จ่ายหนังสือ ๑๐๐ เล่ม และจ่ายเงินร้อยละ ๖ ของราคาบนปก คูณด้วยจำนวนเล่มหนังสือที่พิมพ์ จ. ถ้าขออนุญาตพิมพ์หนังสือ ๑๐,๐๐๐ เล่ม ให้จ่ายหนังสือ ๑๐๐ เล่ม และจ่ายเงินร้อยละ ๗ ของราคาบนปก คูณด้วยจำนวนเล่มที่พิมพ์ ๒๒. และกรมศิลปากรจะสงวนระยะเวลาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพิมพ์หนังสือ เรื่องเดียวกันนั้นออกจำหน่ายอีก ภายในระยะเวลาดังนี้ ก. ถ้าขออนุญาตพิมพ์ครั้งละ ๖,๐๐๐ เล่มขึ้นไป จะสงวนระยะเวลาไว้ ๑ ปี ข. ถ้าขออนุญาตพิมพ์ครั้งละ ๑๐,๐๐๐ เล่มขึ้นไป จะสงวนระยะเวลาไว้ ๒ ปี ทั้งนี้นับแต่ วันที่ลงนามในข้อตกลงหรือสัญญากับกรมศิลปากร ๒๓. ให้ผู้ขออนุญาตพิมพ์หนังสือจำหน่าย จ่ายเงินผลประโยชน์ให้แก่กรม ศิลปากรในวันที่ทำสัญญา ๒๔. ห้ามผู้ขออนุญาตพิมพ์หนังสือจำหน่ายตีพิมพ์ข้อความอื่นต่อเติม จากต้นฉบับของกรมศิลปากร และจะต้องส่งใบพิสูจน์อักษรให้เจ้าหน้าที่ของกรม ศิลปากรผู้รับผิดชอบตรวจแก้และสิ่งตีพิมพ์ทั้งหมด ถ้าปรากฏว่าตอนใดเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่ได้ตรวจหรือตรวจแก้แล้ว แต่ยังไม่ได้สั่งตีพิมพ์ ผู้ขออนุญาตพิมพ์นำไปพิมพ์เองโดยพลการ ถ้ามีข้อความผิดตกบกพร่องมาก กรมศิลปากรจะ ไม่ยอมให้วางจำหน่ายจนกว่า จะได้มีการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ๒๕. ผู้ขออนุญาตพิมพ์จำหน่าย ต้องนำแบบปกไปให้ผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากองหรือผู้แทนที่รับผิดชอบ ในการจัดพิมพ์หนังสือนั้น ตรวจพิจารณาเห็นชอบ และอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน จึงจะตีพิมพ์ได้ ถ้าผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากอง หรือผู้แทนรับผิดชอบในการจัดพิมพ์ ไม่เห็นชอบกับลวดลายหรือสี หรือข้อความบนปกที่ผู้ขออนุญาตออกแบบมา จะให้ แก้ไขใหม่ตามที่เห็นสมควรก็ได้ ๒๖. ข้อขัดแย้งต่าง ๆ อันอาจเกิดขึ้นระหว่าง ผู้ขออนุญาตจัดพิมพ์จำหน่ายกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ในการจัดพิมพ์ ให้นำเสนออธิบดีกรมศิลปากรเป็น ผู้พิจาณาชี้ขาด ๒๗. ให้ผู้อำนวยการกอง หรือหัวหน้ากองที่เป็นผู้จัดให้ทำต้นฉบับหนังสือ หรือเอกสาร หรือได้รับ มอบอำนาจให้อนุญาตลิขสิทธิ์พิมพ์จำหน่าย เป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ ระเบียบนี้ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒ เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑         การอ่านออกเสียงลายเส้นลายมือนี้หรือสาระ  



วันอังคารที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา จัดโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรม ตาม พรบ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ เรื่อง การทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ณ ห้องประชุม สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา และศึกษาดูงานโบราณสถานเมืองพิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา


        สุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเป็นมายาวนาน จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ข้อมูลในพงศาวดาร  เรื่องเล่าตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา  เป็นที่อยู่ของชนหลายเผ่าพันธุ์ทั้ง ไทย  เขมร ลาว กวยหรือกูย  ทำให้มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย             ตัวเมืองเมืองสุรินทร์   พื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์มีมนุษย์เข้ามาตั้งชุมชนแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย  ลักษณะชุมชนเป็นเนินดินมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ  ขนาดกว้างประมาณ  1,000  เมตร  ยาวประมาณ  1,300  เมตร   เป็นลักษณะเฉพาะของแผนผังเมืองโบราณตั้งแต่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นซึ่งพบทั่วไปในเขตภาคอีสานตอนล่าง กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมืองสุรินทร์ในราชกิจจานุเบกษา  เล่มที่  95  ตอนที่  98  ลงวันที่  19  กันยายน  2521            จากการสำรวจของหน่วยศิลปากรที่  6   ในปี พ.ศ. 2534  พบว่าตัวเมืองยังมีสภาพที่สมบูรณ์เห็นแนวคูน้ำ-คันดินแบ่งออกเป็น  2  ชั้น  คือ  เมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก           เมืองชั้นใน  มีลักษณะเป็นรูปวงรีแบบสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น  มีขนาดกว้างประมาณ  1,000  เมตร  ยาวประมาณ  1,300  เมตร  สภาพคูเมืองค่อนข้างสมบูรณ์  มีบางส่วนเท่านั้นที่ขาดหายไป   เมืองชั้นนอก  มีลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชุมชนขอมโบราณ มีคูน้ำ  2  ชั้น  คันดิน  1  ชั้นล้อมรอบ  ขนาดกว้าง  1,500  เมตร  ยาว  2,500  เมตร  สภาพคูเมืองค่อนข้างสมบูรณ์   ยกเว้นด้านทิศใต้           จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น  จะเห็นได้ว่า  ตัวเมืองสุรินทร์ในปัจจุบันนี้  เคยเป็นบ้านเมืองมาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณกาล  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองสุรินทร์ในอดีต  ตลอดจนถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์ได้เป็นอย่างดี  ดังนั้น  จึงเป็นหน้าที่อย่างสำคัญที่คนสุรินทร์ในปัจจุบันจะช่วยกันรักษามรดกอันทรงคุณค่าชิ้นนี้ไว้ตราบชั่วลูกหลาน  ด้วยการไม่บุกรุกทำลายคูน้ำคันดินของเมืองโบราณสุรินทร์    สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดสุรินทร์    จากการศึกษาวิจัยการและสำรวจพบแหล่งโบราณคดีในจังหวัดสุรินทร์  กว่า 59 แห่ง ส่วนมากเป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำ-คันดินล้อมรอบ ได้แก่    แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสวรรค์ ตำบลนาหนองไผ่ อำเภอชุมพลบุรี  หมู่บ้านเป็นเนินสูงเกือบ 3 เมตร  พบโบราณวัตถุได้แก่ เศษภาชนะดินเผาแบบต่างๆ รวมทั้งภาชนะเคลือบสีน้ำตาลแบบขอม และพบภาชนะที่ใช้บรรจุมีลักษณะเป็นภาชนะก้นมนขนาดใหญ่ ที่ใช้ในการฝังศพครั้งที่สองของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ที่มีอายุอยู่ในราว 2,000-1,500 ปี มาแล้ว พบมากไปตลอดลุ่มแม่น้ำมูลตอนกลางแถบจังหวัดบุรีรัมย์  สุรินทร์  มหาสารคาม  ร้อยเอ็ด เป็นลักษณะของกลุ่มวัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้   ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์    แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท ตำบลปราสาททนง อำเภอปราสาท แหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของปราสาททนง เป็นโบราณสถานขอมชึ่งกรมศิลปากรมีโครงการขุดแต่ง ในปี พ.ศ.2536 และได้ขุดตรวจชั้นดินทางด้านหลังของโบราณสถาน พบหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นถึงการอยุ่อาศัยของมนุษย์มาก่อนจะสร้างปราสาท คือ โครงกระดูกมนุษย์เพศชาย อายุประมาณ 35- 40 ปี ปัจจุบันได้นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์   นอกจากแหล่งโบราณคดีทั้งสองแหล่งนี้แล้ว ยังไม่มีการขุดค้นตามหลักวิชาการในอีกกว่า 50 แห่ง อาศัยเพียงเทียบเคียงค่าอายุกับแหล่งอื่น ๆ พอสรุปได้ว่ามีอายุอยู่ในราว 2,000-1,500 ปีมาแล้ว     สมัยประวัติศาสตร์ในจังหวัดสุรินทร์             ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบหลักฐานชุมชนสมัยทวารวดีทั้งภูมิภาค  เมืองโบราณที่สำคัญ เช่น เมืองฟ้าแดดสงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์  เมืองนครจำปาศรี อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม เมืองกันทรวิชัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เมืองโบราณบ้านคอนสวรรค์ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมทวารวดี นั่นคือ การนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งก่อให้เกิดงานศิลปกรรมที่เนื่องในศาสนา  ตามเมืองหรือชุมชนโบราณสมัยทวารวดีจะพบว่ามีการสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือ รูปเคารพในศาสนาพุทธขึ้น ได้แก่ พระพุทธรูป พระพิมพ์ ใบเสมา เป็นต้น   แหล่งวัฒนธรรมทวารวดีในสุรินทร์             วัฒนธรรมทวารวดี  ประมาณพุทธศตวรรษที่  12-16 หรือราว 1,000-1,400  ปีมาแล้ว    ในภาคอีสานตอนล่าง   ชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดี มีอายุเดียวกับชุมชน ในจังหวัดต่างๆ บริเวณลุ่มแม่น้ำมูล เช่น เมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เมืองโบราณบ้านฝ้าย อำเภอหนองหงส์ เมืองโบราณบ้านประเคียบ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เมืองคงโคก อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ชุมชนโบราณบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ( กรมศิลปากร, 2532 : 114 - 116 ) เป็นต้น             ลักษณะชุมชนวัฒนธรรมทวารวดีที่พบในจังหวัดสุรินทร์มักจะมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีโบราณวัตถุเนื่องในพุทธศาสนา เช่น ใบเสมา พระพุทธรูป  พระพิมพ์ เป็นต้น           ชุมชนโบราณบ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ บริเวณบ้านตรึม มีลักษณะเป็นชุมชนที่มีคูน้ำล้อมรอบ ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน มีหนองน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า หนองสิม  ภายในวัดตรึม  เป็นเนินดินมีใบเสมาปักอยู่ 16 ใบ  ลักษณะเป็นแบบแผ่นรูปกลีบบัว ทำด้วยศิลาแลงและหินบะชอลต์ ใบเสมาทุกใบจะมีลักษณะของการตกแต่งที่เหมือนกัน นั่นคือ แกะสลักเป็นรูปหม้อน้ำ อยู่ตรงกลางใบทั้งสองด้าน ยอดเป็นกรวยแหลมบรรจบกับส่วนบนของใบเสมาพอดี ขอบใบเสมาแกะเป็นเส้นตรงโค้งไปตามขอบ ทำให้ดูเหมือนว่าผิวหน้าทั้งสองด้านของใบเสมายื่นออกมา  ปัจจุบันทางวัดได้สร้างอาคารคลุมใบเสมาและเนินดินไว้           ชุมชนโบราณบ้านไพรขลา ตำบลไพรขลา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์  เป็นชุมชนที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ พบใบเสมา  ที่โนนสิมมาใหญ่ และโนนสิมมาน้อย             โนนสิมมาใหญ่             อยู่ภายในหมู่บ้านทางทิศใต้  มีกลุ่มใบเสมาจำนวนมาก  ปักอยู่ในตำแหน่งทิศทั้งแปดบางส่วนถูกเคลื่อนย้าย   มาเก็บรวมกันไว้ในอาคารขนาดเล็ก ใบเสมาทั้งหมดทำจากศิลาแลง เป็นแผ่นรูปกลีบบัว ตรงกลางใบเป็นรูปหม้อน้ำมียอดเป็นรูปกรวยแหลม  หรือเป็นสันขึ้นมาทั้งสองด้าน ลักษณะการตกแต่งเหมือนกับใบเสมาที่บ้านตรึม             โนนสิมมาน้อย             อยู่ทางทิศตะวันตกภายในหมู่บ้าน  บริเวณนี้พบใบเสมาจำนวนเล็กน้อยอยู่รวมกันเพียงจุดเดียว  ใบเสมาบางใบน่าจะปักอยู่ในตำแหน่งเดิม  โดยมีการย้ายใบเสมาใบอื่น ๆ มาวางรวมกันไว้  ลักษณะของใบเสมาเหมือนกับใบเสมาที่โนนสิมมาใหญ่  เป็นใบเสมาแบบแผ่นรูปกลีบบัว ตรงกลางใบทำเป็นสันทั้งสองด้าน ทั้งหมดทำจากศิลาแลง             ใบเสมาที่พบสันนิษฐานว่าปักไว้เพื่อกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์  เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในสมัยนั้น   วัฒนธรรมขอมโบราณในสุรินทร์             จังหวัดสุรินทร์ด้านทิศใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา  มีเทือกเขาพนมดงรักกั้นเขตแดน   มีการเดินทางติดต่อกันมาแต่โบราณผ่านทางช่องเขา เช่น ช่องจอม อ.กาบเชิง ช่องตาเมือน อ.พนมดงรัก เป็นต้น  ทำให้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันมาตลอด  โดยเฉพาะในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-18   โดยศึกษาจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบดังนี้              ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 12 – 13 ตรงกับรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอมโบราณ    จังหวัดสุรินทร์มีการสร้างปราสาทภูมิโพน ที่ ต.ดม อ.สังขะ เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ในศาสนาฮินดูศิลปะขอมโบราณสมัยไพรกเมง (สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ,2532)ประกอบด้วยปราสาทอิฐ  3 หลัง และฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลง 1 หลัง    พบชิ้นส่วนจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต   1 ชิ้น  ซึ่งมีใช้ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13  ทับหลังรูปสัตว์ครึ่งสิงห์ครึ่งนก ประกอบวงโค้งที่มีวงกลมรูปไข่  ศิลปะขอมโบราณแบบไพรกเมง จำนวน 1 แผ่น               บริเวณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากปราสาท  500 เมตร มีหนองปรือซึ่งเป็นบารายขนาดใหญ่ แบบวัฒนธรรมขอมโบราณ  รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 300X500 เมตร อยู่ 1 แห่ง             ราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 15 (ประมาณ 1,100 ปีมาแล้ว) ในเขตจังหวัดสุรินทร์  มีชุมชนวัฒนธรรมเขมรโบราณที่สำคัญอีก 2 แห่ง   คือ ชุมชนปราสาทหมื่นชัย บ้านถนน และชุมชนปราสาทบ้านจารย์  ต.บ้านจารย์  อ.สังขะ                ปราสาทบ้านจารย์  เป็นปราสาทศิลปะขอมโบราณสมัยเกาะแกร์ ราวกลาง-ปลายพุทธศตวรรษที่ 15  เป็นปราสาทองค์เดียว ก่อด้วยอิฐ มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ  ปัจจุบันตัวปราสาทมีสภาพหักพังเหลือเพียงส่วนเรือนธาตุ  บนตัวปราสาทมีทับหลังขนาดใหญ่สลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ                      ปราสาทหมื่นชัย  เป็นปราสาทองค์เดียว ก่อด้วยอิฐ มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ  ปัจจุบันตัวปราสาทมีสภาพหักพังเหลือเพียงส่วนเรือนธาตุ           ปราสาทตาเมือนธม  บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์    เป็นปราสาทขนาดใหญ่ ก่อด้วยหินทราย และศิลาแลง             ปราสาททนง  บ้านปราสาท ต.ปราสาททนง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐ หินทราย และศิลาแลง  ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วยสองส่วน  คือ พลับพลาและปราสาทประธาน             ปราสาทบ้านไพล  บ้านปราสาท ต.เชื้อเพลิง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์  เป็นปราสาทอิฐ 3 องค์ มีขนาดเท่ากันตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  มีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ             ต่อมาในช่วงอารยธรรมขอมในประเทศกัมพูชาได้เจริญถึงขีดสุดราวพุทธศตวรรษที่  16 – 18 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย  พบปราสาทหินและเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบขอม  เป็นจำนวนมาก ได้แก่ เมืองพิมาย อันมีปราสาทพิมายเป็นศูนย์กลางของเมือง  ตัวเมืองมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่  เป็นต้น  ช่วงระยะเวลานี้มีหลักฐานว่าเมืองสุรินทร์ได้รับอิทธิพลอารยธรรมของขอมโบราณอย่างมากเช่นกัน มีการปรับแผนผังเมืองให้ใหญ่ขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบขอมโบราณมีคูน้ำ  2  ชั้น  คันดิน  1  ชั้น  ล้อมรอบ  ขนาดกว้าง  1,500  เมตร  ยาว  2,500  เมตร  ล้อมรอบตัวเมืองเดิมรูปวงรีในสมัยก่อนหน้านั้นไว้ภายในอีกชั้นหนึ่ง ส่วนพื้นที่อำเภอต่างๆ พบปราสาทขอมโบราณอีกหลายแห่ง            ในช่วงหลังของพุทธศตวรรษที่ 18 อารยธรรมขอมโบราณเสื่อมลง  เมืองสุรินทร์น่าจะเป็นบ้านเมืองสืบมาจนถึงในราวสมัยอยุธยาตอนปลายราวต้นพุทธศตวรรษที่  24  สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์  พระมหากษัตริย์ แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา  โปรดเกล้าฯ ให้ยกชุมชนหลายแห่งในจังหวัดสุรินทร์เป็นเมือง  ตัวเมืองสุรินทร์ในขณะนั้นเรียกว่า  “ บ้านคูประทายสมัน “  จึงโปรดให้ยกขึ้นเป็นเมืองคูประทายสมัน มีพระสุรินทร์ภักดีเป็นเจ้าเมือง  ทำราชการขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย            สมัยกรุงธนบุรี  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  โปรดเกล้าฯ ยกฐานะเจ้าเมืองคูประทายสมันขึ้นเป็นพระยา นามว่า พระยาสุรินทร์ภักดี ปกครองเมืองคูประทายสมัน ขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย           สมัยรัตนโกสินทร์  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  โปรดเกล้าฯ ให้เมืองในบริเวณนี้หลายเมือง ได้แก่ เมืองคูประทายสมัน เมืองขุขันธ์  และเมืองสังฆะ อันเป็นเมืองที่มีความชอบในราชการสงคราม  ทำราชการขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ พร้อมกับโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองคูประทายสมัน  เป็นเมืองสุรินทร์  ตามชื่อเจ้าเมืองในคราวเดียวกัน ต่อมาเปลี่ยนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปกครองสืบต่อมาถึงปัจจุบัน


  ขอเชิญชมการแสดงโขนชุด ขับพิเภก-สวามิภักดิ์-ยกรบ ในงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกรมศิลปากร ณ วัดมหาธาตุ ยโสธร  


black ribbon.