ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,827 รายการ


พระบารมีปกเกล้าฯชาวอุบลฯ ๓ ตามรอยเสด็จเมืองอุบล ครั้งที่ ๒ เมื่อวันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ เวลา ๐๘.๓๕ น. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี จากที่ประทับแรมเขื่อนน้ำอูน ไปทรงเยี่ยมราษฎร ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครรักษาแผ่นดินในเขตพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและนครพนม เวลา ๑๑.๐๐ น. เสด็จฯ ถึงสนามหญ้าโรงเรียนบ้านนาแวง ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี แล้วเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังกองบังคับการกองร้อยทหารราบที่ ๖๐๑๑ ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานถุงของขวัญ เวชภัณฑ์ และพระเครื่องแก่ผู้แทนหน่วยทหาร หน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขง หน่วยตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยอาสาสมัครรักษาแผ่นดิน และครูโรงเรียนบ้านนาแวง ต่อจากนั้น พันตรีดำรง ทัศนศร รองผู้บังคับศูนย์เฝ้าตรวจชายแดน ๓๐๓ กราบบังคมทูลถวายบรรยายสรุปสถานการณ์ เสร็จแล้วพระราชดำเนินทอดพระเนตรที่พักทหาร และทอดพระเนตรการติดต่อรอบกองบัญชาการฯ ตลอดจนมีพระราชปฏิสันถารกับผู้แทนหน่วยต่าง ๆ โดยทั่วถึง แล้วจึงเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งต่อไปยังวัดโขงเจียมปุราณวาส เวลา ๑๒.๐๐ น. เสด็จถึงวัดโขงเจียมปุราณวาส ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ เสด็จขึ้นศาลาการเปรียญ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และมีพระราชดำรัสกับพระราชาคณะ และเจ้าอาวาสถึงความเป็นอยู่ของราษฎร ตลอดพระราชทานเวชภัณฑ์สำหรับพระภิกษุได้ใช้ร่วมกับราษฎร เสร็จแล้วเสด็จลงเพื่อทรงเยี่ยมราษฎรที่มาเฝ้าฯ อยู่อย่างล้นหลาม ได้มีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรเหล่านั้นถึงสถานการณ์ตามชายแดนและความเป็นอยู่โดยทั่วไป แล้วจึงเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปยังโรงเรียนบ้านนาแวง ทรงเยี่ยมลูกเสือชาวบ้านจากจังหวัดอุบลราชธานีที่มาเฝ้าฯ ก่อนประทับเสวยพระกระยาหารกลางวัน ครั้นทรงพักผ่อนพระราชอิริยาบถตามพระราชอัธยาศัยแล้ว จึงเสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลและภาพถ่ายตามรอยเสด็จฯจังหวัดอุบลราชธานี อ.ปัญญา แพงเหล่า


พระมนเทียรถ้าเทิด แถวถงัน ขวาสุทธาสวรรย์พรรณ เพริศแพร้ว ซ้ายจันทรพิศาลวรรณ เวจมาศ พรายแพร่งสุริยแล้ว ส่องสู้แสงจันทร์ โครงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, หลวงศรีมโหสถ ....................................................................................           พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นหนึ่งในพระที่นั่งองค์สำคัญภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์และข้าราชบริพารฝ่ายใน สร้างขึ้นในคราวเดียวกับการสร้างพระราชวังเมืองละโว้ ราว พ.ศ.2209 ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงการสร้างรวมถึงการพระราชทานนามของพระที่นั่งองค์นี้ในพงศาวดารความว่า   “...จึงสมเด็จบรมบาทพระนารายณ์ราชบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชดำรัสสั่งช่างพนักงานจับการก่อพระมหาปราสาทสองพระองค์ ครั้นเสด็จแล้วก็พระราชทานนามบัญญัติชื่อพระที่นั่งสุทธาสวรรย์องค์หนึ่ง พระที่นั่งธัญญมหาปราสาทองค์หนึ่ง...”             ซึ่งสอดคล้องกับโครงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประพันธ์โดยหลวงศรีมโหสถ กวีร่วมสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่กล่าวถึงพระที่นั่งต่าง ๆ ภายในพระราชวังเมืองละโว้ โดยได้พรรณนาถึงพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทที่ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยพระที่นั่งจันทรพิศาล และพระที่นั่งสุทธาสวรรย์  ชื่อ “พระที่นั่งสุทธาสวรรย์” จึงเป็นชื่อเดิมของพระที่นั่งองค์นี้ที่ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาตั้งแต่ครั้งแรกสร้าง           ข้อมูลจากหลักฐานทั้งพงศาวดารและบันทึกของชาวต่างชาติต่างระบุไว้ในทำนองเดียวกันคือ พระองค์ทรงโปรดที่จะประทับ ณ เมืองลพบุรี มากกว่าที่พระนครศรีอยุธยา   “...เมืองละโว้เป็นที่ประทับในชนบทของพระนารายณ์มหาราช ตามปกติประทับอยู่ที่เมืองนั้นเป็นนิตย์ เสด็จไปพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณเจ็ดร้อยเส้นนานๆ ครั้งหนึ่งและเมื่อมีงานพระราชพิธี...” – จดหมายเหตุฟอร์บัง (เชวาลอเอร์ เดอะ ฟอร์บัง)   “...พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทรงโปรดปรานเมืองนี้มาก ประทับที่อยู่ที่นั่นเกือบตลอดปี และทรงเอาพระทัยใส่สร้างให้สวยงามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทรงตั้งพระทัยจะขยายอาณาบริเวณออกไปอีก...” – นิโกลาส์ แชร์แวส   “...และพระองค์เสด็จอยู่ ณ เมืองลพบุรีในเหมันตฤดู และคิมหันตฤดู และเสด็จลงมาอยู่ ณ กรุงเทพมหานครแต่เทศกาลวสันตฤดู...” “...ขณะนั้นสมเด็จบรมบพิตรพระนารายณ์เป็นเจ้า ทรงพระนามปรากฏว่า #สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมืองลพบุรี เหตุว่าพระองค์เสด็จขึ้นไปเสวยราชสมบัติเมืองลพบุรี...” - พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา             จึงอาจกล่าวได้ว่านอกจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะเป็นพระที่นั่งที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ยังเป็นพระที่นั่งที่พระองค์เสด็จมาประทับมากที่สุดตลอดรัชกาลของพระองค์           สำหรับเขตพระราชฐานชั้นในแบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือบริเวณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อนุญาตให้เฉพาะเหล่ามหาดเล็กในพระองค์ กับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเข้าเฝ้าเท่านั้น และส่วนที่สองเป็นที่อยู่ของเหล่าสนมกำนัล โดยมีที่พักอาศัยงดงามเป็นตึกแถว ยาวขนานไปกับพระตำหนักที่ประทับของพระองค์ การเข้า-ออกบริเวณนี้ทำได้ยากมาก แม้กระทั่งพระราชโอรสก็ไม่อนุญาตให้เข้ามีแต่พวกขันทีเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปถวายการปรนนิบัติได้           ในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ประชวรอย่างหนักจนมิอาจว่าราชการได้ จึงโปรดให้พระเพทราชาออกว่าราชการแทนพระองค์ ขณะที่ทรงพระประชวรได้ประทับ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ก่อนการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น คือเหตุการณ์การรัฐประหารของพระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ คือการจับกุมตัวพระปีย์ผู้เปรียบเสมือนพระโอรสบุญธรรม และเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยปรากฏข้อความในพงศาวดารเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวความว่า   “...พระปีย์กอปรด้วยสวามิภักดิ์นอนอยู่ปลายฝ่าพระบาท คอยปฏิบัติพยุงพระองค์ลุกนั่งอยู่ ครั้นรุ่งเพลาเช้าพระปีย์ลุกออกมาบ้วนปากล้างหน้า ณ ประตูกำแพงแก้ว จึงหลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการ ณ ที่มหาอุปราช สั่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่ผลักพระปีย์ตกลงไปจากประตูกำแพงแก้ว และพระปีย์ร้องขึ้นได้คำว่า ทูลกระหม่อมแก้วช่วยด้วย พอขาดคำลงคนทั้งหลายก็กุมเอาตัวพระปีย์ไปประหารชีวิตตายในขณะนั้น...”             หลังจากการจับกุมตัวพระปีย์ไปสำเร็จโทษ อาการประชวรของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็รุนแรงขึ้นจนเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระราชวังเมืองละโว้ก็ถูกทิ้งร้างให้โรยราไปตามกาลเวลาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ……………………….......................................................... อ้างอิง กรมศิลปากร. หนังสือนำชมพระนารายณ์ราชนิเวศน์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : บริษัท นะรุจ จำกัด, 2560. ____________. ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ 50 ภาค 80 จดหมายเหตุฟอร์บัง. กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, 2527. ____________. พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, 2516. นิโกลาส์ แชร์แวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม : ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. สันต์ ท. โกมลบุตร แปล. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, 2506. หลวงศรีมโหสถ. โครงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. กรุงเทพฯ : โสภณพิพรรฒธนาการ, 2478.   ............................................................................... เรียบเรียงข้อมูลโดย นางสาววสุนธรา ยืนยง นักวิชาการวัฒนธรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ---------------------------------------------   ที่มาของข้อมูล :  https://www.facebook.com/1535769516743606/posts/pfbid034WJzYL2FXJ3aQyfgsZ8W8BHUkKKphmGLNU5J7ivzJwab54sMDgSckUgrnSamhyj4l/  


 เมืองนครไทย .#เมืองนครไทย_ตอนที่๑#โบราณคดีจังหวัดพิษณุโลก #พี่โข่ทั๋ยมี๋เรื๋องเล๋า..#เมืองนครไทย เป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่งที่มีความสัมพันธ์และมีวัฒนธรรมร่วมสมัยกับสมัยสุโขทัย โดยที่ตั้งของเมืองอยู่ในที่ราบหุบเขาในเส้นทางคมนาคมระหว่างสุโขทัยกับดินแดนชุมชนโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย .เมืองนครไทยในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก อยู่ห่างจากตัวจังหวัดพิษณุโลกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๙๘ กิโลเมตร .ลักษณะภูมิสัณฐานของเมืองนครไทยโบราณเป็นที่ราบหุบเขาที่มีรูปร่างแบบกะทะหงาย มีที่สูงและภูเขาเป็นขอบของที่ราบ ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินดินสูงริมแม่น้ำแควน้อย น้ำไม่ท่วมถึง และมีแนวกำแพงเมือง - คูเมือง สร้างด้วยดิน ล้อมรอบไปตามเนินดินธรรมชาติ ผังเมืองมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอคล้ายรูปวงรี มีขนาดประมาณ ๘๐๐ x ๔๐๐ เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๒๐๐ ไร่ สภาพปัจจุบันยังคงปรากฎร่องรอยหลักฐานของโบราณสถานประเภทวัดหลายแห่งตั้งอยู่ภายในและนอกเขตกำแพงเมือง - คูเมือง เมืองนครไทย ส่วนแนวกำแพงเมือง – คูเมือง ในปัจจุบันมีสภาพไม่สมบูรณ์ โดยยังปรากฎร่องรอยหลงเหลืออยู่ทางด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นส่วนใหญ่ .มีการพบโบราณวัตถุที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของเมือง ได้แก่ พระพุทธรูปศิลาประทับนั่งขัดสมาธิเพชรศิลปะแบบทวารวดีและพระพุทธรูปนาคปรกฝีมือช่างท้องถิ่น รวมถึงเสมาหินศิลปะแบบทวารวดี ซึ่งหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของเมืองนครไทยที่เป็นชุมชนโบราณที่มีมาก่อนสมัยสุโขทัย.นับตั้งแต่ก่อนหน้า พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครไทยนั้นถือว่าได้รับความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า “#เมืองนครไทยสร้างขึ้นเมื่อใดและใครเป็นผู้สร้าง” ซึ่งได้มีนักวิชาการและผู้รู้หลายท่านต่างสันนิษฐานว่า เมืองนครไทย คือ เมืองบางยางของพ่อขุนบางกลางหาว หรือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย ได้เคยตั้งบ้านเมืองอยู่ที่นครไทยมาก่อนจะไปครองกรุงสุโขทัย แต่ทั้งนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันเรื่องนี้แต่อย่างใด .การศึกษาเรื่องเมืองนครไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการสำรวจและศึกษาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ส่วนการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่เมืองนครไทยนั้น มีเพียงงานวิจัยของรองศาสตราจารย์ปราณี แจ่มขุนเทียน  เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗  และการดำเนินงานทางโบราณคดีของสำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ - ๒๕๖๑ ผลจากการศึกษาทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบดังกล่าว ทำให้พบหลักฐานที่มีความสำคัญหลายประการและทำให้ภาพของเมืองนครไทยมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยได้ข้อสรุปว่า เมืองนครไทยเป็นชุมชนโบราณที่พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในอดีตที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ โดยมีพัฒนาการเป็นชุมชนขนาดใหญ่ระดับเมืองที่มีความสัมพันธ์กับชุมชนโบราณต่าง ๆ  ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา จากนั้นจึงเข้าสู่พัฒนาการในสมัยสุโขทัยในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ และมีพัฒนาการของบ้านเมืองเป็นลำดับเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน..#โบราณคดีจังหวัดพิษณุโลก #เมืองนครไทย #พี่โข่ทั๋ยมี๋เรื๋องเล๋า #องค์ความรู้ออนไลน์..::: อ้างอิง  :::. นาตยา ภูศรี. เมืองนครไทย : ข้อมูลใหม่จากงานโบราณคดีที่วัดหน้าพระธาตุ. (เอกสารอัดสำเนา). ม.ป.ท : สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย, ๒๕๖๑. ปรานี  แจ่มขุนเทียน. การศึกษาเครื่องถ้วยจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๙. สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย. รายงานการขุดแต่งทางโบราณคดีวิหารและเจดีย์ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. (เอกสารอัดสำเนา). ม.ป.ท : สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย, ๒๕๖๐. หวน  พินธุพันธ์. พิษณุโลกของเรา. พระนคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๑๔...………………………………………………………………………………… ช่องทางออนไลน์ : สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย …………………………………………………………………………………กดไลก์ กดแชร์ กดกระดิ่ง และกดติดตาม เพื่อไม่พลาดข่าวสารกันได้ที่ Facebook Fanpage ::: https://www.facebook.com/fad6sukhothai Youtube Channel ::: https://www.youtube.com/channel/UCD2W0so8kn4bL-WOu8Doqnw


คิริมานนฺทสุตฺต (คิริมานนฺทสูตร) ชบ.บ 126/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 163/4 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


         ประติมากรรมดินเผารูปเด็กออกจากหอยสังข์ (พระสังข์ทอง)          ศิลปะอยุธยา            นายพิชัย วงษ์สุวรรณ มอบให้เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๙           ปัจจุบันจัดแสดง ณ ตำหนักแดง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          ประติมากรรมรูปเด็กออกมาจากหอยสังข์ ศีรษะด้านบนไว้ผมจุก ใบหน้ากลม ลำตัวตั้งตรง ส่วนขาขวาอยู่ภายในเปลือกหอยสังข์ ประวัติจากผู้มอบระบุว่าพบบริเวณคลองเมือง (แม่น้ำลพบุรี) ใกล้เมืองเก่าพระนครศรีอยุธยา          ประติมากรรมชิ้นนี้สันนิษฐานว่าทำขึ้นตามนิทานเรื่อง “สังข์ทอง” ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีเค้าโครงมาจากเรื่อง “สุวรรณสังขชาดก”* นิทานเรื่องนี้มีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และใช้ในการแสดงละคร ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง         สุวรรณสังขชาดก พระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง และนิทานเรื่องสังข์ทอง มีตัวเอกในเรื่องคือ “พระสังข์” ทั้งสามเรื่องมีเค้าโครงเนื้อเรื่องที่ใกล้เคียงกัน แต่การลำดับเรื่องและรายละเอียดบางตอนอาจแตกต่างกันไปบ้าง เช่น การเสด็จเลียบพระนครและท้าวยศวิมลบวงสรวงขอพระราชโอรสนั้น ไม่ปรากฏในสุวรรณสังขชาดก และนิทานสังข์ทอง เป็นต้น รวมทั้งชื่อตัวละครและชื่อสถานที่ในสุวรรณสังขชาดก กับพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง** ก็แตกต่างด้วยเช่นกัน         เรื่องย่อวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง ตอนกำเนิดพระสังข์ ทั้งบทพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๒ และนิทานสังข์ทอง มีเนื้อเรื่องว่า ท้าวยศวิมลกับพระมเหสีนางจันท์เทวี ไม่มีพระราชโอรส จึงทำการบวงสรวง กระทั่งนางจันท์เทวีทรงพระครรภ์และให้กำเนิดออกมาเป็นพระสังข์ นางจันทาสนมเอกได้ติดสินบนโหรหลวงทำนายให้ร้ายแก่นางจันท์เทวีว่า การให้กำเนิดออกมาเป็นหอยสังข์นั้นเป็นอัปมงคลต่อบ้านเมือง ท้าวยศวิมลหลงเชื่อจึงขับไล่นางจันท์เทวีออกจากเมือง นางจันท์เทวีได้ไปอยู่กับสองตายาย ทำงานบ้านและเก็บฟืนเลี้ยงชีพ วันหนึ่งพระสังข์เกิดสงสารมารดา จึงแอบออกมาจากหอยสังข์ช่วยทำงานบ้านขณะที่พระนางจันท์เทวีออกไปหาฟืน และกลับเข้าไปในหอยสังข์อีกครั้งเมื่อนางกลับมาถึงบ้าน ฝ่ายพระนางจันท์เทวีเมื่อรู้ว่าบุตรซ่อนอยู่ในหอยสังข์จึงทุบหอยสังข์แตกแล้วจึงชุบเลี้ยงพระสังข์จนเติบโต          เรื่องสังข์ทองแพร่หลายไปท้องที่ต่าง ๆ บางแห่งปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเช่นที่วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานความเห็นเกี่ยวกับการแพร่กระจายเรื่องสังข์ทองไว้ว่า   “...นิทานเรื่องสังข์ทองนี้มีในคัมภีร์ปัญญาสชาดก เรียกว่าสุวัณณสังขชาดก ถึงเชื่อถือกันว่าเป็นเรื่องจริง พวกชาวเมืองเหนืออ้างว่าเมืองทุ่งยั้ง***เป็นเมืองท้าวสามนต์ ยังมีลานศิลาแลงแห่ง ๑ ว่าเป็นสนามคลีของพระสังข์ อยู่ไม่ห่างวัดพระมหาธาตุนัก ที่ในวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุ ฝาผนังก็เขียนเรื่องสังข์ทอง เป็นฝีมือช่างครั้งกรุงเก่ายังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ ทางหัวเมืองฝ่ายตะวันตกก็อ้างว่า เมืองตะกั่วป่า****เป็นเมืองท้าวสามนต์อีกแห่ง ๑ เรียกภูเขาลูก ๑ ว่าเขาขมังม้า อธิบายว่าเมืองพระสังข์ตีคลีชนะ ได้ขี่ม้าเหาะข้ามภูเขานั้นไปดังนี้…”     *หนึ่งในปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่แพร่หลายในพื้นที่ล้านนา-อยุธยา กล่าวถึงการเสวยชาติของพระโพธิ์สัตว์ **ทั้งนี้ชื่อตัวละครและสถานที่ในพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง กับนิทานสังข์ทอง นั้นมีความเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทองยังมีรายละเอียดชื่อและสถานที่ มากกว่านิทานพระสังข์ทอง เช่น ชื่อเมืองสามล (เมืองของนางรจนา พระมเหสีของพระสังข์ทอง) กลับไม่ปรากฏในนิทานสังข์ทอง ***ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ****ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลตะกั่วป่า อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา   อ้างอิง ปัญญาสชาดกเล่ม ๑-๒. กรุงเทพฯ: มูลนิธิออมสินเพื่อสังคม, ๒๕๕๔. พุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระ. บทละครนอก สังข์ทอง. กรุงเทพฯ: กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๐. ศุภธัช คุ้มครอง และสุปาณี พัดทอง. “สังข์ทองตอนกำเนิดพระสังข์ : กรณีศึกษาสุวรรณสังชาดก สังข์ทองฉบับพระราชนิพนธ์ และนิทานเรื่องสังข์ทอง.” วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒๑, ๑ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๖๔): ๑๘๙-๒๑๓.  


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           17/6ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                40 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อผู้แต่ง         พระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ชื่อเรื่อง           หลักราชการ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์     พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์กระดาษไทย ปีที่พิมพ์          2508 จำนวนหน้า      33  หน้า หมายเหตุ        พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพรองเสวกตรี  เล็กอินทารุณ   รายละเอียด      หนังสือเรื่องหลักราชการ  พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๖  จัดพิมพืเพื่อแจกข้าราชการในโอกาสตรุษจีน  สงกรานต์  เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗  ทรงนำคุณสมบัติของการเป็นราชการ  ๑๐  เรื่อง  ประกอบด้วย  ๑.ความสามารถ   ๒.ความเพียร   ๓.ไหวพริบ   ๔.ความรู้เท่าถึงการ  ๕.ความซื่อตรงต่อหน้าที่  ๖.ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป  ๗.ความรู้จักนิสัยคน  ๘. ความรู้จักผ่อนผัน  ๙. ความมีหลักฐาน  และ ๑๐.ความจงรักภักดี


แนะนำ E-book หนังสือหายาก เรื่อง อัตชีวประวัติเกิดวังปารุสก์ เล่ม 2 สมัยประชาธิไตย จุลจักรพงษ์, พันตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. อัตชีวประวัติเกิดวังปารุสก์ เล่ม 2 สมัยประชาธิปไตย.พระนคร: โรงพิมพ์ อุดม, 2494.


ชื่อผู้แต่ง            - ชื่อเรื่อง             โหราศาสตร์กับชีวิตประจำวัน ครั้งที่พิมพ์          - สถานที่พิมพ์       - สำนักพิมพ์         - ปีที่พิมพ์             ๒๕๓๔ จำนวนหน้า        ๖๖  หน้า                        โหราศาสตร์กับชีวิตประจำวัน คณะเจ้าภาพจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ นายสุช กาญจนาวดี  เกร็ดความรู้โหราศาสตร์หรือเคล็ดลับการเรียนรู้ชะตาด้วยตนเอง การตั้งชื่อเด็ก การสร้างบ้าน ฤกษ์ ยาม พิธีตั้งศาลพระภูมิ วิธีบูชาพระพุทธรูป โดยอาศัยพื้นฐานจากตำรา โลกธาตุของพระสารประเสริฐเป็นหลัก


เลขทะเบียน : นพ.บ.439/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 4.8 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 157  (141-148) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺตรชาตก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.585/1                            ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 34 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 189  (372-377) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : ปัญญาบารมีหลวง--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


โบราณสถานวัดสระศรี           วัดสระศรีหรือโบราณสถานร้าง ก.4 ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองสุโขทัย โดยอยู่ห่างจากวัดมหาธาตุมาทางทิศเหนือประมาณ 350 เมตร วัดสระศรีนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางตระพังตระกวน ซึ่งเป็นตระพังหรือสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองสุโขทัย โบราณสถานที่สำคัญภายในวัดประกอบไปด้วย          1. เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐ มีรูปทรงสมบูรณ์ ตังอยู่บนฐานสี่แหลี่ยมยกพื้นสูงเพื่อเป็นลานประทักษิณ ล้อมรอบด้วยระเบียงคด          2. วิหาร ขนาด 7 ห้อง ก่อด้วยอิฐ ยกเว้นในส่วนของเสาวิหารที่นำศิลาแลงมาใช้ ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย           3. เจดีย์ขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐ มีซุ้มพระพุทธรูปอยู่ทั้ง 4 ทิศ สภาพสมบูรณ์ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของเจดีย์ประธาน และนอกจากนี้ยังพบฐานเจดีย์รายขนาดเล็กตั้งอยู่อีก 5 องค์          4. ฐานโบสถ์ขนาด 2 ห้อง ก่อด้วยศิลาแลง มีใบเสมาหินปักโดยรอบ ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางน้ำ ทางด้านทิศตะวันออกของกลุ่มโบราณสถานภายในวัด โดยมีสะพานไม้เชื่อมถึงกัน           5. สระน้ำขนาดใหญ่หรือตระพังตะกวน มีเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งเป็นตระพังที่เกาะของโบราณสถานวัดสระศรีตั้งอยู่ เดิมในอดีตสระนี้มีถนนทางหลวงชนบทผ่านกลางสระ แต่ปัจจุบันได้ขุดรื้อถอนไปแล้ว          เจดีย์ประธานของวัดสระศรีเป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบสุโขทัย หรือเจดีย์ทรงระฆังแบบลังกา ที่เหมือนกับเจดีย์วัดช้างล้อม เมืองสุโขทัย ต่างกันในส่วนฐานที่ไม่มีช้างล้อม สันนิษฐานว่ามีอายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ทั้งนี้วัดสระศรีนี้มีการสร้างโบสถ์อยู่บนเกาะที่มีน้ำล้อมรอบตามคตินทีสีมา คือการใช้น้ำเป็นสิ่งกำหนดขอบเขตวิศุงคามสีมา ซึ่งถือเป็นขอบเขตที่บริสุทธิ์ พบในสุโขทัยหลายแห่ง เช่น ที่วัดตระพังเงิน วัดตระพังทอง เป็นต้น          เจดีย์รายเป็นเจดีย์ทรงระฆังที่มีซุ้มจระนำทั้ง ๔ ด้าน คล้ายกับเจดีย์ทรงระฆังวัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเจดีย์รายที่วัดสระศรีแห่งนี้น่าจะได้อิทธิพลของศิลปะอยุธยามา..เอกสารอ้างอิง          1. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กรมศิลปากร. “การศึกษาทางโบราณคดีเพื่อจัดลำดับอายุสมัยของแหล่งศิลปกรรมเมืองสุโขทัย ปีงบประมาณ ๒๕๖๑” โครงการการศึกษาทางโบราณคดีเพื่อจัดลำดับอายุสมัยของแหล่งศิลปกรรมเมืองสุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย กรมศิลปากร.          2. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๑. พิมพ์ครั้งที่ ๒. สุโขทัย : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กรมศิลปากร, ๒๕๖๑.          3. ศ.เกียรติคุณ สุรพล ดำริห์กุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะสุโขทัย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, 2562.           4. ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย ประมวลศิลปกรรมโบราณเมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : มิวเซียมเพรส, 2561.



black ribbon.