ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ชื่อเรื่อง                     สฺลองข้าวยาคู (สฺลองข้าวยาคู)เลขทะเบียน               22/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               20 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                     อานิสงส์ถวายข้าวยาคูภาษา                       บาลี/ไทยอีสานบทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ล่องชาด ไม่มีไม้ประกับ ได้รับมอบมาจากนางสุดา วงษ์พันธุ์


เลขทะเบียน : นพ.บ.781/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 80 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 241 (452-462) ผูก 3 (2568)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : บทกลอนก่อนฟ้าสางที่กลางเวียง ตอนนำเที่ยวเจดีย์หลวง ผู้แต่ง :  แก้วกลางเวียง ปีที่พิมพ์ : 2538  สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : บุณย์ศิริงานพิมพ์ จำนวนหน้า : 28 หน้า สาระสังเขป : บทกลอนก่อนฟ้าสางที่กลางเวียง ตอนนำเที่ยวเจดีย์หลวง ประพัันธ์โดย แก้วกลางเวียง พิมพ์ถวายเพื่อกตัญญูบูชาคาราวะแด่บูรพกษัตริย์และบรรพชนนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เนื่องในมงคลวารการสมโภช 600 ปี องค์พระธาตุเจดีย์หลวง พุทธศักราช 2539 ลักษณะการประพันธ์เป็นบทร้อยกลอง (กลอนแปด) ซึ่งได้รวบรวมจากเอกสารหลายส่วนมาเรียบเรียงนำเสนอเรื่องราวของวัดเจดีย์หลวง ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ ทั้งองค์พระธาตุเจดีย์หลวง พระอัฏฐารส พระประธานในพระวิหาร เสาอินทขิล (เสาหลักเมือง) บ่อเปิง บ่อน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ พระมหากัจจายนะ  พระนอน และประวัติความเป็นมาของวัด ให้หนังสือเล่มนี้เป็นเสมือนไกด์นำนักท่องเที่ยวให้สามารถเข้าใจและรับทราบเรื่องราวของวัดเจดีย์หลวงได้ดียิ่งขึ้น เลขเรียกหนังสือ : 294.3135 ก891บ (ห้องมรดกล้านนา) เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : nlcm_lc2568_00006 โครงการ : อนุรักษ์ จัดเก็บ และบริการหนังสือ วารสาร และเอกสารโบราณของหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568  


เลขทะเบียน  นม.บ.16/2ก


       จังหวัดสุโขทัย ขอเชิญเที่ยวงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2568 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 งานนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุโขทัย โดยในปีนี้ มีการจัดงาน 10 วัน 10 คืน ในบรรยากาศย้อนยุค อลังการ ผสมผสานกับเทคนิคการนำเสนอเรื่องราวแสง สี เสียงที่ทันสมัย เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาชมความยิ่งใหญ่ของงานประเพณีลอยกระทงของจังหวัดสุโขทัย




ผู้แต่ง : นิคม พรหมมาเทพย์ ปีที่พิมพ์ : 2559 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่สำนักพิมพ์ : แม็กซ์พริ้นติ้ง (มรดกล้านนา)      ลัวะล้านนาโลกาภิวัตน์นี้ มุ่งหวังว่าผู้อ่านจะได้เปิดประสบการณ์ และมุมอับบางเรื่องราว ที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมที่ผ่านมาให้แพร่หลายยิ่งขึ้น อันประกอบไปด้วย ประวัติความเป็นมาต้องจารึกตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเรื่องราวอาจมีทั้งประวัติศาสตร์ เจี้ย นิยายปรัมปราตำนาน ประเพณี วัฒนธรรม เรื่องราวกระแสชีวิตจิปาถะ ซึ่งบ้างอาจเป็นเรื่องราวที่แอบแฝงด้วยความเชื่อปาฏิหาริย์ หรือความเหลือเชื่อต่างๆนานาปะปนกันไป ฉะนั้นลัวะล้านนาโลกาภิวัตน์นี้ จึงเสมือนเอกสารบันทึกข้อมูลอันหลากหลายต่างๆพร้อมกับเผยแพร่เรื่องราวในสังคมล้านนา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


การศึกษาเรือโบราณ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร   ประวัติการพบเรือ                      เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี  ได้รับแจ้งจากองค์การบริหารส่วนตำบลพันท้ายนรสิงห์ ว่ามีการพบซากเรือโบราณอยู่ในบ่อเลี้ยงกุ้งของนายสุรินทร์ และนางพนม       ศรีงามดี บ้านเลขที่ ๖๕/๑ หมู่ที่ ๖ ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร สาเหตุการพบเนื่องจากการปรับพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งให้ลึกลงกว่าเดิม โดยบริเวณที่พบเรือโบราณเป็นพื้นที่ลุ่มริมชายฝั่งทะเล อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ ๘ กิโลเมตร     สภาพก่อนการขุดศึกษา                      เรือโบราณที่พบจมอยู่ใต้ดินเลนในลักษณะพลิกตะแคง ส่วนที่โผล่พ้นดินแล้วเป็นกราบเรือด้านทิศตะวันตก เรือวางตัวในแนวทิศเหนือ - ใต้จากหลักฐานที่พบสันนิษฐานว่าเป็นเรือที่มีการเสริมกราบสองชั้นด้วยการเจาะรูและใช้เชือกผูกโยงยึดแผ่นไม้ไว้ด้วยกัน ไม้และเชือกมีสภาพเปื่อยยุ่ยอย่างมาก ภายในเรือพบโบราณวัตถุจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ ทั้งภาชนะดินเผาประเภทเนื้อดินที่ผลิตจากแหล่งเตาภายในประเทศ เครื่องเคลือบที่ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศจีน และพบอินทรียวัตถุหลายประเภท เช่น ลูกมะพร้าว ลูกตาล เมล็ดข้าว เชือก ยางไม้ เมล็ดพืช เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบภาชนะดินเผาอีกหลายแบบที่ยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้             การขุดศึกษาทางโบราณคดี                             สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ร่วมกับกลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ สำนักโบราณคดี ดำเนินการขุดศึกษา โดยเริ่มการขุดศึกษาตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ – ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ แต่การดำเนินงานยังคงไม่แล้วเสร็จเนื่องจากยังคงพบหลักฐานอีกหลายอย่าง รวมทั้งหลักฐานบางชิ้นยังคงอยู่ในหลุมขุดค้นด้วย   เทคนิคการขุดศึกษาทางโบราณคดี                      เนื่องจากก่อนการดำเนินการขุดศึกษาเรือโบราณ ได้มีการนำไม้ทับกระดูกงูและเสากระโดงเรือขึ้นมาไว้บนคันดิน และมีการขุดเปิดพื้นที่เรือบางส่วนไว้แล้ว การขุดศึกษาจึงใช้เทคนิคการขุด ๒ วิธีคือ   ๑.      วิธีการขุดลอกดินต่อจากบริเวณที่ถูกขุดไว้แล้ว เพื่อเปิดให้เห็นตัวเรือทั้งหมด โดยวาง   ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบพื้นที่ตัวเรือไว้   ๒.      ขุดหลุมทดสอบ (TP.1) เป็นแนวยาวขวางตัวเรือในแนวทิศตะวันออก – ตะวันตก   ขนาดกว้าง ๒ เมตร เพื่อดูลักษณะของตัวเรือ โครงสร้างเรือ และโบราณวัตถุที่พบภายในเรือ                      พื้นที่ในการขุดศึกษามี ๒ พื้นที่ โดยพื้นที่ที่พบเรือในตอนแรกเรียกว่า Area 1 ได้ดำเนินการขุดค้นในบริเวณนี้ เพื่อศึกษารูปแบบเรือและโบราณวัตถุที่พบ แต่พบว่ามีบางส่วนของเรือได้ต่อขยายไปใต้แนวคันดินทางด้านทิศเหนือ จึงได้เปิดขยายพื้นที่ทางด้านทิศเหนือ มีการวางผังหลุมขุดค้นครอบคลุมตัวเรือ โดยขุดลอกดินออกทีละน้อยเพื่อดูขอบเขตของเรือในแต่ละด้าน และเว้นนระยะระหว่างตัวเรือและผนังหลุมในแต่ละด้าน ด้านละประมาณ ๑ เมตร ส่วน Area 2 เป็นพื้นที่ต่อขยายอยู่ทางด้านทิศเหนือของ Area 1บริเวณนี้สันนิษฐานว่าจะพบเรือส่วนที่เหลือ ทำการวางผังครอบพื้นที่ที่สันนิษฐานว่าเป็นเรือ ขนาดพื้นที่กว้าง ๑๕ เมตร ยาง ๑๕ เมตร โดยประมาณ   ผลการขุดศึกษาในเบื้องต้น พบหลักฐานสำคัญ ดังนี้   ๑. เรือโบราณ เป็นเรือไม้ขนาดใหญ่ ความยาวประมาณ ๒๕ เมตร พบที่ระดับความลึกจากผิวดินประมาณ ๒ เมตร บริเวณกลางลำเรือมีท่อนไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าเป็นไม้ทับกระดูกงูที่หลุดขึ้นมา ความยาว ๑๗.๖๕ เมตร ด้านล่างมีการบากทำเป็นร่องสลับกันสำหรับต่อกงเรือ บริเวณด้านทิศใต้พบท่อนไม้ที่มีลักษณะคล้ายส่วนหัวเรือ ด้านทิศตะวันตกของเรือพบท่อนไม้กลมยาว สันนิษฐานว่าเป็นเสากระโดงเรือ ความยาว ๑๗.๓๗ เซนติเมตร กราบเรือทั้งสองด้านล้มพับไปทางทิศตะวันออก กงเรือและไม้เปลือกเรือด้านทิศตะวันออกหัก ครึ่งอาจเนื่องจากถูกดินกดทับ กราบเรือหรือเปลือกเรือพบว่ามีการเสริมกราบสองชั้นด้วยการเจาะรูแล้วใช้เชือกผูกโยงยึดแผ่นไม้เข้าด้วยกัน เรียกว่า “การหมันเรือ” ซึ่งเป็นเทคนิคการต่อเรือที่เหมือนกับเรืออาหรับโบราณ   ๒. ภาชนะดินเผา  ภายในเรือพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ มีทั้งเครื่องเคลือบที่ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศจีน  ภาชนะดินเผาเนื้อดินที่ผลิตจากแหล่งเตาภายในประเทศ  และภาชนะดินเผาบางรูปแบบที่ยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้   - ภาชนะดินเผาประเภทเนื้อดิน (Earthenware) พบหม้อก้นกลม บริเวณไหล่ทำเป็นสัน ส่วนลำตัวถึงก้นภาชนะทำลวดลายเชือกทาบและขูดขีด หลายใบมีรอยไหม้และคราบเขม่าที่ก้นจากการใช้งาน ภาชนะดินเผาประเภทนี้เป็นภาชนะที่ผลิตในท้องถิ่นมักพบในแหล่งโบราณคดีในวัฒนธรรมทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖   -  ภาชนะดินเผาประเภทเนื้อแกร่ง(Stoneware) พบหลายรูปแบบ ดังนี้   ๑) พบชิ้นส่วนภาชนะแบบมีเดือยแหลมที่ก้น ลักษณะเป็นภาชนะเนื้อหนา รูปทรงยาวรี ลำตัวป่อง ส่วนก้นกลมมีเดือยแหลม ปากแคบแบบไห บางใบพบว่ามีการเจาะรู จำนวน ๑-๒ รู บริเวณใต้ขอบปากลงมา ไม่พบใบที่สมบูรณ์ ขนาดของภาชนะ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๔๕-๕๐ เซนติเมตร ความสูง จากปลายเดือยถึงขอบปากโดยประมาณ ๗๐-๘๐ เซนติเมตร เนื้อภาชนะหนา ๑-๑.๕ เซนติเมตร เนื้อดินละเอียด ผิวเรียบ จากการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบพบว่ามีลักษณะคล้ายกับภาชนะแบบ Amphoraซึ่งมักพบในแหล่งเรือจมในต่างประเทศ เป็นภาชนะที่ออกแบบเพื่อใช้ในการขนส่งทางทะเล   ๒) พบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเคลือบสีดำ เนื้อภาชนะละเอียดสีขาว สภาพไม่สมบูรณ์ รูปทรงภาชนะคล้ายไห มีหูจับขนาดใหญ่ จำนวน ๒ หู ขอบปากตั้งสูง บริเวณไหล่ภาชนะมีการตกแต่งด้วยการทำเป็นสันและกดเป็นจุดๆ ส่วนก้นเป็นแบบมีเชิง พบจำนวน ๑ ใบ เบื้องต้นยังไม่ทราบแหล่งที่มา                        นอกจากนี้ยังพบภาชนะดินเผาที่เนื้อภาชนะคล้ายกับประเภทเนื้อแกร่ง เนื้อภาชนะบาง  พบทั้งเนื้อสีเทาและสีน้ำตาล พบจำนวนมาก ในเบื้องต้นยังไม่ทราบแหล่งที่มา     - ภาชนะดินเผาประเภทเครื่องถ้วยจีนพบ  ๒ ประเภท ดังนี้                      ๑) ประเภทเคลือบสีเขียว  พบเป็นไหขนาดใหญ่ เคลือบสีเขียวใส มีหูในแนวนอนจำนวน ๔-๖ หู บริเวณขอบปากและก้นไม่เคลือบ พบหลายใบ สภาพเกือบสมบูรณ์ ภาชนะรูปแบบนี้พบว่าเป็นภาชนะที่ผลิตจากกลุ่มเตากวนจง อำเภอซินหุ้ย เมืองเจียงเหมิน มณฑลกว่างตง มีอายุอยู่ในปลายสมัยราชวงศ์ถัง ราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔(early to mid 9th century)                        ๒) ประเภทไม่เคลือบ พบภาชนะดินเผาประเภทไห ผิวภาชนะทั้งด้านนอกและด้านในมีสีน้ำตาลเข้ม คล้ายเคลือบ มีหูจำนวน ๖ หู สลับกันทั้งแนวตั้งและแนวนอน ที่สำคัญพบเชือกสีดำร้อยอยู่ที่หูภาชนะ พบจำนวน ๑ ใบ โดยภาชนะรูปแบบนี้ผลิตจากกลุ่มเตาเฟิงไค เมืองเจ้าฉิ้ง มณฑลกว่างตง มีอายุอยู่ในปลายสมัยราชวงศ์ถัง ราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔   ๓. โบราณวัตถุที่ทำจากหิน                      - แท่นหินกลมขนาดใหญ่ เนื้อหนามาก รูปทรงภายนอกคล้ายหมวก โดยตรงกลางนูนสูงขึ้นมา ผิวเรียบ ไม่ทราบหน้าที่การใช้งาน สันนิษฐานว่าอาจเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบดเมล็ดพืชหรือแป้ง สำหรับการบริโภคในเรือ                      - แผ่นหินรูปทรงกลม สภาพไม่สมบูรณ์ พบหักเหลือเพียงครึ่งเดียว เนื้อหินหยาบ สีดำ พบอยู่ในบริเวณใกล้กับปลายของเสากระโดงต้นที่สอง                      - หินบด จำนวน ๒ ชิ้น รูปทรงเป็นแท่งทรงกระบอกยาว เนื้อหินสีเทาเข้ม พบอยู่ภายในตัวเรือ และพบแท่นหินบดทรงสี่เหลี่ยม แบน อีก ๑ ชิ้น   ๔. อินทรียวัตถุภายในภาชนะหลายใบ พบอินทรียวัตถุหลายประเภท เช่น ลูกมะพร้าว ลูกตาล เมล็ดข้าว ลูกหมาก เมล็ดกัญชง  ชัน กะลามะพร้าวเจาะรู ก้างปลา และกระดูกสัตว์ เป็นต้น   ข้อสันนิษฐานเบื้องต้น                      จากการพบกระดูกงูขนาดใหญ่และเสากระโดง แสดงให้เห็นว่าเรือโบราณที่พบในครั้งนี้เป็นเรือขนาดใหญ่ และจากลักษณะเรือที่มีการเสริมกราบสองชั้นด้วยการใช้เชือกผูกโยงยึด เป็นเทคนิคการต่อเรือที่เหมือนกับเรืออาหรับโบราณ และโบราณวัตถุที่พบในเรือ มีทั้งภาชนะที่เป็นบรรจุภัณฑ์และภาชนะที่ใช้สอยในเรือ บางประเภทเป็นภาชนะที่ไม่เคยพบในแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย ทั้งยังพบตัวอักษรโบราณบนภาชนะด้วย แสดงให้เห็นว่าเรือลำนี้มีความสำคัญในการศึกษาเรื่องประวัติการเดินเรือในภูมิภาคนี้จากการศึกษารูปแบบเรือและโบราณวัตถุที่พบ สันนิษฐานว่าเรือโบราณลำนี้ น่าจะมีอายุอยู่ในราว พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕



วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2559 ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม จัดอบรมการซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์ ปี 2559 วันที่ 20-21 มิถุนายน 2559 ณ ห้องอบรมคอมพิวเตอร์ ตึกธนาลงกรณ์ ชั้น 8 ในการนี้นายต่อพงศ์ เหลืองชัยวัฒนา นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ รับหน้าที่เป็นวิทยากร


โครงการองค์ความรู้เรื่อง ใบเสมาอิสาน เล่มแรก (องค์ความรู้ปี ๒๕๕๒)


โถงทางเดิน           ทางเข้าอาคารด้านหน้าเป็นสะพานนาคราชเชื่อมต่อระหว่างทางเข้ากับห้องจัดแสดงนิทรรศการ โถงทางเข้าขวามือมีฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดแสดงโครงกระดูกช้าง ด้านซ้ายมือเป็นระเบียงทางเดิน จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่พบในจังหวัดสุรินทร์ เช่น ศิลาจารึก บัวยอดปราสาท นาคปัก ชิ้นส่วนทับหลัง กลีบขนุนจำหลักรูปเทพเจ้า บันแถลงจำหลักรูปเทพเจ้า ฯลฯ นอกจากนี้บริเวณลานหญ้าได้ปลูกต้นกันเกรา ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ ต้นลีลาวดีหลากสี และไม้ดัดรูปโคลงช้าง




วัสดุ หินทราย แบบศิลปะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย แบบบายน อายุสมัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 (ประมาณ 800 ปีมาแล้ว) สถานที่พบ พบจากการขุดแต่งกู่โพนระฆัง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อ พ.ศ.2545 พบบริเวณโคปุระทางเข้ากู่โพนระฆัง พระหัตถ์ขวาล่างทรงดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายบนทรงคัมภีร์ ส่วนพระหัตถ์ขวาบนและพระหัตถ์ซ้ายล่างหักหายไป แต่สันนิษฐานว่าทรงหม้อน้ำ และลูกประคำ พระโพธิสัตว์อโลกิเตศวร เป็นพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เกิดจากพระธยานิพุทธเจ้าอมิตาภะ ดังนั้นจึงมีพระอมิตาภะประดับอยู่หน้ามวยพระเกศา พระองค์ได้รับการเคารพนับถืออย่างมากในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เพราะเหตุว่าทรงเป็นผู้คุ้มครองและช่วยเหลือสรรพสัตว์ พระนาม “อวโลกิเตศวร” แปลว่า“พระผู้มองลงต่ำ” หรือ “พระผู้มีแสงสว่าง”


black ribbon.